พบผลลัพธ์ทั้งหมด 981 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 176/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของการเปรียบเทียบปรับในคดีอาญาต่อการพิจารณาคดีแพ่ง: การยอมรับความผิดต่อพนักงานสอบสวนไม่ใช่คำพิพากษา
การที่จำเลยที่1ยอมรับต่อพนักงานสอบสวนในคดีอาญาว่าตนขับรถยนต์โดยประมาทชนรถยนต์คันที่ ว. ขับและยอมให้พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับมีผลเพียงทำให้คดีอาญาเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา37แต่การเปรียบเทียบปรับดังกล่าวไม่ใช่คำพิพากษาคดีส่วนอาญาไม่ต้องด้วยมาตรา46ที่คดีในส่วนแพ่งจะต้องถือข้อเท็จจริงตามการที่ศาลถือเอาข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวมาชี้ขาดตัดสินคดีแพ่งจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดิน, การพิพากษาเกินคำขอ, และการรับฟังพยานหลักฐานที่มิได้ปิดอากรแสตมป์
โจทก์อ้างสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นพยานเพื่อแสดงข้อเท็จจริงต่อศาลว่าได้มีการทำสัญญาระหว่าง ว. กับจำเลยที่1ไม่ได้อ้างเพื่อแสดงข้อเท็จจริงว่าเป็นใบรับจึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด6แห่งประมวลรัษฎากรข้อ28และไม่ต้องห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามประมวลรัษฎากรมาตรา118 ตาม คำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอให้บังคับจำเลยที่1จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์หากไม่ดำเนินการขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระราคาที่ดินที่ ว. ได้ชำระไปพร้อมดอกเบี้ยฉะนั้นคำขอของโจทก์คือถ้าโอนที่ดินไม่ได้ก็ขอเงินที่ชำระไปคืนโจทก์มิได้ขอให้จำเลยชำระราคาที่ดินในขณะฟ้องการที่ศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาให้จำเลยที่1ชำระราคาที่ดินจำนวน70,100บาทจึงเป็นการพิพากษาเกินคำขออันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจำเลยที่1จึงมีสิทธิฎีกาและศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอและข้อพิพาทเรื่องอากรแสตมป์ในสัญญาซื้อขายที่ดิน
โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกอ้างสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทซึ่งมีรายการแสดงว่าได้มีการชำระเงินจำนวน3,400บาทเป็นพยานเพื่อแสดงข้อเท็จจริงต่อศาลว่าได้มีการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทระหว่างเจ้ามรดกกับจำเลยที่1ไม่ได้อ้างเพื่อแสดงข้อเท็จจริงว่าเป็นใบรับจึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด6แห่งประมวลรัษฎากรข้อ28และไม่ต้องห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามมาตรา118 โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่เจ้ามรดกเป็นเงิน34,550บาทเจ้ามรดกผ่อนชำระค่างวดบางส่วนแล้วก็ถึงแก่ความตายโจทก์ในฐานะทายาทได้ผ่อนชำระส่วนที่เหลือจนครบแต่จำเลยที่1ไม่ยอมจดทะเบียนโอนที่ดินให้ขอให้บังคับจำเลยที่1จดทะเบียนโอนที่ดินให้ถ้าโอนไม่ได้ก็ขอเงินที่ชำระไปคืนพร้อมดอกเบี้ยโจทก์มิได้ขอให้จำเลยชำระราคาที่ดินในขณะฟ้องการที่ศาลพิพากษาให้จำเลยที่1ชำระราคาที่ดินจำนวน70,100บาทเป็นการพิพากษาเกินคำขออันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจำเลยที่1มีสิทธิฎีกาและศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องบังคับโอนที่ดินเกินคำขอ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัย
โจทก์อ้างสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นพยานเพื่อแสดงข้อเท็จจริงต่อศาลว่า ได้มีการทำสัญญาระหว่าง ว.กับจำเลยที่ 1 ไม่ได้อ้างเพื่อแสดงข้อเท็จจริงว่าเป็นใบรับ จึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด 6 แห่งประมวลรัษฎากร ข้อ 28 และไม่ต้องห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118
ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ หากไม่ดำเนินการขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระราคาที่ดินที่ ว.ได้ชำระไปพร้อมดอกเบี้ย ฉะนั้นคำขอของโจทก์คือถ้าโอนที่ดินไม่ได้ก็ขอเงินที่ชำระไปคืน โจทก์มิได้ขอให้จำเลยชำระราคาที่ดินในขณะฟ้องการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระราคาที่ดินจำนวน70,100 บาท จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขออันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิฎีกาและศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยให้
ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ หากไม่ดำเนินการขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระราคาที่ดินที่ ว.ได้ชำระไปพร้อมดอกเบี้ย ฉะนั้นคำขอของโจทก์คือถ้าโอนที่ดินไม่ได้ก็ขอเงินที่ชำระไปคืน โจทก์มิได้ขอให้จำเลยชำระราคาที่ดินในขณะฟ้องการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระราคาที่ดินจำนวน70,100 บาท จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขออันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิฎีกาและศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 172/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องสินสอดคืนเมื่อไม่จดทะเบียนสมรส: ความรับผิดชอบของโจทก์ในการไม่ดำเนินการจดทะเบียน
โจทก์หมั้นบุตรสาวจำเลยโดยมอบสินสอดให้จำเลยในวันทำพิธีแต่งงานแต่มิได้จดทะเบียนสมรสกันเพราะโจทก์ไม่ใส่ใจในการไปจดทะเบียนสมรสกับบุตรของจำเลยโจทก์จึงจะอ้างขอสินสอดคืนว่าเมื่อไม่มีการสมรสโจทก์ย่อมเรียกสินสอดคืนได้โดยไม่ต้องพิจารณาว่าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นหาได้ไม่โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกสินสอดคืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 143/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานเบิกความขัดแย้งจากอาการเมาสุรา และไม่มีพยานประกอบ ศาลยกฟ้องคดีฆ่า
โจทก์มีพยานที่รู้เห็นขณะเกิดเหตุรวม6ปากเบิกความเป็นทำนองเดียวกันว่าไม่เห็นใครเป็นผู้ยิงผู้ตายทั้งตามพฤติการณ์แห่งคดีก็ไม่มีเหตุบ่งชี้ว่าจะเบิกความบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริงเพื่อช่วยเหลือจำเลยประกอบกับขยะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืนซึ่งขณะนั้นพยานโจทก์ทั้งหกมีอาการเมาสุรามากคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งหกจึงมีน้ำหนักเชื่อได้ว่าเบิกความไปตามจริงยิ่งกว่าคำให้การชั้นสอบสวนที่ยืนยันว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายซึ่งเป็นพยานบอกเล่าและจำเลยไม่มีโอกาสได้ซักค้านเมื่อโจทก์ไม่มีพยานอื่นมาประกอบจึงไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 108/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่นำสืบพยานสนับสนุนข้อต่อสู้ถือเป็นการประวิงคดี
จำเลยให้การว่า ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันกับโจทก์ ลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวเป็นลายมือปลอม แต่ปรากฏว่าจำเลยกลับไม่สนใจมาเบิกความเป็นพยานต่อศาลเพื่อสนับสนุนข้อต่อสู้ของตน ที่ทนายจำเลยยื่นคำร้องและแถลงขอให้ศาลชั้นต้นส่งประเด็นไปสืบ ส.และ ศ.ที่ศาลอื่นก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยจะสืบในข้อใดและเกี่ยวแก่ประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลยเพียงใด คงกล่าวลอย ๆ ว่า ขอให้ส่งประเด็นไปสืบเท่านั้น ในฎีกาของจำเลยก็มิได้กล่าวให้ชัดแจ้งว่าจำเลยจะสืบพยานทั้งสองปากในข้อใด เกี่ยวแก่ประเด็นข้อพิพาทแค่ไหน เพียงใด พฤติการณ์ของจำเลยจึงเป็นการประวิงคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 108/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประวิงคดีด้วยการขอส่งประเด็นไปสืบพยานโดยไม่มีเหตุผลสนับสนุนข้อต่อสู้
จำเลยที่2ให้การว่าไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันกับโจทก์ลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวเป็นลายมือปลอมแต่จำเลยที่2กลับไม่สนใจมาเบิกความเป็นพยานเพื่อสนับสนุนข้อต่อสู้ของตนและก็ไม่ปรากฏว่าทนายจำเลยที่2จะสืบ ส. และ ศ. ตามที่ยื่นคำร้องและแถลงขอให้ศาลชั้นต้นส่งประเด็นไปสืบที่ศาลอื่นในข้อใดเพียงใดและในฎีกาของจำเลยที่2ก็มิได้กล่าวให้ชัดแจ้งว่าจะสืบพยานทั้งสองปากในข้อใดแค่ไหนเพียงใดการที่จำเลยที่2ขอส่งประเด็นไปสืบที่ศาลอื่นดังกล่าวจึงเป็นการประวิงคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 108/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประวิงคดีจากการไม่นำสืบพยานสนับสนุนข้อต่อสู้ แม้มีสิทธิขอส่งประเด็นไปสืบ
จำเลยให้การว่าไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันกับโจทก์ลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวเป็นลายมือปลอมแต่ปรากฎว่าจำเลยกลับไม่สนใจมาเบิกความเป็นพยานต่อศาลเพื่อสนับสนุนข้อต่อสู้ของตนที่ทนายจำเลยยื่นคำร้องและแถลงขอให้ศาลชั้นต้นส่งประเด็นไปสืบ ส.และ ศ.ที่ศาลอื่นก็ไม่ปรากฎว่าจำเลยจะสืบในข้อใดและเกี่ยวแก่ประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลยเพียงใดคงกล่าวลอยๆว่าขอให้ส่งประเด็นไปสืบเท่านั้นในฎีกาของจำเลยก็มิได้กล่าวให้ชัดแจ้งว่าจำเลยจะสืบพยานทั้งสองปากในข้อใดเกี่ยวแก่ประเด็นข้อพิพาทแค่ไหนเพียงใดพฤติการณ์ของจำเลยจึงเป็นการประวิงคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าของรวมในที่ดิน กรณีซื้อร่วมกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส การนำสืบเปลี่ยนแปลงเอกสาร
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์และม.ซื้อที่ดินมีโฉนดขณะที่โจทก์และม.อยู่กินฉันสามีภรรยาโดยไม่จดทะเบียนสมรสในการโอนทางทะเบียนโจทก์ให้ม. ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ด้วยตามฟ้องของโจทก์ไม่ใช่เป็นการฟ้องบังคับระหว่างคู่สัญญาตามสัญญาซื้อขายแต่เป็นกรณีที่โจทก์อ้างว่ามีส่วนเป็นเจ้าของรวมในที่ดินโจทก์จึงมีสิทธินำสืบได้ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94