คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมคิด ไตรโสรัส

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 981 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3360/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขาย, การเลิกสัญญา, สิทธิเรียกร้องคืนสภาพเดิม, การครอบครองปรปักษ์, ค่าเสียหายจากการปลูกสร้าง
โจทก์ทั้งสองได้ทำสัญญาตกลงให้จำเลยปลูกสร้างตึกแถวในที่ดินสองแปลง รวม 4 ห้อง เมื่อปลูกสร้างเสร็จแล้วจำเลยจะยกตึกแถวจำนวน2 ห้อง ที่ปลูกให้แก่โจทก์ทั้งสอง ส่วนโจทก์ที่ 1 จะยกที่ดินของโจทก์ที่ 1 ในส่วนที่ปลูกตึกแถวอีก 2 ห้อง ให้แก่จำเลยเป็นการตอบแทนกัน ต่อมาขณะที่จำเลยปลูกสร้างตึกแถวพิพาทยังไม่เสร็จโจทก์ทั้งสองกับจำเลยได้ตกลงเลิกสัญญาการสร้างตึกแถว และได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินโดยโจทก์ที่ 1 ตกลงจะขายที่ดินให้จำเลยแต่ยังไม่ได้ตกลงราคากัน และโจทก์ที่ 1 ยินยอมให้จำเลยทำการปลูกสร้างตึกแถวพิพาทต่อไป แต่ในที่สุดตกลงราคากันไม่ได้ จึงเลิกสัญญาจะซื้อขายกันอีก ดังนี้ จึงต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 วรรคแรก ที่บัญญัติว่า เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม และวรรคสามที่บัญญัติว่า ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้และเป็นการยอมให้ใช้ทรัพย์นั้น การที่จะชดใช้คืน ท่านให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น มาปรับแก่คดีโดยจำเลยต้องคืนที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนควบตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองผู้เป็นเจ้าของที่ดินแล้วให้แก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยไม่มีสิทธิที่จะครอบครองที่ดินและตึกแถวพิพาทของโจทก์ทั้งสองต่อไป และโจทก์ทั้งสองต้องชดใช้ค่าปลูกสร้างตึกแถวพิพาทอันเป็นการงานที่จำเลยได้กระทำไปให้แก่จำเลย แต่เนื่องจากจำเลยไม่ได้ฟ้องแย้งขอให้โจทก์ทั้งสองชดใช้ค่าปลูกสร้างตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลย ดังนั้น จึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสองต้องชดใช้ค่าปลูกสร้างตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลยเป็นจำนวนเงินเท่าใด และโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกไปจากที่ดินและตึกแถวพิพาทของโจทก์ทั้งสองได้แต่จะขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนตึกแถวพิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสองไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3360/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดินและสร้างบ้านยกเลิก ผลกระทบต่อกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
จำเลยปลูกสร้างตึกแถวพิพาทในที่ดินโจทก์ทั้งสอง โดยอาศัยข้อสัญญาระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลย กับโจทก์ที่ 1 ยินยอมให้จำเลยปลูกสร้างตึกแถวต่อไปตามบันทึกข้อตกลงการซื้อขายที่ดิน เมื่อโจทก์ทั้งสองกับจำเลยตกลงยกเลิกสัญญาการสร้างบ้าน และบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ต้องนำ ป.พ.พ. มาตรา 391วรรคหนึ่ง และวรรคสาม มาใช้บังคับ โดยจำเลยต้องคืนที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทซึ่งเป็นส่วนควบตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ให้แก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยไม่มีสิทธิครอบครองต่อไป และโจทก์ทั้งสองต้องชดใช้ค่าปลูกสร้างตึกแถวพิพาทอันเป็นการงานที่จำเลยได้กระทำไปให้แก่จำเลย
จำเลยไม่ได้ฟ้องแย้งขอให้โจทก์ทั้งสองชดใช้ค่าปลูกสร้างตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลย จึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสองต้องชดใช้ค่าปลูกสร้างตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลยเป็นจำนวนเงินเท่าใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3360/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เลิกสัญญา สร้างบ้าน-ซื้อขายที่ดิน จำเลยต้องคืนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง โจทก์ชดใช้ค่าปลูกสร้าง
จำเลยปลูกสร้างตึกแถวพิพาทในที่ดินโจทก์ทั้งสอง โดยอาศัยข้อสัญญาระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลย กับโจทก์ที่ 1 ยินยอมให้จำเลยปลูกสร้างตึกแถวต่อไปตามบันทึกข้อตกลงการซื้อขายที่ดินเมื่อโจทก์ทั้งสองกับจำเลยตกลงยกเลิกสัญญาการสร้างบ้านและบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม มาใช้บังคับ โดยจำเลยต้องคืนที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทซึ่งเป็นส่วนควบตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ให้แก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยไม่มีสิทธิครอบครองต่อไป และโจทก์ทั้งสองต้องชดใช้ค่าปลูกสร้างตึกแถวพิพาทอันเป็นการงานที่จำเลยได้กระทำไปให้แก่จำเลย จำเลยไม่ได้ฟ้องแย้งขอให้โจทก์ทั้งสองชดใช้ค่าปลูกสร้างตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลย จึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสองต้องชดใช้ค่าปลูกสร้างตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลยเป็นจำนวนเงินเท่าใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3089/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอออก น.ส.3ก. ทับที่ดินของผู้อื่นโดยมิได้ครอบครอง ถือเป็นการละเมิดและฟ้องแย้งไม่ขาดอายุความ
เมื่อที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย การที่โจทก์ขอออก น.ส.3 ก.ที่ดินของตนรวมทั้งที่พิพาทโดยโจทก์ไม่ได้ครอบครองที่พิพาทเลยถือไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 และการที่โจทก์ไปขอออก น.ส.3 ก. นั้นก็เป็นการละเมิดต่อจำเลย ตราบใดที่ น.ส.3 ก. ไม่ถูกเพิกถอนย่อมถือว่าการกระทำละเมิดยังมีอยู่ ฟ้องแย้งของจำเลย จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3089/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอออก น.ส.3ก. ทับที่ดินของผู้อื่นโดยมิได้ครอบครอง ถือเป็นการละเมิดและฟ้องแย้งไม่ขาดอายุความ
ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย การที่โจทก์ขอออก น.ส. 3 ก.ที่ดินของตนรวมทั้งที่พิพาทโดยโจทก์ไม่ได้ครอบครองที่พิพาทเลยจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครอง โจทก์ย่อมจะอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคแรก มาใช้บังคับหาได้ไม่และเมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิในที่พิพาท การที่โจทก์ไปขอออก น.ส.3 ก.จึงเป็นการละเมิดต่อจำเลย ตราบใดที่ น.ส.3 ก. ไม่ถูกเพิกถอนย่อมถือว่าการกระทำละเมิดยังมีอยู่ ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2989/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนใจเจ้าพนักงานป่าไม้เพื่อให้ปล่อยไม้ยึด: พยายามกระทำความผิดแม้ผู้เสียหายไม่เกรงกลัว
การที่จำเลยพูดขู่เข็ญจะฆ่าผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้หากไม่ปล่อยไม้ที่ยึด เป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่หรือให้ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่ เป็นการลงมือกระทำความผิดครบองค์ประกอบความผิดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เพราะผู้เสียหายไม่เกรงกลัวไม่ยินยอมปล่อยไม้ที่ยึด ผู้เสียหายจึงไม่ได้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยกฎหมายหรือละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่ที่จำเลยข่มขืนใจ จำเลยจึง มีความผิดขั้นพยายามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 139ประกอบมาตรา 80

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2927/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คพิพาท - คำรับของจำเลยเพียงพอแล้ว ไม่ต้องพิสูจน์เช็ค - แก้คำพิพากษาจำเลยที่ 1-2
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงินตามเช็ค จำเลยที่ 3 ให้การรับว่าได้ออกเช็คพิพาทจริง เพียงแต่อ้างว่าเป็นเช็คที่ออกเพื่อประกันการชำระหนี้ ดังนี้ โจทก์จึงไม่มีภาระการพิสูจน์และส่งอ้างเช็คพิพาทเป็นพยานหลักฐาน เพราะรับฟังได้ตามคำรับของจำเลยที่ 3 แล้ว จึงไม่มีกรณีต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 ที่ห้ามรับฟังตราสารที่ไม่ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2927/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสภาพหนี้ตามเช็คพิพาท และผลกระทบต่อการพิสูจน์หลักฐาน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงินตามเช็ค จำเลยที่ 3 ให้การรับว่าได้ออกเช็คพิพาทจริง เพียงแต่อ้างว่าเป็นเช็คที่ออกเพื่อประกันการชำระหนี้ ดังนี้ โจทก์จึงไม่มีภาระการพิสูจน์และส่งอ้างเช็คพิพาทเป็นพยานหลักฐาน เพราะรับฟังได้ตามคำรับของจำเลยที่ 3แล้ว จึงไม่มีกรณีต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ที่ห้ามรับฟังตราสารที่ไม่ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2872/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนี้ใหม่จากการออกตั๋วสัญญาใช้เงินชำระดอกเบี้ยเดิม โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากเงินต้นใหม่ได้ ไม่ถือเป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย
จำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์ 2 ฉบับเพื่อชำระหนี้โจทก์โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ด้วย จำเลยได้ชำระต้นเงินตามตั๋วเงินแล้วแต่ยังไม่ได้ชำระดอกเบี้ย ต่อมาจำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับพิพาทเพื่อชำระดอกเบี้ยดังกล่าว พร้อมกับกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้อีกด้วยถือว่าจำนวนเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับพิพาทกลายเป็นหนี้ใหม่และเป็นเงินต้น โจทก์จึงมีสิทธิได้ดอกเบี้ยจากเงินจำนวนนี้หาใช่เป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2872/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่สร้างหนี้ใหม่ได้ แม้เป็นดอกเบี้ยหนี้เดิม
แม้ตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับพิพาทจะออกเพื่อชำระดอกเบี้ยของหนี้เดิมที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ก่อนก็ตาม เมื่อจำเลยได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ชำระหนี้นั้น จำนวนเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจึงกลายเป็นหนี้ใหม่ และเป็นต้นเงินไปเสียแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากเงินจำนวนนี้ หาใช่เป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยไม่
of 99