พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,393 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 845/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและการหลีกเลี่ยงกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อเท็จจริง
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์และจำเลยมิได้มีการว่าจ้างทดลองงานกันใหม่ และฟังไม่ได้ว่าโจทก์ไม่มีความสามารถในการทำงาน จำเลยเลิกจ้างโจทก์ จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ต้องจ่ายค่าเสียหายและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ แล้วจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ในระหว่างทดลองงานเนื่องจากโจทก์หย่อนสมรรถภาพในการทำงาน เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม และไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นการอุทธรณ์ในเรื่องที่ศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่ศาลได้รับฟังมาจึงเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม มาตรา 54แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 780/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาบัญชีเดินสะพัด, อายุความ, และการรับผิดชอบหนี้ทายาท
ก. กู้ยืมเงินโจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินเมื่อวันที่ 8 มีนาคม2521 กำหนดชำระภายในวันที่ 8 มีนาคม 2522 ต่อมาวันที่ 15พฤษภาคม 2521 ก.ชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วน หลังจากนั้น ก.เบิกเงินและเอาสิ่งของแล้วตีราคาเป็นเงินไปจากโจทก์ ซึ่งโจทก์ลงรายการรวมไว้ในบัญชีที่ ก. ค้างชำระอยู่ เมื่อ ก.นำมันสำปะหลังไปขายแก่โจทก์โจทก์ก็ตีราคามันสำปะหลังหักทอนบัญชีอันเกิดแก่กิจการระหว่างโจทก์และ ก. โดยวิธีหักกลบลบกันจากยอดหนี้ที่รวมไว้ทั้งหมด พฤติการณ์ที่ ก.และโจทก์ปฏิบัติต่อกันโดยจัดให้มีบัญชีหนี้ ซึ่งมีการหักทอนบัญชีเป็นคราว ๆเข้าลักษณะสัญญาบัญชีเดินสะพัด มิใช่เรื่องการกู้ยืม เมื่อก. เริ่มเบิกเงินและเอาสิ่งของไปจากโจทก์ตั้งแต่หลังวันที่15 พฤษภาคม 2521 จนถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2523 ซึ่งเป็นเวลาล่วงเลยกำหนดชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน จึงเป็นการที่คู่กรณีตกลงยกเลิกกำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินไปโดยปริยายโจทก์สามารถเรียกให้ ก. ชำระหนี้เมื่อใดก็ได้หลังจากที่ได้ก่อหนี้กันครั้งสุดท้ายคือวันที่ 18 พฤศจิกายน 2523 ซึ่งต่อมาวันที่ 19 มกราคม 2524 ก. นำมันสำปะหลังมาขายตีใช้หนี้เพื่อหักทอนบัญชีให้แก่โจทก์อันเป็นการชำระหนี้บางส่วน อายุความจึงสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(1)และเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม 2524 หนี้รายนี้เป็นบัญชีเดินสะพัดจึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2531 ยังไม่เกิน 10 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 765/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาซื้อขายสติกเกอร์หลังจำเลยสั่งซื้อวัตถุดิบแล้ว ถือเป็นการผิดสัญญาโจทก์ จำเลยมีสิทธิริบเงินมัดจำ
โจทก์ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ทำสติกเกอร์ชนิดโปร่งแสงจำเลยที่ 1 บอกราคาค่าจ้างและจะนำตัวอย่างสติกเกอร์มาให้ดูโจทก์ได้วางเงินมัดจำไว้ครั้นดูตัวอย่างสติกเกอร์แล้วโจทก์ไม่พอใจ จึงได้นำเบอร์สติกเกอร์ที่ต้องการมาให้จำเลยที่ 1ดู ต่อมาจำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ทราบว่าหากจะให้ใช้สติกเกอร์เบอร์ที่โจทก์ต้องการแล้วโจทก์จะต้องเพิ่มเงินค่าจ้างอีก20,000 บาท โจทก์ทราบแล้วก็ไม่ว่าอะไร แสดงว่าโจทก์ไม่ปฏิเสธ จึงต้องถือว่าโจทก์ยอมรับการขอเพิ่มราคาตามที่จำเลยที่ 1 เสนอ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 สั่งซื้อสติกเกอร์เบอร์ที่โจทก์ต้องการที่เมืองฮ่องกงและได้วางเงินมัดจำไว้เช่นกันแต่โจทก์กลับบอกเลิกสัญญาเสียก่อน ดังนี้ หากโจทก์ไม่บอกเลิกสัญญาก่อนกำหนด ก็ไม่เห็นมีเหตุอะไรที่จำเลยที่ 1จะไม่ทำสติกเกอร์ให้โจทก์ เพราะจำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อสติกเกอร์ไว้แล้ว สาเหตุที่โจทก์บอกเลิกสัญญานั้นเป็นเพราะโจทก์เห็นว่าจำเลยที่ 1 คิดราคาแพงเกินไปนั่นเอง การที่โจทก์บอกเลิกสัญญาก่อนกำหนดเช่นนี้โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยที่ 1 มีสิทธิริบเงินมัดจำได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 765/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาและการริบเงินมัดจำ กรณีผู้ว่าจ้างเห็นว่าราคาแพงเกินไป
โจทก์ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ทำสติกเกอร์ชนิดโปร่งแสง จำเลยที่ 1 บอกราคาค่าจ้างและจะนำตัวอย่างสติกเกอร์มาให้ดู โจทก์ได้วางเงินมัดจำไว้ครั้นดูตัวอย่างสติกเกอร์แล้วโจทก์ไม่พอใจ จึงได้นำเบอร์สติกเกอร์ที่ต้องการมาให้จำเลยที่ 1 ดู ต่อมาจำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ทราบว่าหากจะให้ใช้สติกเกอร์เบอร์ที่โจทก์ต้องการแล้วโจทก์จะต้องเพิ่มเงินค่าจ้างอีก 20,000 บาท โจทก์ทราบแล้วก็ไม่ว่าอะไร แสดงว่าโจทก์ไม่ปฏิเสธ จึงต้องถือว่าโจทก์ยอมรับการขอเพิ่มราคาตามที่จำเลยที่ 1 เสนอ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 สั่งซื้อสติกเกอร์เบอร์ที่โจทก์ต้องการที่เมืองฮ่องกงและได้วางเงินมัดจำไว้เช่นกัน แต่โจทก์กลับบอกเลิกสัญญาเสียก่อนดังนี้ หากโจทก์ไม่บอกเลิกสัญญาก่อนกำหนด ก็ไม่เห็นมีเหตุอะไรที่จำเลยที่ 1จะไม่ทำสติกเกอร์ให้โจทก์ เพราะจำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อสติกเกอร์ไว้แล้ว สาเหตุที่โจทก์บอกเลิกสัญญานั้นเป็นเพราะโจทก์เห็นว่าจำเลยที่ 1 คิดราคาแพงเกินไปนั่นเอง การที่โจทก์บอกเลิกสัญญาก่อนกำหนดเช่นนี้โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยที่ 1 มีสิทธิริบเงินมัดจำได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 735/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากลูกจ้าง กรณีนายจ้างชดใช้ค่าเสียหายให้บุคคลภายนอก
นายจ้างซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อละเมิดอันลูกจ้างได้ทำ ใช้สิทธิเรียกร้องฟ้องให้ลูกจ้างชดใช้คืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 426ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่นจึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/30
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 578/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไต่สวนคำร้องเพิกถอนผู้จัดการมรดก ศาลไม่จำเป็นต้องสืบพยาน หากจากการไต่สวนเบื้องต้นไม่ปรากฏเหตุสมควร
การที่ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริงถึงเหตุที่ผู้ร้องขอถอนผู้คัดค้านออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกโดยจดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาและให้คู่ความลงชื่อไว้ ถือได้ว่าเป็นการไต่สวนแล้ว ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏเหตุที่สมควรเพิกถอนผู้คัดค้านออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก ศาลชั้นต้นจึงวินิจฉัยยกคำร้องโดยไม่สืบพยานได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมที่ไม่สมบูรณ์ ไม่มีผลทางกฎหมาย ทำให้ผู้รับบุตรบุญธรรมไม่มีสิทธิรับมรดก
ผู้ตายจดทะเบียนรับโจทก์ทั้งสองเป็นบุตรบุญธรรมโดยภริยาผู้ตายไม่ได้ให้ความยินยอม การจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมจึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์รวมทั้งสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายระหว่างผู้ตายกับโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้รับบุตรบุญธรรมกับบุตรบุญธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1598/28 โจทก์ทั้งสองจึงไม่เป็นทายาทที่จะมีสิทธิรับมรดกของผู้ตายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 340/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างกรณีติดประกาศดูหมิ่นนายจ้าง ศาลอนุญาตเลิกจ้างได้
กฎระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องในหมวดว่าด้วยวินัยและโทษทางวินัยกำหนดไว้ว่า ความผิดเกี่ยวกับ การจัดการประชุม หรือชุมนุม เขียน แจกจ่าย ติดประกาศ หรือ พิมพ์โฆษณา ถ้อยคำหรือบทความภายในบริเวณที่ทำงานหรือโรงงาน หรือบริษัท โดยไม่รับอนุญาต จะได้รับการพิจารณาโทษปลดออก ดังนี้ การที่ผู้คัดค้านทั้งสี่เป็นลูกจ้างของผู้ร้องหากผู้คัดค้านทั้งสี่หรือลูกจ้างอื่นของผู้ร้องไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้ร้อง ผู้คัดค้านทั้งสี่ในฐานะกรรมการลูกจ้างก็มีสิทธิดำเนินการใด ๆ ภายในขอบเขตของกฎหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นธรรมได้ แต่การที่ผู้คัดค้านทั้งสี่ได้ร่วมกันเขียนประกาศพิพาทที่มีข้อความ ดูหมิ่น เสียดสีและเหยียดหยามผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างและผู้บังคับบัญชาดังกล่าวไปปิดไว้ที่บอร์ด โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ร้องย่อมทำให้พนักงานของผู้ร้องขาดความเคารพยำเกรงเป็นการส่งเสริมและยั่วยุให้พนักงานกระด้างกระเดื่องต่อผู้ร้อง ทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างผู้ร้องกับพนักงานอันจะส่งผลเสียหายต่อผู้ร้องและพนักงานในที่สุด เมื่อผู้ร้องสั่งให้เอาออก ผู้คัดค้านทั้งสี่ก็มิได้ปฏิบัติตาม เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งโดยชอบของผู้บังคับบัญชา กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ร้อง เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้อง และไม่เกรงกลัวความผิดที่ตนได้กระทำ จงใจให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย จึงมีเหตุสมควรอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้าง ผู้คัดค้านทั้งสี่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 340/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างกรณีประกาศดูหมิ่นนายจ้าง – การกระทำที่เป็นเหตุให้เลิกจ้างได้ตามระเบียบข้อบังคับ
การที่ผู้คัดค้านได้ร่วมกันเขียนประกาศที่มีข้อความดูหมิ่นเสียดสีและเหยียดหยามผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างและผู้บังคับบัญชาไปปิดไว้ที่บอร์ดโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ร้อง ย่อมทำให้พนักงานของผู้ร้องขาดความยำเกรง เป็นการส่งเสริมและยังยุให้พนักงานกระด้างกระเดื่องต่อผู้ร้องทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างผู้ร้องกับพนักงาน อันจะส่งผลเสียหายต่อผู้ร้องและพนักงาน เมื่อผู้ร้องสั่งให้เอาออก ผู้คัดค้านไม่ปฏิบัติตามเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งโดยชอบของผู้บังคับบัญชากระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ร้อง เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้อง และไม่เกรงกลัวความผิดที่ตนได้กระทำจงใจให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย ถือว่ามีเหตุสมควรให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5530/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันบังคับได้ หากไม่ใช่พินัยกรรมและศาลพิพากษาตามยอม ที่ดินจึงตกเป็นของผู้รับประโยชน์ตามสัญญา
เดิม ฝ. ฟ้อง ป. ขอถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณต่อมาได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีดังกล่าว โดย ป.ยอมคืนที่พิพาทให้ ฝ.และฝ. ยอมให้ ป. ทำกินในที่พิพาทโดย ป. ยอมให้ข้าวเปลือกแก่ ฝ.ปีละ120กิโลกรัมห้ามฝ.จำหน่ายจ่ายโอนที่พิพาท เมื่อ ฝ. ถึงแก่กรรมให้ที่พิพาทตกเป็นของ ป. ตามเดิม สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวไม่ใช่พินัยกรรมแต่เป็นสัญญาที่ ฝ. กับ ป. ทำขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างกันและไม่ขัดต่อกฎหมาย ทั้งศาลได้พิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้วสัญญาดังกล่าวจึงมีผลบังคับได้ และการที่ตกลงกันว่า เมื่อ ฝ.ถึงแก่กรรม ให้ที่พิพาทตกเป็นของ ป. เมื่อ ฝ. ถึงแก่กรรมที่พิพาทจึงตกเป็นของ ป. ตามคำพิพากษาตามยอม มิใช่เป็นมรดกของ ฝ.