พบผลลัพธ์ทั้งหมด 346 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3846/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทุจริตในความผิดชิงทรัพย์ - พยานหลักฐานไม่เพียงพอ - การรอการลงโทษ
จำเลยมิได้ถืออาวุธปืนจ้องมาทางผู้เสียหาย ก่อนหยิบเสื้อของ ว. ไป จำเลยพูดว่าเอาเสื้อไปนะ ขณะหยิบเสื้อของ ว. ซึ่งแขวนอยู่ที่ไม้แขวนเสื้อและเครื่องรับโทรศัพท์ไร้สาย จำเลยถืออาวุธปืนอยู่ในมือข้างเดียวกับที่ถือไม้แขวนเสื้อแสดงว่าจำเลยมิได้หยิบเสื้อของ ว. ไปโดยพลการ จำเลยถือไม้แขวนเสื้อในมือที่ถืออาวุธปืนมีลักษณะไม่อยู่ในสภาพที่จะทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวได้ ทำให้ไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายไม่กล้าขัดขวางจำเลยเพราะเหตุที่จำเลยถืออาวุธปืน จำเลยเอาทรัพย์ของผู้เสียหายและว. ไปจึงมิใช่เกิดจากการที่จำเลยใช้อาวุธปืนขู่เข็ญผู้เสียหายอันจะเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
จำเลยเอาทรัพย์ไปก็เพื่อให้ ว. เอาฝาถังน้ำมันรถยนต์ของจำเลยไปแลกทรัพย์คืนมา จำเลยมีฐานะดี การที่เอาทรัพย์ของผู้เสียหายและ ว. ไป เพื่อต้องการให้ ว. เอาฝาถังน้ำมันรถยนต์ของจำเลยไปแลกทรัพย์คืนมา จึงไม่มีเจตนาทุจริต การกระทำ ของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
จำเลยเอาทรัพย์ไปก็เพื่อให้ ว. เอาฝาถังน้ำมันรถยนต์ของจำเลยไปแลกทรัพย์คืนมา จำเลยมีฐานะดี การที่เอาทรัพย์ของผู้เสียหายและ ว. ไป เพื่อต้องการให้ ว. เอาฝาถังน้ำมันรถยนต์ของจำเลยไปแลกทรัพย์คืนมา จึงไม่มีเจตนาทุจริต การกระทำ ของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3846/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกเคหสถานพร้อมอาวุธและการชิงทรัพย์: เจตนาทุจริตและเหตุผลในการกระทำ
จำเลยถือปืนบุกรุกเข้าไปในห้องเช่าอันเป็นเคหสถานของผู้เสียหายโดยเพื่อเอาเรื่องกับ ว. สามีผู้เสียหายที่ทำร้ายจำเลยเมื่อถูกจำเลยทวงหนี้ แต่ไม่พบ ว. จำเลยมิได้จ้องปืนมาทางผู้เสียหายแล้วจำเลยเอาเครื่องรับโทรศัพท์ไร้สายและมีดของผู้เสียหายกับเสื้อของ ว. ไป ก่อนหยิบเสื้อของ ว. จำเลยพูดว่าเอาเสื้อไปนะ ทั้งขณะที่หยิบเสื้อของ ว. ซึ่งแขวนอยู่ที่ไม้แขวนเสื้อและเครื่องรับโทรศัพท์ไร้สาย จำเลยถืออาวุธปืนอยู่ในมือข้างเดียวกับที่ถือไม้แขวนเสื้อ จึงมิได้หยิบเสื้อของ ว. ไปโดยพลการ และการที่จำเลยถืออาวุธปืนในลักษณะดังกล่าวไม่อยู่ในสภาพที่จะทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัว จนไม่กล้าขัดขวางจำเลย การที่จำเลยเอาทรัพย์ของผู้เสียหายและ ว. ไปจึงมิใช่เกิดจากการที่จำเลยใช้อาวุธปืนขู่เข็ญผู้เสียหายอันจะเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
จำเลยเอาเครื่องรับโทรศัพท์ไร้สายของผู้เสียหายและเสื้อของ ว.ไปเพื่อให้ ว. นำฝาถังน้ำมันรถยนต์ของจำเลยไปแลกทรัพย์ดังกล่าวคืน และจำเลยมีฐานะการเงินดี แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริต การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
จำเลยเอาเครื่องรับโทรศัพท์ไร้สายของผู้เสียหายและเสื้อของ ว.ไปเพื่อให้ ว. นำฝาถังน้ำมันรถยนต์ของจำเลยไปแลกทรัพย์ดังกล่าวคืน และจำเลยมีฐานะการเงินดี แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริต การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3227/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพยายามฆ่าและพยายามชิงทรัพย์: การรับฟังพยานหลักฐานและการพิจารณาความผิดสำเร็จ
แม้คืนวันเกิดเหตุจะเป็นคืนข้างแรมเดือนมืด แต่โจทก์ร่วมก็รู้จักกับจำเลยมาตั้งแต่ยังเด็ก อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ประกอบกับจำเลยมีลักษณะพิเศษคือศีรษะมีผมขาวและรูปร่างล่ำไม่สูงขณะเกิดเหตุโจทก์ร่วมยืนยันว่าจำเลยยืนอยู่ที่มุมบ่อเลี้ยงปลาห่างจากโจทก์ร่วมเพียง 8 เมตร และไฟฉายที่ใช้ส่องไปยังจำเลยกับพวกเป็นไฟฉายขนาดถ่านไฟฉาย 3 ก้อน และถ่านที่ใช้ยังใหม่ โจทก์ร่วมสามารถเห็นจำเลยได้อย่างชัดเจนจากแสงไฟฉายที่ส่องกราดไปยังจำเลย นอกจากนี้คำเบิกความของโจทก์ร่วมก็ยังสอดคล้องกับคำเบิกความของพยานโจทก์และโจทก์ร่วม ซึ่งแม้ส่วนใหญ่จะเกี่ยวพันเป็นญาติใกล้ชิดกับโจทก์ร่วมก็ตามแต่ทั้งโจทก์ร่วมและพยานโจทก์คนอื่น ๆ ต่างก็รู้จักคุ้นเคยกับจำเลยมาก่อน และต่างก็ยืนยันว่าไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เชื่อว่าพยานดังกล่าวได้เบิกความไปตามความเป็นจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกลักปลาในบ่อเลี้ยงปลาของโจทก์ร่วมและใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมจริง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วม และร่วมกันพยายามชิงทรัพย์เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมรับอันตรายสาหัสโดยมีและใช้อาวุธปืน
ก่อนที่จะได้ยินเสียงทอดแหในบ่อเลี้ยงปลา โจทก์ร่วมซุ่มอยู่ที่โคนต้นขนุนมุมบ่อ เมื่อได้ยินเสียงทอดแหในบ่อเลี้ยงปลานั้นโจทก์ร่วมก็ยิงปืนขึ้นฟ้า 1 นัด เมื่อคนร้ายเพิ่งจะทอดแหในบ่อเลี้ยงปลาของโจทก์ร่วมเพียงครั้งเดียว และนอกจากปลาจำนวน 6 ตัว ซึ่งติดอยู่ในแหของคนร้ายที่จมอยู่ในบ่อเลี้ยงปลาแล้วจำเลยกับพวกยังไม่ได้ปลาอื่น ๆ ไปจากบ่อเลี้ยงปลาของโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสโดยมีและใช้อาวุธปืน มิใช่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
ก่อนที่จะได้ยินเสียงทอดแหในบ่อเลี้ยงปลา โจทก์ร่วมซุ่มอยู่ที่โคนต้นขนุนมุมบ่อ เมื่อได้ยินเสียงทอดแหในบ่อเลี้ยงปลานั้นโจทก์ร่วมก็ยิงปืนขึ้นฟ้า 1 นัด เมื่อคนร้ายเพิ่งจะทอดแหในบ่อเลี้ยงปลาของโจทก์ร่วมเพียงครั้งเดียว และนอกจากปลาจำนวน 6 ตัว ซึ่งติดอยู่ในแหของคนร้ายที่จมอยู่ในบ่อเลี้ยงปลาแล้วจำเลยกับพวกยังไม่ได้ปลาอื่น ๆ ไปจากบ่อเลี้ยงปลาของโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสโดยมีและใช้อาวุธปืน มิใช่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2470/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาชิงทรัพย์ไม่ชัดเจน ยกประโยชน์แห่งความสงสัย ลดโทษฐานทำร้ายร่างกาย
พฤติการณ์ที่จำเลยกับพวกกระทำต่อผู้เสียหายตั้งแต่เมื่อพบผู้เสียหายบนรถยนต์โดยสารจนกระทั่งมีคนมาช่วยเหลือผู้เสียหาย เป็นลักษณะของการกระทำที่ต้องการโอ้อวดบารมีแสดงอำนาจบาตรใหญ่เพื่อข่มเหงรังแกผู้เสียหายให้ผู้เสียหายเกรงกลัวโดยความคึกคะนองตามวิสัยของบุคคลที่ยังเยาว์วัย ด้วยความคิดอ่านและคิดว่าสิ่งที่กระทำไปนั้นคือสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น น่าจะไม่มีเจตนาที่จะเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต ประกอบกับคำเบิกความของผู้เสียหายและ ฉ. พยานโจทก์ก็ยังมีข้อน่าสงสัยว่า จำเลยกระชากสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำขาดโดยเจตนาที่จะเอาไปโดยสุจริตหรือว่าสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายขาดเพราะจำเลยจับคอเสื้อผู้เสียหายกระชาก เป็นเหตุให้สร้อยคอทองคำและพระเลี่ยมทองคำตกหล่นหายไป แม้โจทก์จะมีคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยระบุว่าจำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาปล้นทรัพย์ แต่จำเลยก็ยังโต้เถียงว่าจำเลยไม่ได้ให้การรับสารภาพ ตามพฤติการณ์แห่งคดียังเป็นที่น่าสงสัยอยู่ว่าจำเลยมีเจตนาเอาสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำของผู้เสียหายไปโดยทุจริตหรือไม่ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง แต่การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรก ซึ่งเป็นการกระทำที่รวมอยู่ในความผิดฐานชิงทรัพย์ ศาลลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1915/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ พิจารณาจากพฤติการณ์และคำพูดของผู้กระทำ หากไม่มีเจตนาเอาทรัพย์ไปเป็นการถาวร ไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
จำเลยทั้งสองว่าจ้างให้ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ไปส่งระหว่างทางมีการบังคับให้ผู้เสียหายเข้าไปในกระท่อมแต่ผู้เสียหายไม่ยอม จำเลยที่ 2 เอามือรัดคอผู้เสียหายและดึงเอากุญแจมาส่งให้จำเลยที่ 1 ซึ่งนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์อยู่ เมื่อมีคนขับรถจักรยานยนต์รับจ้างเข้ามาช่วย จำเลยทั้งสองก็เอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายขับหลบหนีไป ก่อนจำเลยทั้งสองขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปมีจำเลยคนหนึ่งพูดว่าให้ผู้เสียหายไปเอารถจักรยานยนต์คืนที่โรงเรียนวัด บ. แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองเพียงต้องการนำรถจักรยานยนต์คันที่ผู้เสียหายขับไปใช้ชั่วคราวโดยตั้งใจจะคืนให้ภายหลัง มิได้กระทำเพื่อเป็นการตัดกรรมสิทธิ์ตลอดไป จึงมิใช่เป็นการกระทำที่ถือว่าเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไป อันจะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1181/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย: การกระทำความผิดฐานลักทรัพย์โดยการล้วงกระเป๋าและกัดเพื่อหลบหนี
ผู้เสียหายยืนเรียกรถแท็กซี่ จำเลยทั้งสองและพวกอีก 1 คนเข้าไปพูดกับผู้เสียหายขอไปนอนด้วยที่โรงแรม ผู้เสียหายปฏิเสธ จำเลยทั้งสองลูบตามตัวผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบเอาเงินสดของผู้เสียหายไป แล้วส่งเงินแก่พวกของตนแล้วทั้งหมดหลบหนีไป ผู้เสียหายวิ่งตามจับจำเลยทั้งสองได้จำเลยที่ 1 กัดมือซ้ายและจำเลยที่ 2 กัดมือขวาของผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายไม่ยอมปล่อยจำเลยทั้งสอง ถือว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกันลักทรัพย์ โดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้พ้นจากการจับกุม เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1161/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานชิงทรัพย์: การขู่เข็ญด้วยอาวุธและประสงค์ที่จะเอาทรัพย์สินในขณะนั้น
จำเลยจับแขนผู้เสียหายพูดว่า มาทางนี้เดี๋ยว เอาเงินมา ผู้เสียหายตอบว่าไม่มี จำเลยก็ชักอาวุธมีดคัทเตอร์มาจี้ผู้เสียหายผู้เสียหายสลัดหลุดวิ่งไปหา ส. จำเลยก็ตามไปพร้อมกับพูดว่า จะหนีไปไหน ผู้เสียหายกลัวจึงบอก ส. ให้มอบเงินแก่จำเลยไป แสดงว่าจำเลยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย ด้วยการทำร้ายร่างกาย และให้ผู้เสียหายส่งเงินให้จำเลยในขณะนั้น การกระทำ ของจำเลย จึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ ไม่ใช่กรรโชก เนื่องจากมิใช่เป็นการขู่ ว่าจะทำร้ายผู้เสียหายและให้ส่งเงินแก่จำเลยในภายหลัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 602/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ชิงทรัพย์ต่อเนื่องจากการลักทรัพย์: การยื้อแย่งไม้กวาดและทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเพื่อหลบหนีถือเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
การที่จำเลยที่ 1 ยื้อแย่งไม้กวาดจากผู้เสียหายที่ 2 และเหวี่ยงกันไปมาโดยจำเลยที่ 1 ทำหน้าตาและส่งเสียงข่มขู่จะทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 และการเหวี่ยงไปมาขณะแย่งไม้กวาด เป็นเหตุให้ข้อมือของผู้เสียหายที่ 2 ได้รับบาดเจ็บถือได้ว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายอันเป็นกรณีที่ต่อเนื่องกับการที่จำเลยทั้งสองเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านของผู้เสียหาย ทั้งนี้ เพื่อสะดวกแก่การพาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นจากการจับกุม จึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 507/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาประสงค์ต่อทรัพย์สำคัญกว่ามูลเหตุจูงใจในการชิงทรัพย์ แม้จะอ้างเหตุแสดงความกล้า
จำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในทันใดภายหลังเกิดเหตุและให้การวันเดียวกันนั้นว่า จำเลยกับ ต. ตกลงกันว่าหากพบเห็นนักศึกษาต่างโรงเรียนก็ให้แย่งเสื้อตัวที่นักศึกษาของสถาบันนั้นมาให้ได้ โดยไม่ปรากฏข้อความใดว่าจำเลยไม่มีเจตนาประสงค์ต่อทรัพย์ ทั้งพฤติการณ์ที่แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาเช่นนั้น จำเลยก็มิได้กล่าวอ้างไว้ ตรงกันข้ามจำเลยกลับนำชี้ที่เกิดเหตุและแสดงท่าให้เจ้าพนักงานตำรวจถ่ายรูปไว้ประกอบคำรับสารภาพหลังจากรับทราบข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดฐานชิงทรัพย์ ชั้นพิจารณาจำเลยก็มิเคยยกประเด็นขาดเจตนาลักทรัพย์ขึ้นแถลงต่อศาล คำรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยนั้นเชื่อว่าจำเลยกระทำด้วยความสมัครใจและตามความเป็นจริงเพราะจำเลยถูกจับกุมแทบจะทันใดภายหลังเกิดเหตุ จึงไม่อาจคิดหาข้อแก้ตัวเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดได้ทัน ทั้งตามพฤติการณ์ที่จำเลยจับเสื้อช๊อปของผู้เสียหายไว้ขณะที่พูดขอเสื้อ ครั้นถูกปฏิเสธจำเลยจึงล้วงมีดคัทเตอร์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เมื่อผู้เสียหายถูกพวกของจำเลยต่อย จำเลยก็เข้าชกต่อยผู้เสียหายจนกระทั่งได้เสื้อช๊อปของผู้เสียหายมา เข้าลักษณะเป็นการคุกคามขู่เข็ญให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่กายหากผู้เสียหายไม่ยอมตามที่จำเลยต้องการ ผู้เสียหายถอดเสื้อช๊อปให้จำเลยเพราะกลัวว่าจะถูกทำร้ายอีก จึงมิใช่การให้ทรัพย์ด้วยความสมัครใจแต่เป็นไปเพราะอยู่ใต้อำนาจบังคับของจำเลย จำเลยได้ไปซึ่งเสื้อช๊อปของผู้เสียหายแล้วจึงหยุดขู่เข็ญพร้อมกลับลงจากรถโดยสารคันเกิดเหตุ อันเป็นเครื่องแสดงเจตนาว่าจำเลยประสงค์ต่อเสื้อช๊อปเป็นสำคัญ จำเลยจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์ ส่วนที่จำเลยอ้างว่ากระทำไปเพราะต้องการแสดงความกล้าและความสามารถให้รุ่นพี่ของจำเลยเห็นนั้นเป็นเพียงมูลเหตุจูงใจที่ชักนำให้จำเลยตัดสินใจกระทำความผิด ไม่มีผลให้จำเลยพ้นจากความรับผิดไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 507/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ชิงทรัพย์โดยขู่เข็ญด้วยการใช้มีดคัตเตอร์ ทำให้ผู้เสียหายเกรงกลัวและยินยอมมอบทรัพย์สิน
จำเลยกับพวกอีก 1 คน พูดขอเสื้อช๊อปที่ผู้เสียหายสวมใส่อยู่ผู้เสียหายไม่ยอม จำเลยล้วงมีดคัทเตอร์ของกลางจากกระเป๋ากางเกงด้านหลังผู้เสียหายจับมือจำเลยข้างที่ถือมีดจึงถูกพวกของจำเลยชกที่แก้ม จำเลยเก็บมีดและชกผู้เสียหายที่ปาก ผู้เสียหายยอมถอดเสื้อช๊อปให้จำเลย ตามพฤติการณ์ที่จำเลยจับเสื้อช๊อปของผู้เสียหายไว้ขณะที่พูดขอเสื้อ ครั้นถูกปฏิเสธจำเลยจึงล้วงมีดคัทเตอร์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้านหลัง เมื่อผู้เสียหายถูกพวกของจำเลยต่อย จำเลยก็เข้าชกต่อยผู้เสียหายจนกระทั่งได้เสื้อช๊อปของผู้เสียหายมาเช่นนี้ เข้าลักษณะเป็นการคุกคามขู่เข็ญให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่กายหากผู้เสียหายไม่ยอมตามที่จำเลยต้องการ ผู้เสียหายถอดเสื้อช๊อปให้จำเลยเพราะเกรงกลัวว่าจะถูกทำร้ายอีก จึงมิใช่การให้ทรัพย์ด้วยความสมัครใจ แต่เป็นไปเพราะอยู่ใต้อำนาจบังคับของจำเลยจำเลยได้ไปซึ่งเสื้อช๊อปของผู้เสียหายแล้วจึงหยุดขู่เข็ญพร้อมกลับลงจากรถโดยสารคันเกิดเหตุ เป็นเครื่องแสดงเจตนาว่าจำเลยประสงค์ต่อทรัพย์คือเสื้อช๊อปเป็นสำคัญจำเลยจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสาม ประกอบด้วยมาตรา 83 ที่จำเลยอ้างว่าได้กระทำไปเพราะเป็นการแสดงความกล้าให้รุ่นพี่ของจำเลยเห็นว่าจำเลยมีความสามารถ จึงเป็นเพียงมูลเหตุจูงใจที่ชักนำให้จำเลยตัดสินใจกระทำความผิดนั้น ไม่มีผลให้จำเลยพ้นจากความรับผิดไปได้