พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,393 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4117/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เอกสารปลอมเป็นหลักฐานต่อพนักงานสอบสวนเป็นความผิดที่ไม่สามารถยอมความได้ ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษได้
ความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 เป็นความผิดที่ไม่อาจยอมความกันได้ โจทก์ไม่อาจขอถอนฟ้อง หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ระหว่างฎีกา จึงไม่อนุญาติให้ถอนฟ้อง การที่จำเลยที่ 1 นำใบรับเงินปลอมไปอ้างต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์ได้รับตามใบรับเงินดังกล่าว เป็นการกระทำอันเป็นเหตุ ที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์แล้วไม่ว่าพนักงานสอบสวน จะเชื่อว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่แท้จริงหรือไม่ก็ตาม ใบรับเงินเป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 264 เป็นการปรับบทลงโทษไม่ถูกต้อง เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความ จะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 225 แต่โจทก์ มิได้ฎีกาขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลย ศาลฎีกาคงมีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4107/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างกรณีทำร้ายร่างกายในที่ทำงาน ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
ข้อบังคับการทำงานของผู้ร้องกำหนดประเภทการลงโทษไว้โดยมิได้ระบุขั้นตอนการลงโทษไว้ ผู้ร้องจึงไม่จำต้องลงโทษตามขั้นตอนในข้อบังคับการทำงานผู้ร้องอาจเลือกวิธีใด ๆ ตามข้อบังคับการทำงานโดยพิจารณาจากความหนักเบาของความผิดของพนักงานแต่ละคน ผู้คัดค้านกระทำผิดในขณะปฏิบัติหน้าที่ในสถานที่ทำงานโดยไม่ยำเกรงต่อข้อบังคับการทำงานของผู้ร้อง การกระทำของผู้คัดค้านไม่เป็นเยี่ยงอย่างอันดีทำให้แตกความสามัคคี ยากแก่การปกครองบังคับบัญชา กรณีจึงมีเหตุสมควรให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4107/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างได้เมื่อกระทำผิดวินัยร้ายแรง แม้ข้อบังคับไม่ได้กำหนดขั้นตอนการลงโทษ
ข้อบังคับการทำงานของผู้ร้องกำหนดประเภทการลงโทษ ไว้โดยมิได้ระบุขั้นตอนการลงโทษไว้ ผู้ร้องจึงไม่จำต้อง ลงโทษตามขั้นตอนในข้อบังคับการทำงานผู้ร้องอาจ เลือกวิธีใด ๆ ตามข้อบังคับการทำงาน โดยพิจารณา จากความหนักเบาของความผิดของพนักงานแต่ละคนผู้คัดค้านกระทำผิดในขณะปฏิบัติหน้าที่ในสถานที่ทำงานโดยไม่ยำเกรงต่อข้อบังคับการทำงานของผู้ร้องการกระทำของผู้คัดค้านไม่เป็นเยี่ยงอย่างอันดี ทำให้แตกความสามัคคี ยากแก่การปกครองบังคับบัญชากรณีจึงมีเหตุสมควรให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4094/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่ชัดเจน ยักยอกเงินค่าสินค้า ศาลฎีกายกฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยนำใบเสร็จรับเงินที่ลูกค้าของโจทก์สั่งซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อในเดือนมิถุนายน 2535ไปเรียกเก็บเงินจากลูกค้าของโจทก์ในเขตจังหวัดลำปางแล้วยักยอกเงินไปเป็นของตน รวมเป็นเงิน 360,065.86 บาทในวันที่ 26 มิถุนายน 2535 ครบกำหนดจำเลยที่ 1 นำส่งค่าสินค้าแก่โจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ไม่นำส่งเงินค่าสินค้าแต่ทิ้งงานและเอาเงินค่าสินค้าไป โดยไม่ได้บรรยายว่าจำเลยที่ 1 ยักยอกเงินของโจทก์เป็นค่าสินค้าอะไรบ้างแต่ละรายการเป็นเงินเท่าใดและเรียกเก็บเงินดังกล่าวจากลูกจ้างคนใดของโจทก์ ฟ้องของโจทก์จึงมิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31 และเมื่อคดีนี้เป็นคดีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้อุทธรณ์ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1)ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4094/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่ชัดเจน ยักยอกเงินค่าสินค้า: ฟ้องเคลือบคลุมทำให้ศาลยกฟ้อง แม้ศาลมีอำนาจพิจารณาถึงจำเลยที่ไม่ยื่นอุทธรณ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยนำใบเสร็จรับเงินที่ลูกค้าของโจทก์สั่งซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อในเดือนมิถุนายน 2535 ไปเรียกเก็บเงินจากลูกค้าของโจทก์ในเขตจังหวัดลำปางแล้วยักยอกเงินไปเป็นของตน รวมเป็นเงิน 360,065.86 บาทในวันที่ 26 มิถุนายน 2535 ครบกำหนดจำเลยที่ 1 นำส่งค่าสินค้าแก่โจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ไม่นำส่งเงินค่าสินค้า แต่ทิ้งงานและเอาเงินค่าสินค้าไป โดยไม่ได้บรรยายว่าจำเลยที่ 1 ยักยอกเงินของโจทก์เป็นค่าสินค้าอะไรบ้าง แต่ละรายการเป็นเงินเท่าใดและเรียกเก็บเงินดังกล่าวจากลูกค้าคนใดของโจทก์ ฟ้องของโจทก์จึงมิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 และเมื่อคดีนี้เป็นคดีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้อุทธรณ์ด้วย ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 245 (1) ประกอบด้วยพ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4094/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่ชัดเจน ยักยอกเงิน: ศาลฎีกายกฟ้อง เหตุโจทก์ไม่ได้ระบุรายละเอียดการยักยอก
โจทก์ไม่ได้บรรยายว่า จำเลยที่ 1 ยักยอกเงินของโจทก์เป็นค่าสินค้าอะไรบ้าง แต่ละรายการเป็นเงินเท่าใด และเรียกเก็บเงินดังกล่าวจากลูกค้าคนใดของโจทก์ ฟ้องของโจทก์จึงมิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นจึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสองประกอบด้วย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31 เมื่อเป็นคดีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้อุทธรณ์ด้วยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245(1) ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3963/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของกรรมการบริษัทจากการกระทำในกิจการของบริษัท: ตัวแทน vs. ลูกจ้าง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 2และเป็นผู้ควบคุมเรือของจำเลยที่ 2 โดยประมาท ถอยหลังมาชนเรือของโจทก์เสียหายทั้งสองลำ จำเลยที่ 1 กระทำในกิจการของจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์คำฟ้องดังกล่าวเห็นได้ชัดว่า โจทก์มิได้ตั้งข้อหาว่าจำเลยที่ 1เป็นลูกจ้าง และกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 หากแต่ตั้งข้อหาว่าจำเลยที่ 1 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 2 ได้กระทำการในกิจการของจำเลยที่ 2 โดยประมาท ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ซึ่งหมายความว่าการควบคุมเรือของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำในกิจการของจำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 1เป็นกรรมการของจำเลยที่ 2 การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการทำแทนจำเลยที่ 2 ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนจำเลยที่ 2 จึงมิได้เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3924/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงสภาพการจ้างยังผูกพันแม้สิ้นสุดอายุ สิทธิสวัสดิการค่าทำศพลูกจ้างยังคงมีผล
แม้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิมสิ้นสุดลง แต่จำเลยกับสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมอาภรณ์ไทยก็มิได้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกันใหม่ ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิมจึงยังคงมีผลใช้บังคับต่อไปอีกคราวละ 1 ปี จนกว่าจะได้มีการทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกันใหม่ ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 12 การนัดหยุดงานเป็นเพียงการที่ลูกจ้างร่วมกันหยุดงานชั่วคราวเนื่องจากข้อพิพาทแรงงาน หามีผลทำให้สัญญาจ้างแรงงานระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างสิ้นสุดลง ทั้งเงินช่วยเหลือค่าทำศพเป็นเงินสวัสดิการที่จำเลยจ่ายให้เมื่อลูกจ้างถึงแก่กรรมมิได้จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติ จึงเป็นสวัสดิการที่ไม่เกี่ยวกับการทำงานตามปกติ จำเลยจึงต้องจ่ายค่าทำศพให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3773/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รับของโจร: แม้ข้อหาต่างจากฟ้อง แต่จำเลยไม่ต่อสู้ ศาลลงโทษฐานรับของโจรได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจร ข้อแตกต่างดังกล่าวมิใช่ข้อสาระสำคัญเมื่อจำเลยมิได้หลงต่อสู้ จึงลงโทษจำเลยฐานรับของโจรได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3591/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าและความผิดฐานทำร้ายร่างกาย: การพิจารณาจากบาดแผลและพฤติการณ์
จำเลยใช้มีดซึ่งมีความยาวทั้งตัวมีดและด้ามประมาณ 1 ฟุตฟันผู้เสียหายที่ 1 ที่บริเวณใบหน้าซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญขณะผู้เสียหายที่ 1 นั่งขับรถจักรยานยนต์ซึ่งไม่มีโอกาสหลบเลี่ยงเป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 มีบาดแผลขอบเรียบยาว 15 เซนติเมตรพาก*จากหน้าผากยาวไปยังโหนกแก้ม แผลลึกถึงกะโหลกศีรษะ มีรอยแตกของกระดูกไปตามแผลยาว 13 เซนติเมตร ลึก 0.3 เซนติเมตร มีอาการบวมช้ำของขอบตาขวาใกล้กับรอยแผลอันเป็นบาดแผลฉกรรจ์เช่นนี้จำเลยย่อมจะต้องเล็งเห็นผลว่าอาจทำให้ผู้เสียหายที่ 1 ถึงแก่ความตายได้ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 1 แล้ว ส่วนการที่จำเลยใช้มีดฟันผู้เสียหายที่ 2 รวม 2 ครั้ง แต่ขณะจำเลยจะฟันผู้เสียหายที่ 2 รู้ตัวล่วงหน้าได้ยกแขนขึ้นรับจำเลยย่อมจะต้องเห็นอยู่แล้วว่าผู้เสียหายที่ 2 ยกแขนขึ้นรับไว้ก่อนแล้วต้องถือว่าจำเลยมีความประสงค์จะฟันแขนผู้เสียหายที่ 2 เท่านั้น ซึ่งมิใช่อวัยวะสำคัญที่จะเล็งเห็นว่าอาจทำให้ผู้เสียหายที่ 2 ถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 2แต่มีเจตนาเพียงทำร้ายร่างกายเท่านั้น