คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พิมล สมานิตย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,393 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3815/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาลและการก่อให้เกิดวิวาท ละเมิดอำนาจศาล
ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองมีเรื่องโกรธเคืองอย่างรุนแรงกันมาก่อนการที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ต่อว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ที่ห้องโถงของศาลในวันเกิดเหตุว่าถูกผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 กลั่นแกล้งหลายเรื่อง และจะเอาเรื่องผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เป็นการข่มขู่และยั่วยุให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เกิดอารมณ์ไม่พอใจ และการที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ไปยืนที่ประตูห้องพิจารณาของศาลในลักษณะยืนขวางประตู เห็นได้ว่าเป็นการท้าทายให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ไม่พอใจยิ่งขึ้น เมื่อผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เดินเข้าห้องพิจารณาไม่ว่าจะเดินชนผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ตามที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 แถลงหรือเดินเฉียดชิดเพราะที่แคบตามที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 แถลง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ก็ไม่ควรผลักผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 พฤติการณ์ที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ต่อว่าข่มขู่จะเอาเรื่องผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ก็ดี ผู้กล่าวหาที่ 1 ไปยืนขวางประตูห้องพิจารณาและผลักผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เมื่อผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เดินเข้าห้องก็ดี ชี้ให้เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 มีส่วนก่อให้เกิดเหตุวิวาทขึ้นในศาล เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ผิดฐานละเมิดอำนาจศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3815/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดอำนาจศาล: การข่มขู่ ยั่วยุ และผลักทำร้ายร่างกายในบริเวณศาล
ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองมีเรื่องโกรธเคืองอย่างรุนแรงกันมาก่อน การที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ต่อว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 2ที่ห้องโถงของศาลในวันเกิดเหตุว่าถูกผู้ถูกกล่าวหาที่ 2กลั่นแกล้งหลายเรื่อง และจะเอาเรื่องผู้ถูกกล่าวหาที่ 2เป็นการข่มขู่และยั่วยุให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เกิดอารมณ์ไม่พอใจ และการที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ไปยืนที่ประตูห้องพิจารณาของศาลในลักษณะยืนขวางประตู เห็นได้ว่าเป็นการท้าทายให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ไม่พอใจยิ่งขึ้น เมื่อผู้ถูกกล่าวหาที่ 2เดินเข้าห้องพิจารณาไม่ว่าจะเดินชนผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ตามที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 แถลงหรือเดินเฉียดชิดเพราะที่แคบตามที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 แถลง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ก็ไม่ควรผลักผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 พฤติการณ์ที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ต่อว่าข่มขู่จะเอาเรื่องผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ก็ดี ผู้กล่าวหาที่ 1ไปยืนขวางประตูห้องพิจารณาและผลักผู้ถูกกล่าวหาที่ 2เมื่อผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เดินเข้าห้องก็ดี ชี้ให้เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 มีส่วนก่อให้เกิดเหตุวิวาทขึ้นในศาลเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ผิดฐานละเมิดอำนาจศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3809/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ต้องโต้แย้งเหตุผลคำพิพากษาเดิม หากข้ออ้างฟังขึ้นผลคำพิพากษาต้องเปลี่ยนแปลง
จำเลยอุทธรณ์ว่าตามหลักฐานที่ปรากฏ เหตุที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นเหตุสุดวิสัย เพราะรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับถูกรถยนต์คันอื่นชนท้ายแล้วเสียการทรงตัวกระเด็นไปถูกโจทก์ร่วมที่ยืนอยู่บนทางเท้าขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นยกฟ้อง อุทธรณ์ดังกล่าวเป็นการโต้แย้งหรือคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เพราะถ้าข้ออ้างของจำเลยฟังขึ้นผลของคำพิพากษาจะเปลี่ยนแปลงไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3809/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุสุดวิสัยและการเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาในคดีอาญา
จำเลยอุทธรณ์ว่าตามหลักฐานที่ปรากฏ เหตุที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นเหตุสุดวิสัย เพราะรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับถูกรถยนต์คันอื่นชนท้ายแล้วเสียการทรงตัวกระเด็นไปถูกโจทก์ร่วมที่ยืนอยู่บนทางเท้า ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นยกฟ้อง อุทธรณ์ดังกล่าวเป็นการโต้แย้งหรือคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เพราะถ้าข้ออ้างของจำเลยฟังขึ้นผลของคำพิพากษาจะเปลี่ยนแปลงไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3805/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การละเมิดชื่อเสียงจากข่าวเท็จ: ความเสียหายต่อบุคคลมีชื่อเสียงและการชดใช้ค่าเสียหาย
กว่าที่โจทก์จะเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงและเกียรติคุณเป็นที่รู้จักและยอมรับแก่บุคคลทั่วไปได้ โจทก์ต้องสร้างคุณงามความดีเป็นเวลานาน การที่จำเลยไขข่าวแพร่หลายใส่ความโจทก์ในหนังสือพิมพ์รายวันว่าภรรยาโจทก์กำลังหาทนายความทำเรื่องขอหย่าขาดจากโจทก์ เพราะโจทก์มีความสนิทชิดชอบกับหญิงอื่น ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนความจริง ย่อมทำให้ผู้ที่รู้จักโจทก์และได้อ่านข่าวดังกล่าวคิดว่าโจทก์มีความประพฤติไปในทางไม่ดี กระทำผิดศีลธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม ครอบครัวของโจทก์เกิดความร้าวฉานก่อให้เกิดความเกลียดชังและดูหมิ่นโจทก์ ผู้ใต้บังคับบัญชาทราบข่าวนี้แล้วย่อมขาดความเคารพเชื่อถือ เป็นผลเสียต่อหน้าที่การงานและความเจริญก้าวหน้ากับทำให้เสื่อมเสียแก่ชื่อเสียงและเกียรติคุณที่เคยมีอยู่ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหาย จำเลยต้องรับผิดในมูลละเมิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3723/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างที่เรียกรับเงินจากผู้สมัครงาน แม้ไม่มีอำนาจหน้าที่ เป็นเหตุเลิกจ้างชอบธรรม
โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย แม้โจทก์จะไม่มีอำนาจหน้าที่ในการรับบุคคลภายนอกเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลย แต่เมื่อโจทก์เรียกและรับเงินจากผู้สมัครเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลย ทำให้เห็นได้ว่าโจทก์อาศัยตำแหน่งความเป็นลูกจ้างของจำเลยไปแอบอ้างผลประโยชน์จากบุคคลภายนอก ทำให้บุคคลภายนอกเข้าใจว่าการเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยจะต้องมีการวิ่งเต้นเสียเงินตอบแทนทำให้จำเลยเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังเป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ทั้งถือได้ว่าเป็นการประพฤติผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยอันเป็นกรณีร้ายแรง จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยมิใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม และจำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์อีกด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3723/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างที่รับเงินจากผู้สมัครงาน ถือเป็นการประพฤติชั่วและจงใจทำให้องค์กรเสียหาย
โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย แม้โจทก์จะไม่มีอำนาจหน้าที่ในการรบบุคคลภายนอกเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยก็ตามแต่การที่โจทก์เรียกและรับเงินจาก พ.กับว.ผู้สมัครเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลย ทำให้เห็นได้ว่าโจทก์อาศัยตำแหน่งความเป็นลูกจ้างไปแอบอ้างผลประโยชน์จากบุคคลภายนอกทำให้บุคคลภายนอกเข้าใจว่าการเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยจะต้องมีการวิ่งเต้นเสียเงินตอบแทน ทำให้จำเลยเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง เป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้ มิใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์อีกด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3723/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างที่เรียกรับเงินจากผู้สมัครงาน เป็นการประพฤติชั่วร้ายและจงใจทำให้จำเลยเสียหาย
โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย แม้โจทก์จะไม่มีอำนาจหน้าที่ในการรับบุคคลภายนอกเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยก็ตามแต่การที่โจทก์เรียกและรับเงินจากผู้สมัครเข้าทำงานเป็น ลูกจ้างของจำเลยทำให้เห็นได้ว่าโจทก์อาศัยตำแหน่งความเป็น ลูกจ้างของจำเลยไปแอบอ้างผลประโยชน์จากบุคคลภายนอก ทำให้ บุคคลภายนอกเข้าใจว่าการเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลย จะต้องมีการวิ่งเต้นเสียเงินตอบแทน ทำให้จำเลยเสื่อมเสีย ชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง เป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับ ความเสียหาย ทั้งถือได้ว่าเป็นการประพฤติผิดข้อบังคับเกี่ยวกับ การทำงานของจำเลยอันเป็นกรณีร้ายแรง จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้าง โจทก์ได้ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้าง โดยไม่เป็นธรรม และจำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ตลอดจนเงิน บำเหน็จและดอกเบี้ยแก่โจทก์อีกด้วย ทั้งนี้ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(3)ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 583 และข้อบังคับเกี่ยวกับ การทำงานของจำเลยว่าด้วยวินัยและโทษทางวินัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3723/2537 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างที่ใช้อำนาจหน้าที่แอบอ้างผลประโยชน์จากผู้สมัครงาน ทำให้จำเลยเสื่อมเสียชื่อเสียง
โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย แม้โจทก์จะไม่มีอำนาจหน้าที่ในการรับบุคคลภายนอกเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยก็ตาม แต่การที่โจทก์เรียกและรับเงินจาก พ.กับ ว.ผู้สมัครเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลย ทำให้เห็นได้ว่าโจทก์อาศัยตำแหน่งความเป็นลูกจ้างของจำเลยไปแอบอ้างผลประโยชน์จากบุคคลภายนอกทำให้บุคคลภายนอกเข้าใจว่าการเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยจะต้องมีการวิ่งเต้นเสียเงินตอบแทน ทำให้จำเลยเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง เป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้ มิใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์อีกด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3614/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิการจ้างและอายุงานต่อเนื่องเมื่อมีการโอนลูกจ้างจากธนาคารอาคารสงเคราะห์มายังการเคหะแห่งชาติ
ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 316 ข้อ 5 กำหนดให้โอนทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และความรับผิดชอบของธนาคารอาคารสงเคราะห์เฉพาะที่เกี่ยวกับธุรกิจตามมาตรา 27(1) และ (3) แห่งพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. 2496 ให้แก่การเคหะแห่งชาติจำเลยและในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน สิทธิ อาคาร และหนี้นั้น ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์และจำเลยทำความตกลงกัน ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้คณะรัฐมนตรีชี้ขาดและตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 577 วรรคแรกนายจ้างจะโอนสิทธิของตนให้แก่บุคคลภายนอกก็ได้เมื่อลูกจ้างยินยอมพร้อมใจด้วย การโอนสิทธิการจ้างเช่นนี้ฐานะความเป็นลูกจ้างของลูกจ้างย่อมไม่สิ้นสุดลง เมื่อโจทก์มาทำงานกับจำเลยก็เพราะผลของการโอนตามประกาศของคณะปฏิวัติมิใช่โจทก์มาสมัครเข้าทำงานกับจำเลยใหม่ ฐานะความเป็นลูกจ้างของโจทก์ย่อมไม่สิ้นสุดลง และตามข้อ 5 ของประกาศคณะปฏิวัติระบุชัดว่า ให้โอนความรับผิดชอบของธนาคารอาคารสงเคราะห์มายังจำเลยด้วย ดังนั้น เมื่อมิได้ตกลงไว้เป็นอย่างอื่น การนับอายุการทำงานของโจทก์จึงต้องนับต่อเนื่องกัน
of 140