พบผลลัพธ์ทั้งหมด 981 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 766/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน - การฟ้องขอชำระหนี้จากกองมรดกซ้ำกับคดีเดิมที่ยังอยู่ระหว่างพิจารณา
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่1ที่2และที่3ในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตายให้ชำระหนี้ให้โจทก์ในจำนวนหนี้ที่ผู้ตายนำไม้ของโจทก์ไปขายแล้วไม่นำเงินส่งมอบให้โจทก์กับหนี้อื่นที่ผู้ตายเป็นหนี้โจทก์โดยจำเลยที่1ที่2และที่3ในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตายได้ทำหนังสือรับสภาพเจ้าหนี้ให้โจทก์ไว้เป็นการฟ้องขอรับชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกของผู้ตายซึ่งคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่1ที่2และที่3ในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตายชำระหนี้ให้แก่โจทก์การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้ขอให้จำเลยที่1ที่2และที่3ในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตายกับจำเลยที่4ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายรับผิดชำระหนี้ที่ผู้ตายนำไม้รายเดียวกันในคดีก่อนไปขายแล้วไม่นำเงินส่งมอบให้โจทก์โดยอ้างว่าหนี้ดังกล่าวมีจำนวนเงินมากกว่าที่โจทก์ฟ้องในคดีก่อนโจทก์จึงนำหนี้ที่เหลือมาฟ้องคดีนี้นั้นเป็นการฟ้องขอรับชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกของผู้ตายเช่นเดียวกับการฟ้องคดีก่อนแต่กรณีมิใช่เป็นการฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148เพราะขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้คดีก่อนอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ยังมิได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแต่เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามมาตรา173วรรค(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 757/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งเท็จประกันภัยทำให้กรมธรรม์เป็นโมฆะ และถือเป็นการฉ้อฉล
โกดังของโจทก์ที่ถูกเพลิงไหม้เป็นอาคารชั้นเดียว แต่โจทก์แจ้งเท็จแก่จำเลยที่ 1 ผู้รับประกันภัยขณะเอาประกันภัยโกดังดังกล่าวว่า เป็นอาคารสองชั้นเพื่อได้มูลค่าประกันสูงขึ้นนั้น เป็นการปฏิบัติผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งกำหนดไว้ว่า ความรับผิดเพื่อการสูญหายหรือการเสียหายของจำเลยที่ 1 ที่มีต่อผู้เอาประกันภัยเป็นอันลบล้างไปเมื่อผู้เอาประกันภัยแสดงรายการอันเป็นเท็จเพื่อจะได้มาซึ่งประโยชน์ตามกรมธรรม์ และเป็นการฉ้อฉลจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 757/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งเท็จข้อมูลประกันภัยทำให้กรมธรรม์เป็นโมฆะ ผู้เอาประกันภัยไม่ได้รับค่าสินไหม
โกดังของโจทก์ที่ถูกเพลิงไหม้เป็นอาคารชั้นเดียวแต่โจทก์แจ้งเท็จแก่จำเลยที่1ผู้รับประกันภัยขณะเอาประกันภัยโกดังดังกล่าวว่าเป็นอาคารสองชั้นเพื่อได้มูลค่าประกันสูงขึ้นนั้นเป็นการปฏิบัติผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งกำหนดไว้ว่าความรับผิดเพื่อการสูญหายหรือการเสียหายของจำเลยที่1ที่มีต่อผู้เอาประกันภัยเป็นอันลบล้างไปเมื่อผู้เอาประกันภัยแสดงรายการอันเป็นเท็จเพื่อจะได้มาซึ่งประโยชน์ตามกรมธรรม์และเป็นการฉ้อฉลจำเลยที่1จำเลยที่1จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 746-750/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีแพ่ง: ผลกระทบจาก พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2534 และความรับผิดทางละเมิดร่วมกัน
จำเลยที่1ต้องโทษจำเลยจำคุกอยู่ในเรือนจำจังหวัดสงขลาเรือนจำดังกล่าวมิใช่ท้องที่ที่จำเลยที่1มีถิ่นที่อยู่จึงไม่อาจถือว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่1ขณะฟ้องโจทก์ทั้งห้าจะฟ้องจำเลยที่1ต่อศาลชั้นต้นมิได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา4(2)เดิมโจทก์ทั้งห้าต้องฟ้องต่อศาลที่จำเลยที่1มีภูมิลำเนาคือศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาแต่เนื่องจากขณะคดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค3ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่12)พ.ศ.2534ซึ่งใช้บังคับแล้วแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา4(1)บัญญัติว่า"คำฟ้องให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาในเขตศาลหรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่"เช่นนี้จึงทำให้โจทก์ทั้งห้ามีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลที่มูลคดีเกิดได้ด้วยศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจรับฟ้องโจทก์ทั้งห้าไว้พิจารณา จำเลยที่2ต้องเสียค่าบริการให้จำเลยที่3เป็นรายวันเพื่อตอบแทนการนำรถเข้าร่วมแล่นกับจำเลยที่3การเดินรถคันเกิดเหตุจึงเป็นกิจการร่วมกันระหว่างจำเลยที่2และที่3ฉะนั้นการที่จำเลยที่1ขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุในขณะเกิดเหตุโดยรับจ้างจำเลยที่2จึงเป็นการกระทำของลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่3ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 746-750/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับผิดของบริษัทขนส่งต่อความเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ และการฟ้องคดีต่อศาลที่มีอำนาจ
แม้จำเลยที่1ต้องโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำเรือนจำก็มิใช่ท้องที่ที่จำเลยที่1มีถิ่นที่อยู่ไม่อาจถือว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่1(ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ1เดิม)โจทก์ทั้งห้าจะฟ้องจำเลยที่1ในมูลละเมิดต่อศาลชั้นต้นที่เรือนจำตั้งอยู่มิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา4(2)เดิมแต่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค3มีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา4(1)โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่12)พ.ศ.2534ทำให้โจทก์ทั้งห้ามีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้นดังกล่าวซึ่งเป็นศาลที่มูลคดีเกิดได้ด้วยศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจรับฟ้องโจทก์ทั้งห้าไว้พิจารณา จำเลยที่2ต้องเสียค่าบริการให้จำเลยที่3เป็นรายวันเพื่อตอบแทนการนำรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุเข้าร่วมแล่นกับจำเลยที่3การเดินรถคันดังกล่าวจึงเป็นกิจการร่วมกันการที่จำเลยที่1ขับรถยนต์คันดังกล่าวในขณะเกิดเหตุโดยรับจ้างจำเลยที่2จึงเป็นการกระทำของลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่3ด้วย ขณะเกิดเหตุโจทก์ที่2เช่าซื้อรถยนต์กระบะคันที่ถูกจำเลยที่1ขับชนโดยต้องรับผิดซ่อมแซมรถด้วยโจทก์ที่2ย่อมมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นได้แม้ต่อมาสัญญาเช่าซื้อจะเลิกกันก็ไม่เป็นเหตุให้สิทธิของโจทก์ที่2ซึ่งมีอยู่แล้วระงับสิ้นไป จำเลยที่3ฎีกาว่าศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าขาดไร้อุปการะให้โจทก์คนละ100,000บาทสูงเกินไปนั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 600/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดคดีเนื่องจากการเสียชีวิตของผู้ร้องซึ่งเป็นสิทธิเฉพาะตัว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเป็นกรรมการของมูลนิธิ พ.อันเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้ร้อง เมื่อผู้ร้องถึงแก่กรรม คดีจึงไม่มีประโยชน์ที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยฎีกาของผู้ร้องต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132 (3) ศาลฎีกาให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 590/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจเจ้าคณะจังหวัดในการถอดถอนเจ้าอาวาสและการมีอำนาจฟ้องร้องของเจ้าอาวาส
การถอดถอนเจ้าอาวาสนั้นตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ.2505มาตรา23บัญญัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎมหาเถรสมาคมตามกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่5(พ.ศ.2505)ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการข้อ33ประกอบข้อ23เจ้าคณะจังหวัดมีอำนาจให้พระสังฆาธิการตำแหน่งเจ้าอาวาสออกจากตำแหน่งหน้าที่ได้ดังนั้นคำสั่งคณะสงฆ์ที่ให้โจทก์ออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดจึงเป็นคำสั่งที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่1ซึ่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดตามกฎมหาเถรสมาคมแล้วและคำสั่งคณะสงฆ์ดังกล่าวจำเลยที่1มิได้สั่งให้โจทก์ออกจากตำแหน่งหน้าที่เพราะประพฤติผิดพระธรรมวินัยแต่ให้ออกจากตำแหน่งหน้าที่เพราะโจทก์หย่อนสมรรถภาพซึ่งเป็นเหตุตามข้อ33แห่งกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่5(พ.ศ.2505)ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการเมื่อตามฟ้องโจทก์มิได้อ้างว่าจำเลยที่1มีคำสั่งโดยไม่มีเหตุดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าคำสั่งของจำเลยที่1ที่สั่งให้โจทก์ออกจากตำแหน่งหน้าที่เป็นคำสั่งที่มิชอบโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวและขอให้เพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งจำเลยที่2เป็นพระสังฆาธิการแล้วให้โจทก์กลับเข้าดำรงตำแหน่งพระสังฆาธิการต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 584/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบิกความตนเองของจำเลยในฐานะพยาน: สิทธิในการเบิกค่าป่วยการและค่าพาหนะ
จำเลยที่3อ้างตนเองเป็นพยานจึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลออกหมายเรียกตนเองมาเป็นพยานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา106แม้ตามคำขอให้ศาลออกหมายเรียกจะระบุว่าจำเลยที่1เป็นผู้ขอแต่เพียงผู้เดียวแต่คำขอก็ระบุรวมๆกันว่าขอให้หมายเรียกพยานจำเลยซึ่งทนายจำเลยที่3เป็นผู้ลงชื่อในคำร้องและจำเลยที่3ก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาจำเลยที่1การที่จำเลยที่3มาศาลจึงไม่ใช่พยานซึ่งมาศาลตามหมายเรียกศาลไม่มีอำนาจกำหนดให้จำเลยที่3ได้รับค่าป่วยการและค่าพาหนะตามตาราง4ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งค่าป่วยการและค่าพาหนะที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จ่ายให้แก่จำเลยที่3จึงไม่ใช่ค่าฤชาธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา161วรรคสองโจทก์ทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ให้แก่จำเลยที่1และที่3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 584/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยที่อ้างตนเองเป็นพยาน ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายเรียกตนเอง และไม่ได้รับค่าป่วยการ/พาหนะ
จำเลยที่ 3 อ้างตนเองเป็นพยาน จึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลออกหมายเรียกตนเองมาเป็นพยานได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 106 แม้ตามคำขอให้ศาลออกหมายเรียกจะระบุว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขอแต่เพียงผู้เดียว แต่คำขอก็ระบุรวม ๆ กันว่า ขอให้หมายเรียกพยานจำเลยซึ่งทนายจำเลยที่ 3 เป็นผู้ลงชื่อในคำร้อง และจำเลยที่ 3 ก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 3 มาศาลจึงไม่ใช่พยานซึ่งมาศาลตามหมายเรียกศาลไม่มีอำนาจกำหนดให้จำเลยที่ 3 ได้รับค่าป่วยการและค่าพาหนะตามตาราง 4ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ค่าป่วยการและค่าพาหนะที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จ่ายให้แก่จำเลยที่ 3 จึงไม่ใช่ค่าฤชาธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 วรรคสอง โจทก์ทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 514/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจขอถอนทนายความของจำเลยที่ถูกถอนชื่อออกจากทะเบียนบริษัท และบทบาทของผู้ชำระบัญชี
ขณะที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องขอถอนทนายความนั้นศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์แล้ว คดีจึงอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ผู้มีอำนาจสั่งคำร้องคือศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่งคำร้อง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 แต่งตั้งทนายความให้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตน เป็นการแต่งตั้งตัวแทน ตาม ป.พ.พ.ลักษณะ 15 ว่าด้วยตัวแทนมาตรา 797 และย่อมมีสิทธิขอถอนทนายความซึ่งเป็นตัวแทนเมื่อใดก็ได้ตามป.พ.พ. มาตรา 827 วรรคหนึ่ง หากทนายความเสียหายอย่างไรชอบที่จะว่ากล่าวเอาแก่คู่ความที่ตั้งตนเป็นทนายตาม ป.พ.พ. มาตรา 827 วรรคสอง
ขณะที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอถอนทนายความเป็นเวลาที่จำเลยที่ 1 ถูกนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลางถอนชื่อออกจากทะเบียน อันถือได้ว่าบริษัทได้เลิกแล้ว แต่ ป.พ.พ. มาตรา 1249 ก็บัญญัติว่าให้พึงถือว่ายังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชี จำเลยที่ 2 และที่ 6 เป็นกรรมการบริษัทผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ย่อมเข้าเป็นผู้ชำระบัญชี และมีอำนาจอยู่เช่นเดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1251, 1252 กับมีอำนาจตาม ป.พ.พ. มาตรา1259 ตราบใดที่ยังไม่มีการตั้งผู้ชำระบัญชีจำเลยที่ 1 ขึ้นมาใหม่ จำเลยที่ 2 และที่ 6 ในฐานะผู้ชำระบัญชีย่อมมีอำนาจยื่นคำร้องขอถอนทนายความแทนจำเลยที่ 1 ได้
จำเลยที่ 1 และที่ 2 แต่งตั้งทนายความให้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตน เป็นการแต่งตั้งตัวแทน ตาม ป.พ.พ.ลักษณะ 15 ว่าด้วยตัวแทนมาตรา 797 และย่อมมีสิทธิขอถอนทนายความซึ่งเป็นตัวแทนเมื่อใดก็ได้ตามป.พ.พ. มาตรา 827 วรรคหนึ่ง หากทนายความเสียหายอย่างไรชอบที่จะว่ากล่าวเอาแก่คู่ความที่ตั้งตนเป็นทนายตาม ป.พ.พ. มาตรา 827 วรรคสอง
ขณะที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอถอนทนายความเป็นเวลาที่จำเลยที่ 1 ถูกนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลางถอนชื่อออกจากทะเบียน อันถือได้ว่าบริษัทได้เลิกแล้ว แต่ ป.พ.พ. มาตรา 1249 ก็บัญญัติว่าให้พึงถือว่ายังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชี จำเลยที่ 2 และที่ 6 เป็นกรรมการบริษัทผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ย่อมเข้าเป็นผู้ชำระบัญชี และมีอำนาจอยู่เช่นเดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1251, 1252 กับมีอำนาจตาม ป.พ.พ. มาตรา1259 ตราบใดที่ยังไม่มีการตั้งผู้ชำระบัญชีจำเลยที่ 1 ขึ้นมาใหม่ จำเลยที่ 2 และที่ 6 ในฐานะผู้ชำระบัญชีย่อมมีอำนาจยื่นคำร้องขอถอนทนายความแทนจำเลยที่ 1 ได้