พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,393 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4699/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างต่อความเสียหายจากความประมาทเลินเล่อของตนเอง และความรับผิดต่อการทุจริตของลูกจ้าง
จำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์ดำรงตำแหน่งผู้จัดการสาขาน่าน จำเลยจึงมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการบริหารงานของสาขาโจทก์ที่จำเลยเป็นผู้จัดการทั้งหมด ทั้งเป็นผู้บังคับบัญชาพนักงานของโจทก์ที่ทำงานอยู่ในสาขาเดียวกันกับจำเลยจำเลยจะต้องควบคุมดูแลให้พนักงานปฏิบัติงานตามระเบียบข้อบังคับของโจทก์โดยเคร่งครัดรวมทั้งตัวจำเลยด้วย ทั้งนี้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของโจทก์ตามสัญญาจ้างแรงงาน จำเลยเป็นผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงและตู้นิรภัยชุดหนึ่งซึ่งจำเลยสามารถจะเข้าไปเปิดห้องมั่นคง และตู้นิรภัยได้ตลอดเวลาโดยลำพังผู้เดียวส่วนกุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงและตู้นิรภัยอีกชุดหนึ่งมีการแยกเก็บรักษา โดย ร.เป็นผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคง ส่วน พ.ผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสตู้นิรภัยลำพังเพียง ร.หรือ พ.คนใดคนหนึ่งไม่สามารถจะเปิดตู้นิรภัยได้ ก่อนวันเกิดเหตุและระหว่างวันเกิดเหตุ พ.กลับจากลาพักผ่อนประจำปีเข้ามาทำงานตามปกติ และได้รับมอบกุญแจและรหัสตู้นิรภัยมาเก็บรักษาแล้ว ดังนั้น ระหว่างวันเกิดเหตุผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงคือ ร.และผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสตู้นิรภัยคือ พ.เมื่อเป็นเช่นนี้ในขณะเกิดเหตุ ร.หรือ พ.จึงไม่อาจจะเข้าไปเปิดตู้นิรภัยตามลำพังเพียงคนเดียวได้ แต่จำเลยเพียงผู้เดียวสามารถที่จะเข้าไปเปิดได้ เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แห่งคดีที่ส่วนหนึ่งของเงินที่หายไปอยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของ พ.ซึ่งศาลแรงงานกลางฟังว่าเงินของโจทก์หายไปเกิดจากการกระทำของผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงกับตู้นิรภัยแล้ว สำหรับ ร.และ พ.นั้นต่างคนต่างเก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงและตู้นิรภัยอันเป็นการแยกเก็บรักษาตามหน้าที่ของตนตามปกติ จึงถือมิได้ว่าปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อทำให้เงินของโจทก์หายส่วนกรณีเงินที่หายไปจากตู้นิรภัยส่วนหนึ่ง กับเงินที่มิได้เก็บไว้ในตู้นิรภัย แต่ไปอยู่ที่ลิ้นชักโต๊ะทำงานของ พ.นั้นก็ไม่ทำให้เห็นว่า พ.ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือประมาทเลินเล่อ เพราะเงินที่หายไปเป็นเงินที่ได้นำไปเก็บไว้ในตู้นิรภัยเรียบร้อยแล้วหาก พ.ทำการทุจริตก็คงจะไม่นำเงินที่ตนเอาไปเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะในที่ทำงานเช่นนี้ สำหรับจำเลยนั้นมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการบริหารงานสาขาโจทก์ที่จังหวัดน่านให้ดำเนินไปด้วยดี โดยจำเลยจะต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับที่โจทก์วางไว้อย่างเคร่งครัด การที่จำเลยปฏิบัติหน้าที่ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โดยไม่เปลี่ยนรหัสประตูห้องมั่นคงและรหัสตู้นิรภัยเมื่อมีการสับเปลี่ยนพนักงานระดับบริหารที่เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงกับตู้นิรภัย และจำเลยเองก็เป็นผู้เก็บรักษาทั้งกุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงกับตู้นิรภัย ซึ่งจำเลยสามารถเข้าไปเปิดตู้นิรภัยตามลำพังได้ตลอดเวลา เมื่อเงินของโจทก์ที่เก็บไว้ในตู้นิรภัยหายไปก็ไม่สามารถที่จะสอบหาตัวผู้ทุจริตได้เช่นนี้ ถือได้ว่าความเสียหายเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้เงินที่หายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4699/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างต่อความเสียหายจากเงินหายในตู้นิรภัย อันเกิดจากความประมาทเลินเล่อในการรักษาความปลอดภัย
จำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์ดำรงตำแหน่งผู้จัดการสาขาน่านจำเลยจึงมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการบริหารงานของสาขาโจทก์ที่จำเลยเป็นผู้จัดการทั้งหมดทั้งเป็นผู้บังคับบัญชาพนักงานของโจทก์ที่ทำงานอยู่ในสาขาเดียวกันกับจำเลยจำเลยจะต้องควบคุมดูแลให้พนักงานปฏิบัติงานตามระเบียบข้อบังคับของโจทก์โดยเคร่งครัดรวมทั้งตัวจำเลยด้วยทั้งนี้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของโจทก์ตามสัญญาจ้างแรงงานจำเลยเป็นผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงและตู้นิรภัยชุดหนึ่งซึ่งจำเลยสามารถจะเจ้าไปเปิดห้องมั่นคงและตู้นิรภัยได้ตลอดเวลาโดยลำพังผู้เดียวส่วนกุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงและตู้นิรภัยอีกชุดหนึ่งมีการแยกเก็บรักษาโดยร.เป็นผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงส่วนพ. ผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสตู้นิรภัยลำพังเพียงร. หรือพ. คนใดคนหนึ่งไม่สามารถจะเปิดตู้นิรภัยได้ก่อนวันเกิดเหตุและระหว่างวันเกิดเหตุพ. กลับจากลาพักผ่อนประจำปีเข้ามาทำงานตามปกติและได้รับมอบกุญแจและรหัสตู้นิรภัยมาเก็บรักษาแล้วดังนั้นระหว่างวันเกิดเหตุผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงหรือรและผู้เก็บรักษากุญแจและรหสตู้นิรภัยคือพ. เมื่อเป็นเช่นนี้ในขณะเกิดเหตุร. หรือพ. จึงไม่อาจจะเข้าไปเปิดตู้นิรภัยตามลำพังเพียงคนเดียวได้แต่จำเลยเพียงผู้เดียวสามารถที่จะเข้าไปเปิดได้เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แห่งคดีที่ส่วนหนึ่งของเงินที่หายไปอยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของพ. ซึ่งศาลแรงงานกลางฟังว่าเงินของโจทก์หายไปเกิดจากการกระทำของผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงกับตู้นิรภัยแล้วสำหรับร. และพ. นั้นต่างคนต่างเก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงและตู้นิรภัยอันเป็นการแยกเก็บรักษาตามหน้าที่ของตนตามปกติจึงถือมิได้ว่าปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อทำให้เงินของโจทก์หายส่วนกรณีเงินที่หายไปจากตู้นิรภัยส่วนหนึ่งกับเงินที่มิได้เก็บไว้ในตู้นิรภัยแต่ไปอยู่ที่ลิ้นชักโต๊ะทำงานของพ. นั้นก็ไม่ทำให้เห็นว่าพ. ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือประมาทเลินเล่อเพราะเงินที่หายไปเป็นเงินที่ได้นำไปเก็บไว้ในตู้นิรภัยเรียบร้อยแล้วหากพ. ทำการทุจริตก็คงจะไม่นำเงินที่ตนเอาไปเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะในที่ทำงานเช่นนี้สำหรับจำเลยนั้นมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการบริหารงานสาขาโจทก์ที่จังหวัดน่านให้ดำเนินไปด้วยดีโดยจำเลยจะต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับที่โจทก์วางไว้อย่างเคร่งครัดการที่จำเลยปฏิบัติหน้าที่ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงโดยไม่เปลี่ยนรหัสประตูห้องมั่นคงและรหัสตู้นิรภัยเมื่อมีการสับเปลี่ยนพนักงานระดับบริหารที่เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงกับตู้นิรภัยและจำเลยเองก็เป็นผู้เก็บรักษาทั้งกุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงกับตู้นิรภัยซึ่งจำเลยสามารถเข้าไปเปิดตู้นิรภัยตามลำพังได้ตลอดเวลาเมื่อเงินของโจทก์ที่เก็บไว้ในตู้นิรภัยหายไปก็ไม่สามารถที่จะสอบหาตัวผู้ทุจริตได้เช่นนี้ถือได้ว่าความเสียหายเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยจำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้เงินที่หายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4612/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองอีเฟดรีนประเภท 2 เพื่อจำหน่าย เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 86 (พ.ศ.2536)เรื่อง เปลี่ยนแปลงประเภทวัตถุออกฤทธิ์ตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 ได้ประกาศกำหนดให้อีเฟดรีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ประกาศฉบับดังกล่าวนี้ได้ยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 51 และฉบับที่ 71 ที่เกี่ยวกับอีเฟดรีนแล้ว หลังจากที่ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 86 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม2536 แล้ว ดังนั้นไม่ว่าอีเฟดรีนจะมีโครงสร้างทางเคมีอยู่ในรูปใดหรือวัตถุตำรับใด หากมีอีเฟดรีนผสมอยู่แล้วให้ถือว่าวัตถุตำรับนั้นเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2ตามมาตรา 59 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518
จำเลยที่ 1 มีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีถุงพลาสติกขนาดเล็กเพื่อไว้บรรจุแบ่งขายเป็นจำนวนมากเช่นกัน แสดงว่าจำเลยที่ 1 มีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อขายอันเป็นการขายตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 มีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีถุงพลาสติกขนาดเล็กเพื่อไว้บรรจุแบ่งขายเป็นจำนวนมากเช่นกัน แสดงว่าจำเลยที่ 1 มีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อขายอันเป็นการขายตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4612/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองและจำหน่ายอีเฟดรีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 มีความผิดตามกฎหมาย
ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่86(พ.ศ.2536)เรื่องเปลี่ยนแปลงประเภทวัตถุออกฤทธิ์ตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518ได้ประกาศกำหนดให้อีเฟดรีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2ประกาศฉบับดังกล่าวนี้ได้ยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่51และฉบับที่71ที่เกี่ยวกับ อีเฟดรีนแล้วหลังจากที่ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่86มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่27พฤษภาคม2536แล้วดังนั้นไม่ว่า อีเฟดรีนจะมีโครงสร้างทางเคมีอยู่ในรูปใดหรือวัตถุตำรับใดหากมี อีเฟดรีนผสมอยู่แล้วให้ถือว่าวัตถุตำรับนั้นเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2ตามมาตรา59แห่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518 จำเลยที่1มีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2ไว้ในครอบครองเป็นจำนวนมากรวมทั้งมีถุงพลาสติกขนาดเล็กเพื่อไว้บรรจุแบ่งขายเป็นจำนวนมากเช่นกันแสดงว่าจำเลยที่1มีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2ไว้ในครอบครองเพื่อขายอันเป็นการขายตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4335/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม, คำสั่งระหว่างพิจารณาไม่อุทธรณ์ได้, สิทธิไล่เบี้ยไม่เป็นคำคู่ความ
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้เดินผ่านทางพิพาทในที่ดินของจำเลย เกินกว่า 10 ปี จนได้ภารจำยอม จำเลยทำรั้วปิดกั้นขอให้จำเลยรื้อรั้วและจดทะเบียนทางพิพาทเป็นภารจำยอมแก่โจทก์แต่ตามฟ้องแย้งของจำเลยกล่าวอ้างว่าโจทก์กระทำละเมิดต่อจำเลยโดยโจทก์แกล้งฟ้องจำเลยเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย ดังนี้คำฟ้องแย้งของจำเลยศาลจะบังคับตามคำขอได้ก็ต่อเมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีแล้ว จึงเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไขไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอจะรวมการพิจารณาและชี้ขาดเข้าด้วยกันได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 179 วรรคท้าย คำร้องของจำเลยที่ขอให้เรียก ป. เข้ามาเป็นคู่ความร่วมโดยจำเลยขอใช้สิทธิไล่เบี้ยเอากับ ป.ไม่ใช่คำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(5)การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เรียกป.เข้ามาเป็นคู่ความไม่ใช่คำสั่งเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความและไม่ใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความ แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4321/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนขายทรัพย์สินราคาต่ำกว่าตลาดเพื่อหลีกเลี่ยงหนี้เจ้าหนี้ ถือเป็นการฉ้อฉล
ขณะที่จำเลยที่ 1 ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยที่ 2เพื่อนำเงินไปไถ่ถอนจำนอง จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ธนาคารอยู่ 469,828.63 บาทในวันเดียวกันนั้นจำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองที่ดินไว้แก่ธนาคารต่ออีกในวงเงิน470,000 บาท ราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 มีราคาท้องตลาดไม่ต่ำกว่า 600,000 บาท เมื่อจำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยที่ 2 ในราคา 470,000 บาท โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้ชำระราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ 1 เพียงแต่จำเลยที่ 2 ชำระค่าดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เท่านั้น หากจำเลยที่ 1 ไม่โอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 โจทก์จะสามารถบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1โดยธนาคารซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำนองจะได้รับชำระหนี้ก่อนตามที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้อยู่469,828.63 บาท เงินส่วนที่เหลือหลังจากชำระหนี้จำนองให้ธนาคารแล้ว โจทก์ก็สามารถที่จะรับชำระหนี้จากเงินส่วนที่เหลือนี้ได้แม้จะได้ไม่ครบเต็มจำนวนหนี้ก็ตามการกระทำของจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยรู้อยู่ว่าจะเป็นทางเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์เสียเปรียบ และจำเลยที่ 2 ได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบ ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฉ้อฉลโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนดังกล่าวได้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 237
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4321/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนขายทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงหนี้ และฉ้อฉลเจ้าหนี้ ศาลเพิกถอนนิติกรรมได้
ขณะที่จำเลยที่1ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยที่2เพื่อนำเงินไปไถ่ถอนจำนองจำเลยที่1เป็นหนี้ธนาคารอยู่469,828.63บาทในวันเดียวกันนั้นจำเลยที่2จดทะเบียนจำนองที่ดินไว้แก่ธนาคารต่ออีกในวงเงิน470,000บาทราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่1มีราคาท้องตลาดไม่ต่ำกว่า600,000บาทเมื่อจำเลยที่1โอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยที่2ในราคา470,000บาทโดยจำเลยที่2ไม่ได้ชำระราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่1เพียงแต่จำเลยที่2ชำระค่าดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารและค่าธรรมเนียมต่างๆเท่านั้นหากจำเลยที่1ไม่โอนขายให้แก่จำเลยที่2โจทก์จะสามารถบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่1โดยธนาคารซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำนองจะได้รับชำระหนี้ก่อนตามที่จำเลยที่1เป็นหนี้อยู่469,828.63บาทเงินส่วนที่เหลือหลังจากชำระหนี้จำนองให้ธนาคารแล้วโจทก์ก็สามารถที่จะรับชำระหนี้จากเงินส่วนที่เหลือนี้ได้แม้จะได้ไม่ครบเต็มจำนวนหนี้ก็ตามการกระทำของจำเลยที่1ถือได้ว่าการกระทำโดยรู้อยู่ว่าจะเป็นทางเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์เสียเปรียบและจำเลยที่2ได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบถือได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฉ้อฉลโจทก์โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา237
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4113/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำตายของผู้ถูกทำร้ายมีน้ำหนักเป็นพยานหลักฐานสำคัญ
บาดแผลที่ผู้ตายได้รับเป็นบาดแผลฉกรรจ์ เมื่อผู้ตายวิ่งมาขอความช่วยเหลือแล้วผู้ตายก็เงียบเสียงไปพูดไม่ได้อีก ขณะนำผู้ตายส่งโรงพยาบาลมีผู้ถามอาการผู้ตาย ผู้ตายส่งเสียงฮือแล้วไม่พูดอะไร การที่ผู้ตายวิ่งมาขอความช่วยเหลือและบอกถึงคนที่ทำร้ายตนในโอกาสแรกเช่นนี้ แสดงให้เห็นได้อยู่ในตัวว่าผู้ตายรู้ตัวว่าตนจะต้องตายและผู้ตายไม่มีเวลาที่จะคิดปรักปรำบุคคลอื่นโดยไม่เป็นความจริง ดังนั้น คำพูดของผู้ตายที่พูดบอกก่อนตายจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4113/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำบอกเล่าของผู้ตายก่อนเสียชีวิตมีน้ำหนักรับฟังได้ และพยานหลักฐานสนับสนุนยืนยันตัวจำเลยเป็นผู้กระทำผิด
การที่ผู้ตายซึ่งถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างมากวิ่งมาขอความช่วยเหลือจากอ. และพูดบอกถึงคนที่ทำร้ายตนในโอกาสแรกแล้วก็เงียบเสียงไปพูดไม่ได้อีกและถึงแก่ความตายในคืนนั้นเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ตายรู้ตัวว่าจะต้องตายและผู้ตายคงไม่มีเวลาที่จะคิดปรักปรำผู้อื่นโดยไม่เป็นความจริงคำพูดของผู้ตายที่พูดบอกก่อนตายจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4113/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำบอกเล่าของผู้ตายก่อนสิ้นใจมีน้ำหนักรับฟังได้ หากแสดงให้เห็นว่ารู้ตัวว่ากำลังจะตายและไม่มีเวลาปรักปรำผู้อื่น
บาดแผลที่ผู้ตายได้รับเป็นบาดแผลฉกรรจ์เมื่อผู้ตายวิ่งมาขอความช่วยเหลือแล้วผู้ตายก็เงียบเสียงไปพูดไม่ได้อีกขณะนำผู้ตายส่งโรงพยาบาลมีผู้ถามอาการผู้ตายผู้ตายส่งเสียงฮือแล้วไม่พูดอะไรการที่ผู้ตายวิ่งมาขอความช่วยเหลือและบอกถึงคนที่ทำร้ายตนในโอกาสแรกเช่นนี้แสดงให้เห็นได้อยู่ในตัวว่าผู้ตายรู้ตัวว่าตนจะต้องตายและผู้ตายไม่มีเวลาที่จะคิดปรักปรำบุคคลอื่นโดยไม่เป็นความจริงดังนั้นคำพูดของผู้ตายที่พูดบอกก่อนตายจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้