คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เสริม บุญทรงสันติกุล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 569 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 262/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินราคาทรัพย์สินบังคับคดี: ราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีต้องเทียบกับราคาตลาด ไม่ใช่ราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดิน
ราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีจะสูงหรือต่ำกว่าราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดินมิได้เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ชอบต่ำกว่าราคาท้องตลาดที่ซื้อขายกันจริงเพราะราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดินมีวัตถุประสงค์ใช้เป็นเกณฑ์กำหนดการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนนิติกรรมเท่านั้นราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีจะสูงหรือจะต่ำต้องเทียบกับราคาซื้อขายกันจริงตามท้องตลาดขณะกำหนดราคาจึงไม่มีเหตุจะเพิกถอนราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดี การที่ผู้ร้องอ้างราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของเจ้าพนักงานบังคับคดีเปรียบเทียบกับราคาประเมินที่ดินของเจ้าพนักงานที่ดินและราคาสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยคิดเอาเองนั้นทางไต่สวนฟังไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการขายทอดตลาดทรัพย์ได้ราคาต่ำกว่าราคาท้องตลาดโดยไม่สุจริตและฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายแต่อย่างใดกรณีไม่มีเหตุตามกฎหมายจะเพิกถอนการขายทอดตลาด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 254/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเสียหายจากการผิดสัญญาซื้อขายที่ดิน: การประเมินความเสียหายโดยตรงและผลกระทบต่อรายได้จากการทำเกษตร
ก่อนทำสัญญาจะขายที่ดินให้จำเลยทั้งห้าโจทก์ที่1มีรายได้จากการเลี้ยงสุกรและกรีดยางเมื่อโจทก์ที่1ขายที่ดินให้จำเลยทั้งห้าโจทก์ที่1ต้องหยุดกิจการเลี้ยงสุกรและกรีดยางลงฉะนั้นเมื่อจำเลยทั้งห้าผิดสัญญาไม่ซื้อที่ดินความเสียหายที่โจทก์ได้รับจากการไม่ได้เลี้ยงสุกรและการกรีดยางจึงเป็นความเสียหายโดยตรงจากการผิดสัญญาของจำเลยทั้งห้าการที่โจทก์ที่1ไม่หวนกลับไปเลี้ยงสุกรอีกไม่ทำให้ความเสียหายที่โจทก์ที่1มีอยู่แล้วหมดสิ้นไปแต่อย่างใดและการที่โจทก์ที่1ยกรายได้จากการกรีดยางให้มารดาก็เป็นเรื่องที่โจทก์ที่1มีรายได้แล้วยกให้มารดาเมื่อโจทก์ที่1ไม่มียางให้กรีดโจทก์ที่1ย่อมเสียหายจากการขาดรายได้จำนวนนี้จำเลยทั้งห้าจะโต้แย้งว่าโจทก์ที่1ไม่ได้รับความเสียหายจากการขาดรายได้ของมารดาโจทก์ที่1หาได้ไม่ การปรับปรุงที่ดินของจำเลยทั้งห้าภายหลังทำสัญญาก็เพื่อประโยชน์ของจำเลยทั้งห้าเองจำเลยทั้งห้าจะนำเรื่องประโยชน์จากการที่จำเลยทั้งห้าเข้าปรับปรุงที่ดินมาคำนวณเพื่อลดค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสองหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องตั๋วสัญญาใช้เงินและการสะดุดหยุดของอายุความในคดีล้มละลาย
แม้พิจารณาตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.8 จ.9 จ.11ถึง จ.17 และ จ.41 ซึ่งถึงกำหนดใช้เงินตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2531 ถึงเดือนพฤษภาคม 2531 เป็นหลัก และโจทก์ผู้รับเงินซึ่งนำตั๋วสัญญาใช้เงินไปขายลดแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ชำระเงินคืนแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนกำหนดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2531 และโจทก์ไปขอรับชำระหนี้ในคดีที่บริษัทผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินถูกฟ้องล้มละลายเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2531 ก็ตาม อายุความย่อมสะดุดหยุดลง ตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/14 (3) ซึ่งเป็นระยะเวลา 8 เดือนเศษกรณีระหว่างโจทก์กับบริษัทเป็นเรื่องระหว่างผู้ออกตั๋วกับผู้รับเงิน ตาม ป.พ.พ.มาตรา 982 อายุความฟ้องบริษัทคือมาตรา 1001 ซึ่งห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลา3 ปี นับแต่วันตั๋วนั้นถึงกำหนดใช้เงิน อันมีผลไปถึงผู้ค้ำประกันด้วย และแม้โจทก์จะสลักหลังตั๋วนำไปขายลดแก่ธนาคารแห่งประเทศไทย และโจทก์ใช้เงินคืนแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยพร้อมรับตั๋วคืนมาถึงวันที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายเกินกว่า 6 เดือนก็ตาม ก็เป็นกรณีที่โจทก์ปฏิบัติตามระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการส่งสินค้าออก (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2529อันเป็นการอนุเคราะห์ผู้ส่งออกให้ได้รับเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียงร้อยละ 7 ต่อปีตามที่ปรากฏในตั๋วสัญญาใช้เงิน โจทก์ไม่ใช่ผู้สลักหลังผู้เข้าถือเอาตั๋วสัญญาใช้เงินและใช้เงิน ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1003 ซึ่งมีอายุความ 6 เดือน คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีตั๋วสัญญาใช้เงินและการสะดุดหยุดของอายุความตามระเบียบ ธปท. กรณีซื้อตั๋วลด
แม้พิจารณาตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งถึงกำหนดใช้เงินตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์2531ถึงเดือนพฤษภาคม2531เป็นหลักและโจทก์ผู้รับเงินซึ่งนำตั๋วสัญญาใช้เงินไปขายลดแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ชำระเงินคืนแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนกำหนดเมื่อวันที่9กุมภาพันธ์2531และโจทก์ไปขอรับชำระหนี้ในคดีที่บริษัทผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินถูกฟ้องล้มละลายเมื่อวันที่27ตุลาคม2531ก็ตามอายุความย่อมสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/14(3)ซึ่งเป็นเวลา8เดือนเศษกรณีระหว่างโจทก์กับบริษัทเป็นเรื่องระหว่างผู้ออกตั๋วกับผู้รับเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา982อายุความฟ้องบริษัทคือมาตรา1001ซึ่งห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลา3ปีนับแต่วันตั๋วนั้นถึงกำหนดใช้เงินอันมีผลไปถึงผู้ค้ำประกันด้วยและแม้โจทก์จะสลักหลังตั๋วนำไปขายลดแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยและใช้เงินคืนแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยพร้อมรับตั๋วคืนมาถึงวันที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายเกินกว่า6เดือนก็ตามก็เป็นกรณีที่โจทก์ปฏิบัติตามระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการส่งสินค้าออก(ฉบับที่2)พ.ศ.2529อันเป็นการอนุเคราะห์ผู้ส่งออกให้ได้รับเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียงร้อยละ7ต่อปีโจทก์จึงไม่ใช่ผู้สลักหลังผู้เข้าถือตั๋วสัญญาใช้เงินและใช้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1003ซึ่งมีอายุความ6เดือนคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงิน: นับจากวันตั๋วถึงกำหนดใช้เงิน หรือวันที่โจทก์รับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย
แม้พิจารณาตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมายจ.8จ.9จ.11ถึงจ.17และจ.41ซึ่งถึงกำหนดใช้เงินตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์2531ถึงเดือนพฤษภาคม2531เป็นหลักและโจทก์ผู้รับเงินซึ่งนำตั๋วสัญญาใช้เงินไปขายลดแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ชำระเงินคืนแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนกำหนดเมื่อวันที่9กุมภาพันธ์2531และโจทก์ไปขอรับชำระหนี้ในคดีที่บริษัทผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินถูกฟ้องล้มละลายเมื่อวันที่27ตุลาคม2531ก็ตามอายุความย่อมสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/14(3)ซึ่งเป็นระยะเวลา8เดือนเศษกรณีระหว่างโจทก์กับบริษัทเป็นเรื่องระหว่างผู้ออกตั๋วกับผู้รับเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา982อายุความฟ้องบริษัทคือมาตรา1001ซึ่งห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลา3ปีนับแต่วันตั๋วนั้นถึงกำหนดใช้เงินอันมีผลไปถึงผู้ค้ำประกันด้วยและแม้โจทก์จะสลักหลังตั๋วนำไปขายลดแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยและโจทก์ใช้เงินคืนแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยพร้อมรับตั๋วคืนมาถึงวันที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายเกินกว่า6เดือนก็ตามก็เป็นกรณีที่โจทก์ปฏิบัติตามระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการส่งสินค้าออก(ฉบับที่2)พ.ศ.2529อันเป็นการอนุเคราะห์ผู้ส่งออกให้ได้รับเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียงร้อยละ7ต่อปีตามที่ปรากฏในตั๋วสัญญาใช้เงินโจทก์ไม่ใช่ผู้สลักหลังผู้เข้าถือเอาตั๋วสัญญาใช้เงินและใช้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1003ซึ่งมีอายุความ6เดือนคดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 180/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานยืนยันจำเลย 2 คือคนร้ายชิงทรัพย์ฆ่าผู้ตาย ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 2 แต่แก้เรื่องค่าชดใช้
แม้โจทก์มีบ. ประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันชิงทรัพย์และฆ่าผู้ตายเพียงปากเดียวแต่บ. มีโอกาสเห็นคนร้ายหลายครั้งและเห็นจำเลยที่2ในตลาดซึ่งแสงไฟฟ้าส่องสว่างบ.มีอาชีพเป็นยามมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยในตลาดย่อมมีความระมัดระวังและต้องใช้ความสังเกตเป็นพิเศษเพราะจำเลยที่2ขับรถจักรยานยนต์มาวนเวียนอยู่ที่ตลาดหลายเที่ยวในเวลายามวิกาลเป็นการผิดปกติโดยเฉพาะตอนที่บ. เดินไปตีระฆังบอกเวลาได้เดินสวนกับจำเลยที่2ซึ่งนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ที่ซึ่งมีแสงไฟนีออนส่องสว่างเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวจำเลยที่2มาให้ดูหลังเกิดเหตุประมาณ19ชั่วโมงบ. ก็ยืนยันทันทีโดยไม่ลังเลว่าจำเลยที่2เป็นคนร้ายทั้งระบุด้วยว่าเพื่อนจำเลยที่2ที่ถูกจับมาด้วยอีกคนหนึ่งไม่ใช่คนร้ายบ. ไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่2มาก่อนคำพยานมีเหตุผลและมีน้ำหนักน่าเชื่อถือว่าจำเลยที่2ได้ไม่ผิดตัว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 142/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเฮโรอีนและกัญชาเพื่อจำหน่าย: ศาลฎีกาแก้โทษเฉพาะการครอบครองเฮโรอีน
เจ้าพนักงานตำรวจพบเฮโรอีนซึ่งอยู่ในถุงพลาสติก4ใบอยู่ในตะกร้าซึ่งวางไว้บนแคร่ไม้ใกล้จำเลยและยังพบเฮโรอีน9หลอดกับอีก1ถึงที่บริเวณร่องน้ำนอกบ้านห่างจากบ้านจำเลยประมาณ170เมตรพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมายังฟังไม่ได้อย่างแน่แท้ว่าเฮโรอีน9หลอดและอีก1ถุงนั้นเป็นของจำเลยคงฟังได้ว่าจำเลยมีเฮโรอีนในถุง4ใบซึ่งวางอยู่ในตะกร้าใกล้ตัวจำเลยไว้ในครอบครองเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานเสพยาเสพติดและขับรถภายใต้อิทธิพลยาเสพติด: ศาลฎีกาแก้ไขเป็นกรรมเดียว
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานเสพวัตถุออกฤทธิ์และฐานปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับขี่รถโดยสารเสพวัตถุออกฤทธิ์เป็นความผิดสองกรรมโดยในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับขี่รถโดยเสพวัตถุออกฤทธิ์ศาลชั้นต้นมิได้ปรับบทลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯมาตรา157ทวิวรรคหนึ่งซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดศาลอุทธรณ์ภาค1จึงพิพากษาแก้โดยปรับบทลงโทษฐานปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับขี่รถโดยเสพวัตถุออกฤทธิ์ให้ถูกต้องเท่านั้นแสดงว่าศาลอุทธรณ์ภาค1ยังคงลงโทษจำเลยเป็นความผิดสองกรรมดังนั้นที่โจทก์ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรมนั้นจึงเป็นการฎีกาในข้อกฎหมายที่ไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1เป็นฎีกาที่ไม่ชอบและแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องมาว่าจำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันแต่ฟ้องโจทก์ระบุวันเวลากระทำความผิดฐานต่างๆเป็นวันเวลาเดียวกันทั้งมิได้บรรยายว่าวัตถุออกฤทธิ์ที่จำเลยเสพก่อนขับรถกับที่จำเลยเสพขณะขับรถนั้นเป็นคนละจำนวนกันดังนั้นการเสพวัตถุออกฤทธิ์กับการปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับขี่รถโดยเสพวัตถุออกฤทธิ์เป็นการกระทำหลายอันที่เป็นผลต่อเนื่องกันจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหาใช่เป็นความผิดสองกรรมดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยไม่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์หรือฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา195วรรคสองประกอบมาตรา225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 57/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนหุ้นต้องเป็นไปตามข้อบังคับและกฎหมาย หากไม่ถูกต้อง การโอนหุ้นนั้นไม่มีผลผูกพัน
ตามข้อบังคับของจำเลยที่1กำหนดไว้ว่าการโอนหุ้นจะต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้โอนและผู้รับโอนรวมทั้งระบุชื่อและที่อยู่ของผู้รับโอนให้ชัดแจ้งโดยมีพยานสองคนลงลายมือชื่อรับรองและจดแจ้งการโอนทั้งลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นและตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1129วรรคสองบัญญัติว่าการโอนหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นนั้นถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอนมีพยานคนหนึ่งเป็นอย่างน้อยลงชื่อรับรองลายมือนั้นๆด้วยแล้วท่านว่าเป็นโมฆะอนึ่งตราสารอันนั้นต้องแถลงเลขหมายของหุ้นซึ่งโอนกันนั้นด้วยแต่ตามหลักฐานใบโอนหุ้นตามคำฟ้องโจทก์และใบสำคัญการโอนหลักทรัพย์คงมีแต่ลายมือชื่อกรรมการผู้มีอำนาจและประทับตราสำคัญของบริษัทอ. ไม่มีรายชื่อผู้รับโอนและพยานลงลายมือชื่อรับรองไม่เป็นไปตามข้อบังคับของจำเลยที่1และบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวการโอนหุ้นระหว่างโจทก์กับบริษัทอ.จึงไม่มีผลใช้ยันจำเลยที่1ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 57/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนหุ้นระบุชื่อต้องทำตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนด หากไม่เป็นไปตามนั้น การโอนหุ้นนั้นไม่สมบูรณ์และไม่มีผลผูกพัน
โจทก์รับโอนหุ้นของจำเลยที่1ซึ่งเป็นหุ้นสามัญระบุชื่อบริษัทอ. เป็นผู้ถือหุ้นมาจากย. โดยไม่เป็นไปตามข้อบังคับของจำเลยที่1และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1129ที่กำหนดไว้ว่าจะต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้โอนและผู้รับโอนโดยมีพยานลงลายมือชื่อรับรองจึงไม่มีผลใช้ยันจำเลยที่1ได้การที่จำเลยที่1และที่2ปฏิเสธการออกใบหุ้นของจำเลยที่1ให้แก่โจทก์ย่อมเป็นสิทธิที่พึงกระทำได้
of 57