คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พิมล สมานิตย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,393 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1641/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตั้งโรงงานแปรรูปไม้ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.โรงงาน และ พ.ร.บ.ป่าไม้ การอนุญาตจาก พ.ร.บ.โรงงาน ไม่คุ้มครองความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้
การที่จำเลยตั้งโรงงานแปรรูปไม้จำเลยต้องปฏิบัติตามกฎหมาย2ฉบับคือต้องขออนุญาตตั้งโรงงานตามพระราชบัญญัติโรงงานและเมื่อจำเลยใช้โรงงานดังกล่าวแปรรูปไม้จำเลยก็ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484มาตรา48วรรคหนึ่งด้วยจำเลยได้รับอนุญาตให้ตั้งโรงงานตามพระราชบัญญัติโรงงานแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้รับอนุญาตให้แปรรูปไม้จำเลยจึงมีความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตและมีความผิดฐานแปรรูปไม้หวงห้ามตามกฎหมายโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484มาตรา48 แม้ใบอนุญาตให้จำเลยประกอบกิจการโรงงานระบุว่าให้จำเลยแปรรูปไม้ได้ก็เป็นเพียงระบุกิจการของจำเลยไว้เท่านั้นและผู้อนุญาตก็ไม่ใช่เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจตามพระราชบัญญัติป่าไม้ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานทำให้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติโรงงานเท่านั้นแต่ไม่คุ้มให้จำเลยพ้นผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1604/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หลักเกณฑ์การรับฟังเอกสารทางแพ่ง, หนี้บัตรเครดิต, และการตรวจสอบรายการใช้จ่ายโดยผู้ถือบัตร
เอกสารใบแจ้งรายการใช้บัตรเครดิตซึ่งตามใบคำขอสินเชื่อบัตรเครดิตได้กำหนดเงื่อนไขของผู้ถือบัตรไว้ในข้อ 6 ว่าผู้ถือบัตรและหรือเจ้าของบัญชีจะต้องตรวจสอบรายการที่ธนาคารได้หักบัญชีไปแล้วนั้นทุกครั้งที่ได้รับใบแจ้งรายการหักบัญชี ถ้ามีรายการใดผิดพลาดผู้ถือบัตรและหรือเจ้าของบัญชีจะต้องรีบแจ้งให้ธนาคารทราบภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งการหักบัญชี โจทก์ได้ส่งต้นฉบับใบแจ้งรายการใช้บัตรเครดิตให้จำเลยเพื่อตรวจสอบและคัดค้านตามที่ได้กำหนดเป็นเงื่อนไขกันไว้นี้แล้วตามประเพณีที่ธนาคารปฏิบัติต่อลูกค้าทั่ว ๆ ไป ซึ่งตามเอกสารดังกล่าวมีข้อความปรากฎถึง วัน เดือน ปี รหัส ประเภทการใช้บัตรสถานที่ใช้บัตรซึ่งมีรายละเอียดเพียงพอที่จำเลยจะตรวจสอบและคัดค้านได้ไม่ปรากฎว่าจำเลยได้คัดค้านว่าไม่ถูกต้องแต่อย่างใดส่วนรายการหักทอนบัญชีระหว่างโจทก์จำเลยอันเนื่องมาจากการใช้บัตรเครดิตของจำเลยในบัญชีเดินสะพัดก็เป็นสมุดบัญชีของธนาคารซึ่งจำเลยสามารถตรวจสอบได้ ไม่ปรากฎว่าจำเลยได้คัดค้านว่าไม่ถูกต้องเช่นกัน จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานแห่งหนี้ได้ แม้โจทก์ไม่ได้นำหลักฐานการใช้บัตรเครดิตของจำเลยมานำสืบให้ได้ครบจำนวนหนี้ตามฟ้องก็ตาม และเงื่อนไขตามสัญญาข้อ 6 หาได้ขัดต่อกฎหมายแต่อย่างใดไม่ โจทก์ได้ส่งต้นฉบับเอกสารหมาย จ.6 ให้จำเลยเพื่อตรวจสอบและคัดค้านตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในคำขอสินเชื่อบัตรเครดิตก่อนแล้ว จึงเป็นการอ้างอิงเอกสารที่อยู่ในครอบครองของจำเลยโจทก์จึงไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90(2) เดิมและถือได้ว่าโจทก์ไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่นตามมาตรา 93(2) ซึ่งศาลจะอนุญาตให้นำสำเนามาส่งก็ได้การที่ศาลชั้นต้นรับฟังเอกสารหมาย จ.6 เป็นพยานหลักฐานในคดีจึงชอบแล้ว การที่โจทก์มิได้ทำคำแปลเอกสารหมาย จ.6 ส่วนที่สำคัญขึ้นเป็นภาษาต่างประเทศไว้นั้น เป็นเรื่องที่ศาลเห็นสมควรจะสั่งให้ทำคำแปล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 46 วรรคสามหรือไม่ก็ได้ เมื่อศาลไม่ได้สั่งโจทก์ก็ไม่จำเป็นต้องทำคำแปลและศาลรับฟังเอกสารดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1604/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังเอกสารใบแจ้งรายการบัตรเครดิตเป็นพยานหลักฐาน แม้ไม่ได้นำหลักฐานการใช้บัตรครบถ้วน
เอกสารใบแจ้งรายการใช้บัตรเครดิตซึ่งตามใบคำขอสินเชื่อบัตรเครดิตได้กำหนดเงื่อนไขของผู้ถือบัตรไว้ในข้อ 6 ว่า ผู้ถือบัตรและหรือเจ้าของบัญชีจะต้องตรวจสอบรายการที่ธนาคารได้หักบัญชีไปแล้วนั้นทุกครั้งที่ได้รับใบแจ้งรายการหักบัญชี ถ้ามีรายการใดผิดพลาดผู้ถือบัตรและหรือเจ้าของบัญชีจะต้องรีบแจ้งให้ธนาคารทราบภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งการหักบัญชี โจทก์ได้ส่งต้นฉบับใบแจ้งรายการใช้บัตรเครดิตให้จำเลยเพื่อตรวจสอบและคัดค้านตามที่ได้กำหนดเป็นเงื่อนไขกันไว้นี้แล้วตามประเพณีที่ธนาคารปฏิบัติต่อลูกค้าทั่ว ๆ ไปซึ่งตามเอกสารดังกล่าวมีข้อความปรากฏถึง วัน เดือน ปี รหัสประเภทการใช้บัตรสถานที่ใช้บัตรซึ่งมีรายละเอียดเพียงพอที่จำเลยจะตรวจสอบและคัดค้านได้ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้คัดค้านว่าไม่ถูกต้องแต่อย่างใด ส่วนรายการหักทอนบัญชีระหว่างโจทก์จำเลยอันเนื่องมาจากการใช้บัตรเครดิตของจำเลยในบัญชีเดินสะพัดก็เป็นสมุดบัญชีของธนาคารซึ่งจำเลยสามารถตรวจสอบได้ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้คัดค้านว่าไม่ถูกต้องเช่นกัน จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานแห่งหนี้ได้ แม้โจทก์ไม่ได้นำหลักฐานการใช้บัตรเครดิตของจำเลยมานำสืบให้ได้ครบจำนวนหนี้ตามฟ้องก็ตาม และเงื่อนไขตามสัญญาข้อ 6 หาได้ขัดต่อกฎหมายแต่อย่างใดไม่
โจทก์ได้ส่งต้นฉบับเอกสารหมาย จ.6 ให้จำเลยเพื่อตรวจสอบและคัดค้านตามเงื่อนไขที่กำไนดไว้ในคำขอสินเชื่อบัตรเครดิตก่อนแล้ว จึงเป็นการอ้างอิงเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของจำเลย โจทก์จึงไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารให้จำเลยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 90 (2) เดิม และถือได้ว่าโจทก์ไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น ตามมาตรา 93 (2) ซึ่งศาลจะอนุญาตให้นำสำเนามาส่งก็ได้ การที่ศาลชั้นต้นรับฟังเอกสารหมาย จ.6 เป็นพยานหลักฐานในคดีจึงชอบแล้ว
การที่โจทก์มิได้ทำคำแปลเอกสารหมาย จ.6 ส่วนที่สำคัญขึ้นเป็นภาษาต่างประเทศไว้นั้น เป็นเรื่องที่ศาลเห็นสมควรจะสั่งให้ทำคำแปล ตามป.วิ.พ.มาตรา 46 วรรคสามหรือไม่ก็ได้ เมื่อศาลไม่ได้สั่ง โจทก์ก็ไม่จำเป็นต้องทำคำแปลและศาลรับฟังเอกสารดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1400/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืน พรากเด็ก และพาอาวุธ ศาลยืนตามอุทธรณ์ แม้ฟ้องไม่ระบุผู้ดูแล แต่พิจารณาได้ความจริง
การพรากเด็กอายุไม่เกิน15ปีไปเสียจากบิดามารดาผู้ปกครองหรือผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควรตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา317นั้นไม่ว่าจำเลยจะพรากไปจากใครคนใดคนหนึ่งดังกล่าวก็มีความผิดทั้งสิ้นแม้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดามารดาผู้ปกครองโดยมิได้บรรยายว่าพรากไปจากผู้ดูแลด้วยแต่ทางพิจารณาได้ความว่าพรากไปจากผู้ดูแลก็มีความผิดมิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้อง แม้มีดคัตเตอร์จะไม่เป็นอาวุธโดยสภาพแต่ทุกครั้งที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจำเลยเอามีดคัตเตอร์ที่จำเลยพาไปออกมาขู่เข็ญผู้เสียหายแสดงว่าจำเลยพามีดคัตเตอร์ไปโดยเจตนาจะใช้เป็นอาวุธจึงมีความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1400/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพรากเด็กและการใช้มีดคัตเตอร์ข่มขู่ ถือเป็นความผิดฐานพรากเด็กและมีอาวุธ
การพรากเด็กอายุไม่เกิน15ปีไปเสียจากบิดามารดาผู้ปกครองหรือผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควรตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา317นั้นไม่ว่าจำเลยจะพรากไปจากใครคนใดคนหนึ่งตามที่กฎหมายบัญญัติไว้จำเลยก็มีความผิดทั้งสิ้นดังนั้นแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เสียหายอายุไม่เกิน15ปีไปเสียจากบิดามารดาผู้ปกครองโดยมิได้บรรยายว่าพรากไปจากผู้ดูแลด้วยแต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยพรากไปจากผู้ดูแลจำเลยก็มีความผิดมิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้อง แม้ มีดคัตเตอร์จะไม่เป็นอาวุธโดยสภาพแต่ทุกครั้งที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจำเลยเอามีดคัตเตอร์ที่จำเลยพาไปออกมาขู่เข็ญผู้เสียหายแสดงว่าจำเลยพามีดคัตเตอร์ไปโดยเจตนาจะใช้เป็นอาวุธมีดคัตเตอร์จึงเป็นอาวุธ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1400/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพรากเด็ก และการใช้มีดคัตเตอร์เป็นอาวุธ
การพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา317 นั้น ไม่ว่าจำเลยจะพรากไปจากใครคนใดคนหนึ่งตามที่กฎหมายบัญญัติไว้จำเลยก็มีความผิดทั้งสิ้น ดังนั้น แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เสียหายอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง โดยมิได้บรรยายว่าพรากไปจากผู้ดูแลด้วย แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยพรากไปจากผู้ดูแลจำเลยก็มีความผิด มิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้อง
แม้มีดคัตเตอร์จะไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ แต่ทุกครั้งที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยเอามีดคัตเตอร์ที่จำเลยพาไปออกมาขู่เข็ญผู้เสียหาย แสดงว่าจำเลยพามีดคัตเตอร์ไปโดยเจตนาจะใช้เป็นอาวุธ มีดคัตเตอร์จึงเป็นอาวุธ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1250/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละมรดกและพินัยกรรมที่ไม่สมบูรณ์ การจดทะเบียนรับมรดกเป็นโมฆะ
การสละมรดก โดยแสดงเจตนาชัดแจ้งเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1612 นั้น ตามกฎกระทรวงมหาดไทยที่ออกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1672 ข้อ 14, 15 ประกอบ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2495 มาตรา 40 กำหนดว่า "พนักงานเจ้าหน้าที่"ดังกล่าว หมายถึงนายอำเภอหรือผู้อำนวยการเขต ดังนั้น การที่โจทก์กับ ศ.ทำหนังสือสละมรดกมอบไว้แก่เจ้าพนักงานที่ดิน จึงไม่ใช่หนังสือสละมรดกตามกฎหมาย
ขณะ ล.เจ้ามรดกทำพินัยกรรทม ล.มีอาการป่วยหนักมีความคิดสับสน ไม่สามารถแสดงเจตนาทำพินัยกรรมได้ พินัยกรรมดังกล่าวจึงมิได้เกิดจากการแสดงเจตนาของ ล. และเป็นพินัยกรรมปลอม โจทก์ซึ่งเป็นผู้มีส่วนในทรัพย์มรดกจึงฟ้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนรับมรดกของจำเลยได้
คดีมีทุนทรัพย์ 2,700,000 บาท เมื่อพิจารณาตามความยากง่ายแห่งคดี ประกอบกับเวลาและงานที่ทนายความต้องปฏิบัติในการว่าคดีเรื่องนี้แล้ว ที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความจำนวน 15,000 บาท จึงชอบด้วยตาราง 6ท้าย ป.วิ.พ.
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระต่อศาลในนามของโจทก์ซึ่งค่าขึ้นศาลที่โจทก์ผู้ฟ้องอย่างคนอนาถาได้รับยกเว้นนั้น เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจสั่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 158 จึงเป็นคำพิพากษาที่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1250/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละมรดกต้องทำต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย การสละต่อเจ้าพนักงานที่ดินไม่สมบูรณ์
การสละมรดกจะต้องแสดงเจตนาชัดแจ้งเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1612โดยกฎกระทรวงกับพระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินพ.ศ.2495มาตรา40กำหนดอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจในกรณีแรกได้แก่ผู้อำนวยการเขตถ้าทำในกรุงเทพมหานครหรือนายอำเภอถ้าทำในต่างจังหวัดฉะนั้นการที่โจทก์กับ ศ. ทำหนังสือสละมรดกให้ไว้แก่เจ้าพนักงานที่ดินจึงมิใช่หนังสือสละมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1612

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1234/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเช่าที่ดินวัดและการฟ้องขับไล่: ข้อพิพาทสิทธิเช่าและการอ้างสิทธิโดยบุคคลอื่น
ที่พิพาทเป็นที่ของวัด ศ. ให้ราษฎรเช่าโดยวัดเก็บค่าเช่าปีละ 900 บาท จำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาท โจทก์จึงฟ้องขับไล่โดยอ้างว่าโจทก์เป็นผู้เช่าที่พิพาทจากวัด ศ. ดังนั้น จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคสอง
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยเข้ามาอยู่อาศัยในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของ ฟ.ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ฎีกาว่าโจทก์แต่ผู้เดียวเป็นผู้เช่าที่พิพาทจำเลยเข้าไปปลูกบ้านในที่พิพาทโดยอ้างว่า ฟ.พี่สาวโจทก์ได้โอนสิทธิข้อตกลงระหว่างโจทก์กับ ฟ.ให้จำเลย เมื่อไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือจึงรับฟังไม่ได้ เมื่อฟ.ตาย สิทธิอันเกี่ยวกับการเช่าที่พิพาทเป็นอันระงับไป จำเลยกับพวกอยู่ในที่พิพาทจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการละเมิดสิทธิโจทก์ สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับกรมการศาสนายังมีอยู่ ถือว่าโจทก์เป็นผู้ทรงสิทธิการเช่าแต่ผู้เดียว เป็นการโต้แย้งว่าโจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินวัด ศ.แต่ผู้เดียวโดยมิได้ทำแทน ฟ.ด้วย เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1207/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายจากการเสียชีวิต: สิทธิเรียกร้องแบ่งแยกและข้อยกเว้นการฎีกา
โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยทั้งสองทำละเมิดเป็นเหตุให้ ส. บุตรโจทก์ทั้งสองถึงแก่ความตาย แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินแก่โจทก์เกินกว่า 200,000 บาทแต่สิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะจำนวน 187,000 บาท นั้น โจทก์แต่ละคนมีสิทธิเรียกร้องโดยลำพังคนละครึ่งหนึ่ง ส่วนค่ารักษาพยาบาลและค่าปลงศพจำนวน18,700 บาท นั้น แม้โจทก์ทั้งสองจะมีสิทธิร่วมกัน ไม่อาจแบ่งแยกเป็นหนี้แต่ละคนได้แต่เมื่อนำไปรวมกับค่าขาดไร้อุปการะของโจทก์แต่ละคนดังกล่าวแล้วปรากฎว่าไม่เกิน 200,000 บาท ดังนี้ คดีย่อมต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
of 140