คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชลอ บุณยเนตร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,097 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1994/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องเคลือบคลุม การเพิกถอนนิติกรรมจำนอง จำเลยไม่ต่อสู้ ศาลต้องวินิจฉัยตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำฟ้องของโจทก์ที่ว่า จำเลยที่ 2 นำที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 4754 ที่จำเลยที่ 1 ยกให้ไปจดทะเบียนจำนองแก่จำเลยที่ 3 โดยจงใจนิ่งเฉยเสียไม่ไขข้อความจริงที่จำเลยที่ 1เป็นลูกหนี้โจทก์ และใช้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวเป็นหลักประกันไว้ โจทก์จึงขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองนั้น ข้ออ้างที่โจทก์ขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนอง โจทก์บรรยายฟ้องเฉพาะการกระทำของจำเลยที่ 2 แต่มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับจำนองได้กระทำการใดอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ หรือโจทก์มีสิทธิอย่างใดในอันที่จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับจำนองได้ คำฟ้องโจทก์เฉพาะส่วนที่กล่าวจึงมิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่จะทำให้จำเลยที่ 3 เข้าใจและต่อสู้คดีได้โดยถูกต้อง คำฟ้องของโจทก์เฉพาะส่วนนี้จึงเคลือบคลุม แต่คำฟ้องของโจทก์ในตอนต้นที่ว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ไป40,000 บาท และนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 4754 ตำบลบ้านกลาง อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ไปให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นหลักประกัน ต่อมาโจทก์คิดว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์หายได้ให้จำเลยที่ 1 ไปขอออกใบแทน แต่จำเลยที่ 1 กลับนำใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กับจำเลยที่ 2 ทำนิติกรรมจดทะเบียนยกให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่มีค่าตอบแทน นิติกรรมยกให้จึงเป็นโมฆะนั้น จำเลยทั้งสามหาได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องของโจทก์ในส่วนนี้เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุมด้วยไม่ และในปัญหาที่ว่าฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ มิใช่ข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยทั้งสามมิได้ต่อสู้ให้เป็นประเด็นไว้ในคำให้การ ศาลย่อมไม่มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1949/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงทางภารจำยอมที่ลดประโยชน์ของเจ้าของสามยทรัพย์เป็นสิ่งที่กฎหมายห้าม
การที่โจทก์ทั้งสองขอให้ย้ายทางภารจำยอมไปอยู่ชิดแนวเขตที่ดินของโจทก์ทั้งสอง โดยให้ทางภารจำยอมเหลือความกว้างเพียง1 เมตรนั้นแม้จะเป็นประโยชน์แก่โจทก์ทั้งสอง แต่เป็นการกระทำที่เป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไป หรือความสะดวกของเจ้าของสามยทรัพย์ในอันที่จะใช้ทางภารจำยอมนั้นลดน้อยลง ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1390 และ 1392

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1949/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระจำยอม: การลดขนาดทางภาระจำยอมกระทบสิทธิเจ้าของสามยทรัพย์
ทางภาระจำยอมที่พิพาทมีความกว้างมากกว่า 3 เมตร การที่โจทก์ทั้งสองขอให้ย้ายทางภารจำยอมไปอยู่ชิดแนวเขตที่ดินของโจทก์ทั้งสองโดยให้ทางภารจำยอมเหลือความกว้างเพียง 1 เมตรนั้นแม้จะเป็นประโยชน์แก่โจทก์ทั้งสองแต่ก็ทำให้จำเลยทั้งสามได้ใช้ทางภารจำยอมแคบลงกว่าเดิม อันเป็นการกระทำที่เป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไป หรือความสะดวกของเจ้าของสามยทรัพย์ในอันที่จะใช้ทางภารจำยอมนั้นลดน้อยลง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1390 และมาตรา 1392 โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจเรียกให้ย้ายทางภารจำยอมไปยังส่วนอื่นของที่ดินของโจทก์ทั้งสองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1915/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีผิดสัญญาจ้างแรงงาน เริ่มนับจากวันที่สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายเกิด ขึ้นเมื่อหนี้ขาดอายุความ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์มีหน้าที่ติดตามทวงถามลูกหนี้และผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้แก่โจทก์ ไม่ปฎิบัติตามหน้าที่ปล่อยปละละเลยจนคดีขาดอายุความ ทำให้โจทก์เสียหายและเรียกค่าเสียหาย เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาจ้างแรงงานซึ่งมีอายุความ 10 ปี นับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องนั้นได้เมื่อสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีต่อนาย ส. ขาดอายุความตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2525 และสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีต่อคู่กรณีที่ขับรถชนรถยนต์ของโจทก์ขาดอายุความตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2524ดังนี้ โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ได้นับแต่วันที่หนี้แต่ละรายดังกล่าวขาดอายุความ โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 24 มีนาคม 2536 จึงเป็นเวลาเกิน 10 ปี คดีโจทก์ย่อมขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1915/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องเรียกค่าเสียหายจากลูกจ้าง กรณีละเลยหน้าที่ทวงหนี้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์มีหน้าที่ติดตามทวงถามลูกหนี้และผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้แก่โจทก์ ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ปล่อยปละละเลยจนคดีขาดอายุความ ทำให้โจทก์เสียหายและเรียกค่าเสียหาย เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งมีอายุความ 10 ปี นับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องนั้นได้ เมื่อสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีต่อนาย ส. ขาดอายุความตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2525 และสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีต่อคู่กรณีที่ขับรถชนรถยนต์ของโจทก์ขาดอายุความตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2524 ดังนี้ โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ได้นับแต่วันที่หนี้แต่ละรายดังกล่าวขาดอายุ-ความ โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 24 มีนาคม 2536 จึงเป็นเวลาเกิน 10 ปี คดีโจทก์ย่อมขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1915/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องผิดสัญญาจ้างแรงงาน เริ่มนับจากวันที่สิทธิเรียกร้องบังคับได้ ไม่ใช่วันไล่ออก
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์ มีหน้าที่ติดตามทวงถามลูกหนี้และผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้แต่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ปล่อยปละละเลยจนคดีขาดอายุความทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหาย และให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามสัญญาค้ำประกัน เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ฐานผิดสัญญาจ้างแรงงานและเรียกค่าเสียหาย อายุความของสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายดังกล่าวเริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องนั้นเป็นต้นไปศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีต่อนาย ส.ขาดอายุความ ตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2525 และสิทธิเรียกร้องที่มีต่อนายต. ขาดอายุความตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2524 โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้นับแต่วันที่หนี้แต่ละรายดังกล่าวขาดอายุความ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2536 เป็นเวลาเกิน10 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1913/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมาย: ผลกระทบต่อสัญญากู้ และการบังคับคดี
ปัญหาที่ว่าสัญญากู้ซึ่งมีดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดรวมเป็นเงินต้นด้วยเป็นโมฆะหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยจึงยกขึ้นมาในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง การที่โจทก์นำดอกเบี้ยล่วงหน้าที่คิดจากจำเลยในอัตราเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 654 ไปรวมเป็นต้นเงินที่กู้ยืมตามสัญญากู้เฉพาะดอกเบี้ยที่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจึงเป็นโมฆะ แต่หนี้เงินต้นและข้อตกลงให้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1.25 ต่อเดือน ยังคงสมบูรณ์ สัญญากู้ไม่ตกเป็นโมฆะทั้งฉบับ และในส่วนที่สมบูรณ์โจทก์ย่อมนำมาใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมฟ้องร้องบังคับคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1913/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมาย: ผลกระทบต่อสัญญากู้ และขอบเขตของความโมฆะ
ปัญหาที่ว่าสัญญากู้ซึ่งมีดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดรวมเป็นเงินต้นด้วยเป็นโมฆะหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยจึงยกขึ้นมาในชั้นฎีกาได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง
การที่โจทก์นำดอกเบี้ยล่วงหน้าที่คิดจากจำเลยในอัตราเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475มาตรา 3 ประกอบด้วย ป.พ.พ.มาตรา 654 ไปรวมเป็นต้นเงินที่กู้ยืมตามสัญญากู้เฉพาะดอกเบี้ยที่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจึงเป็นโมฆะ แต่หนี้เงินต้นและข้อตกลงให้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1.25 ต่อเดือน ยังคงสมบูรณ์ สัญญากู้ไม่ตกเป็นโมฆะทั้งฉบับและในส่วนที่สมบูรณ์โจทก์ย่อมนำมาใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมฟ้องร้องบังคับคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1913/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยเกินอัตราในสัญญากู้: โมฆะเฉพาะส่วนดอกเบี้ย แต่เงินต้นยังใช้บังคับได้
จำนวนต้นเงินในสัญญากู้ได้รวมดอกเบี้ยที่คิดล่วงหน้าและเป็นดอกเบี้ยที่คิดเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ฝ่าฝืน พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะแต่หนี้เงินต้นและข้อตกลงให้เรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1.25ต่อเดือนยังคงสมบูรณ์ ปัญหาว่าสัญญากู้ซึ่งมีดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดรวมเป็นเงินต้นด้วยเป็นโมฆะหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1851/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน: พฤติการณ์ช่วยเหลือคนร้ายก่อน, ระหว่าง, และหลังการกระทำความผิด
จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์พาคนร้ายไปบ้านผู้ตาย และจอดรถยนต์รออยู่ที่หน้าบ้านผู้ตาย หลังจากคนร้ายสองคนเข้าไปยิงผู้ตายแล้ว ได้วิ่งมาขึ้นรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 จอดรออยู่ แล้วจำเลยที่ 1 ก็ขับรถยนต์พาคนร้ายหลบหนีไปพฤติการณ์ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมคบคิดกับพวกวางแผนมาฆ่าผู้ตายโดยแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยที่ 1จึงเป็นตัวการร่วมกับพวกคนร้ายฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
of 110