คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมคิด ไตรโสรัส

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 981 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7511/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการเฉลี่ยทรัพย์: ที่ดินไม่สามารถขายทอดตลาดได้ ผู้ร้องมีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์
ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ภาษีอากรค้างของจำเลย ได้ยึดที่ดินของจำเลยขายทอดตลาดถึง 2 ครั้ง แต่ไม่มีผู้เข้าประมูลราคา เนื่องจากเป็นถนนส่วนบุคคล อีกทั้งตามราคาประเมินของที่ดินดังกล่าวไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ของจำเลยโดยสิ้นเชิงได้ และไม่ปรากฎว่าจำเลยมีทรัพย์สินอื่นอีก จึงเป็นกรณีที่ผู้ร้องไม่อาจเอาชำระได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลย ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 290 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7475/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมโดยอายุความ: ระยะเวลาการใช้ทางเดินข้ามที่ดินของผู้อื่นเกิน 10 ปี ทำให้เกิดสิทธิภารจำยอม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 และ 1388 เพ่งเล็งถึงความสำคัญของที่ดินที่เป็นสามยทรัพย์และภารยทรัพย์ ไม่ใช่ตัวบุคคลผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 24324 มาจาก ส. เมื่อวันที่ 25สิงหาคม 2520 จนถึงวันที่ ส. ขายที่พิพาทให้แก่จำเลยทั้งสามเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2529 เป็นระยะเวลาเพียง 8 ปีเศษ แต่หลังจากนั้นโจทก์ยังคงใช้ทางเดินในที่พิพาทติดต่อมาในช่วงที่จำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทอีก 2 ปีเศษถือได้ว่าที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของจำเลยทั้งสามมีทางเดินเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินแปลงของโจทก์มาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ย่อมเกิดภารจำยอมโดยอายุความได้สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1401

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7475/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระจำยอมโดยอายุความ: การใช้ทางเดินต่อเนื่องเกิน 10 ปี ทำให้เกิดสิทธิแม้เจ้าของที่ดินเปลี่ยน
ป.พ.พ. มาตรา 1387 และ 1388 เพ่งเล็งถึงความสำคัญของที่ดินที่เป็นสามยทรัพย์และภารยทรัพย์ ไม่ใช่ตัวบุคคลผู้เป็นเจ้าของทรัพย์เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 24324 มาจาก ส. เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2520 จนถึงวันที่ ส.ขายที่พิพาทให้แก่จำเลยทั้งสามเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2529 เป็นระยะเวลาเพียง 8 ปีเศษ แต่หลังจากนั้นโจทก์ยังคงใช้ทางเดินในที่พิพาทติดต่อมาในช่วงที่จำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทอีก 2 ปีเศษ ถือได้ว่าที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของจำเลยทั้งสามมีทางเดินเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินแปลงของโจทก์มาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ย่อมเกิดภาระจำยอมโดยอายุความได้สิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 1401

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7433/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์และการแบ่งแยกที่ดิน
เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 722 เนื้อที่ 2 ไร่ 80 ตารางวามีชื่อเด็กหญิง ส. กับพวกรวม 11 คน เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ต่อมาศาล-ชั้นต้นมีคำสั่งในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 495/2528 โดยระบุไว้แล้วว่าที่ดินส่วนของเด็กหญิง ส.ในโฉนดดังกล่าวจำนวน 35 ตารางวา ทิศใดมีความ-กว้างยาวและเขตติดต่ออย่างไร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินตามที่ศาลชั้นต้นระบุไว้ดังกล่าวแยกต่างหากจากเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่น ๆ มิใช่เป็นการได้มาในลักษณะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่น ๆ จำเลยที่ 1 คือ กรมที่ดินจึงต้องจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จำนวนเนื้อที่ 35ตารางวา ตาม ป.ที่ดิน มาตรา 78 ประกอบด้วยกฎกระทรวงฉบับที่ 7(พ.ศ.2497) ออกตามความใน พ.ร.บ. ให้ใช้ ป.ที่ดิน พ.ศ.2497 ข้อ 8(3) วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7433/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งแยกที่ดินหลังได้มาจากการครอบครองปรปักษ์: เจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมมีหน้าที่จดทะเบียนตามคำสั่งศาล
เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 722 เนื้อที่ 2 ไร่ 80 ตารางวามีชื่อเด็กหญิง ส. กับพวกรวม 11 คน เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 495/2528 โดยระบุไว้แล้วว่าที่ดินส่วนของเด็กหญิง ส. ในโฉนดดังกล่าวจำนวน 35 ตารางวา ทิศใดมีความกว้างยาวและเขตติดต่ออย่างไร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินตามที่ศาลชั้นต้นระบุไว้ดังกล่าวแยกต่างหากจากเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่น ๆ มิใช่เป็นการได้มาในลักษณะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่น ๆ จำเลยที่ 1 คือ กรมที่ดินจึงต้องจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จำนวนเนื้อที่ 35 ตารางวา ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 78 ประกอบด้วยกฎกระทรวงฉบับที่ 7(พ.ศ. 2497) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ข้อ 8(3)วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7433/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งแยกที่ดินจากการครอบครองปรปักษ์: จำเลยมีหน้าที่จดทะเบียนแบ่งแยกตามคำสั่งศาล
ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีที่โจทก์ร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์ได้ระบุไว้แล้วว่าที่ดิน ที่โจทก์ได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 มีเนื้อที่เท่าใดทิศใดมีความกว้างยาวและเขตติดต่อ อย่างไร โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินตามที่ศาลชั้นต้นระบุไว้ ดังกล่าวแยกต่างหากจากเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่น ๆ มิใช่ เป็นการได้มาในลักษณะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับเจ้าของ กรรมสิทธิ์รวมคนอื่น ๆ กรมที่ดินจำเลยจึงต้องจดทะเบียน แบ่งแยกที่ดินใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามจำนวนเนื้อที่ดิน ดังกล่าวตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 78 ประกอบด้วย กฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2497) ออกตามความใน พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ข้อ 8(3) วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7417/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้กรรมสิทธิ์จากการครอบครองปรปักษ์และการเพิกถอนคำสั่งศาลที่พิพากษาเรื่องกรรมสิทธิ์
คำขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลที่สั่งว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ พอจะแปลความหมายได้ว่าโจทก์ประสงค์ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลยขอให้คำสั่งดังกล่าวไม่ผูกพันโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ตามที่อ้าง จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลยกรณีจึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จะขอให้คำสั่งดังกล่าวไม่ผูกพันโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7322/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายเรียกโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์ต้องเป็นไปตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด มิฉะนั้นการส่งหมายไม่สมบูรณ์
การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคสอง จะมีผลใช้ได้ต่อเมื่อกำหนดเวลาสิบห้าวันหรือระยะเวลานานกว่านั้นตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดได้ล่วงพ้นไปแล้วนับแต่เวลาที่ลงประกาศในหนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์ลงประกาศตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2536ให้จำเลยทราบแทนการส่งหมายโดยศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การภายในวันที่ 23 เมษายน 2536 นับแต่วันลงประกาศหนังสือพิมพ์มีผลใช้ได้ต่อเมื่อกำหนดเวลาสิบห้าวันได้ล่วงพ้นไปแล้ว คือวันที่ 6 เมษายน 2536 และให้จำเลยยื่นคำให้การภายใน 15 วันคือภายในวันที่ 21 เมษายน 2536 เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดให้ยื่นคำให้การภายในวันที่ 23 เมษายน 2536 จึงเป็นการกำหนดเวลาสิบห้าวันได้ล่วงพ้นไปแล้ว และกำหนดระยะเวลาอีกสิบห้าวันที่ให้จำเลยยื่นคำให้การรวมเข้าไปด้วยแล้ว จึงถือว่าการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายเมื่อจำเลยมิได้ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งมิได้แจ้งเหตุขัดข้องต่อศาล จึงถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ต้องมีคำขอต่อศาลภายใน 15 วัน นับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลง เพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ เมื่อโจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในกำหนด ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 198 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7238/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมหมดประโยชน์หรือไม่ พิจารณาประโยชน์ต่อสามยทรัพย์เป็นหลัก ไม่ใช่การใช้งานจริงของผู้ใช้
การที่จะพิจารณาว่าภารจำยอมหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1400 หรือไม่ ต้องพิจารณาถึงสามยทรัพย์เป็นสำคัญ มิใช่พิจารณาถึงตัวบุคคลที่อยู่ในสามยทรัพย์แม้ว่าตัวบุคคลที่อยู่ในสามยทรัพย์จะมิได้ใช้ภารยทรัพย์ แต่ถ้าภารยทรัพย์ยังมีประโยชน์ต่อสามยทรัพย์อยู่ ก็จะถือว่าภารจำยอมหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์มิได้ สามยทรัพย์เป็นที่ดิน 3 แปลงอยู่ติดกัน แต่เป็นของเจ้าของคนเดียวกัน ฉะนั้นเจ้าของสามยทรัพย์จึงเลือกที่จะทำประตูออกไปสู่ภารยทรัพย์ซึ่งอยู่ติดกับสามยทรัพย์แปลงใดก็ได้ และถ้าเจ้าของสามยทรัพย์ขายสามยทรัพย์แปลงสุดท้ายซึ่งมิได้ทำประตูเข้าออกให้ผู้อื่นไป ผู้ซื้อก็ยังเป็นเจ้าของสามยทรัพย์แปลงนั้นอยู่และมีสิทธิใช้ภารยทรัพย์ที่ติดกับสามยทรัพย์นั้นได้ ดังนี้ภารจำยอมส่วนนี้จึงไม่ได้หมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7238/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมหมดประโยชน์ พิจารณาประโยชน์ต่อสามยทรัพย์ ไม่ใช่ตัวบุคคลผู้ใช้
การที่จะพิจารณาว่าภารจำยอมหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1400 หรือไม่ ต้องพิจารณาถึงสามยทรัพย์เป็นสำคัญมิใช่พิจารณาถึงตัวบุคคลที่อยู่ในสามยทรัพย์ แม้ตัวบุคคลที่อยู่ในสามยทรัพย์จะมิได้ใช้ภารยทรัพย์ แต่ถ้าภารยทรัพย์ยังมีประโยชน์ต่อสามยทรัพย์อยู่ ก็จะถือว่าภารจำยอมหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์มิได้
of 99