คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ธวัชชัย พิทักษ์พล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 785 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1220/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่มีทุนทรัพย์ไม่ขัดแย้งกับคดีมีทุนทรัพย์ หากคำขอหลักคือการเพิกถอนนิติกรรม
คำฟ้องโจทก์สามารถแยกออกได้เป็นสองส่วน คือ จำเลยที่ 2ซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจากจำเลยที่ 1 โดยรู้ว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์อยู่ก่อนแล้วทำให้โจทก์เสียเปรียบ ขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งคำขอในส่วนนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง อีกส่วนหนึ่งคือ จำเลยที่ 1ทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยที่ 1จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ซึ่งคำขอในส่วนนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ แต่การที่จะวินิจฉัยคำขอในส่วนนี้ต้องวินิจฉัยคำขอในส่วนแรกเพื่อให้ได้ความว่ามีเหตุให้ต้องเพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินหรือไม่ก่อน และในกรณีที่เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์และไม่มีทุนทรัพย์รวมอยู่ในคดีเดียวกันจะต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาว่าคดีนั้นมีคำขอใดเป็นหลักคำขอใดเป็นคำขอที่ต่อเนื่องซึ่งต้องถือว่าคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินเป็นคำขอหลักจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1220/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรวมคดีมีทุนทรัพย์และไม่มีทุนทรัพย์ คำขอหลักและต่อเนื่องมีผลต่อการฎีกา
ตามคำฟ้องโจทก์สามารถแยกข้อหาและคำขอบังคับออกได้เป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือ จำเลยที่ 2 ซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยรู้ว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์อยู่ก่อนแล้วทำให้โจทก์เสียเปรียบ ขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1และที่ 2 ซึ่งคำขอในส่วนนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ อีกส่วนหนึ่งคือ จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์และรับชำระราคาบางส่วนไปแล้ว ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ พร้อมทั้งรับค่าที่ดินส่วนที่เหลือ ซึ่งคำขอในส่วนนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ในคดีที่มีทุนทรัพย์และไม่มีทุนทรัพย์รวมอยู่ในคดีเดียวกัน จะต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่นั้น ย่อมจะต้องพิจารณาว่าคดีนั้นมีคำขอใดเป็นหลัก คำขอใดเป็นคำขอที่ต่อเนื่อง คดีนี้โจทก์มีคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 เมื่อเพิกถอนแล้วจึงให้จำเลยที่ 1 โอนขายให้โจทก์พร้อมรับชำระราคาส่วนที่เหลือจึงถือว่าคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินพิพาทเป็นคำขอหลัก คำขอให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายเป็นคำขอต่อเนื่อง จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1220/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินเมื่อผู้ซื้อรู้ถึงสัญญาจะซื้อขายก่อนหน้า และประเด็นคำขอหลักต่อเนื่อง
ตามคำฟ้องโจทก์สามารถแยกข้อหาและคำขอบังคับออกได้เป็นสองส่วนส่วนหนึ่งคือจำเลยที่2ซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจากจำเลยที่1โดยรู้ว่าจำเลยที่1ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์อยู่ก่อนแล้วทำให้โจทก์เสียเปรียบขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่1และที่2ซึ่งคำขอในส่วนนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์อีกส่วนหนึ่งคือจำเลยที่1ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์และรับชำระราคาบางส่วนไปแล้วขอให้บังคับจำเลยที่1จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์พร้อมทั้งรับค่าที่ดินส่วนที่เหลือซึ่งคำขอในส่วนนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ในคดีที่มีทุนทรัพย์และไม่มีทุนทรัพย์รวมอยู่ในคดีเดียวกันจะต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่นั้นย่อมจะต้องพิจารณาว่าคดีนั้นมีคำขอใดเป็นหลักคำขอใดเป็นคำขอที่ต่อเนื่องคดีนี้โจทก์มีคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่1และที่2เมื่อเพิกถอนแล้วจึงให้จำเลยที่1โอนขายให้โจทก์พร้อมรับชำระราคาส่วนที่เหลือจึงถือว่าคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินพิพาทเป็นคำขอหลักคำขอให้จำเลยที่1ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายเป็นคำขอต่อเนื่องจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1220/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในข้อเท็จจริง: คดีมีทุนทรัพย์และไม่มีทุนทรัพย์พิจารณาจากคำขอหลัก
คดีที่มีทุนทรัพย์และไม่มีทุนทรัพย์รวมอยู่ในคดีเดียวกันจะต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่นั้นต้องพิจารณาว่าคดีนั้นมีคำขอใดเป็นหลักคำขอใดเป็นคำขอที่ต่อเนื่องโจทก์มีคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่1และที่2เมื่อเพิกถอนแล้วจึงให้จำเลยที่1โอนขายให้โจทก์พร้อมรับชำระราคาส่วนที่เหลือจึงถือว่าคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินพิพาทเป็น คำขอหลักคำขอให้จำเลยที่1ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายเป็น คำขอต่อเนื่อง เมื่อคำขอหลักเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ซึ่งไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแล้วคำขอต่อเนื่องแม้ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทก็ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดอำนาจศาลไม่ใช่การฟ้องซ้ำ คดีปลอมแปลงเอกสารเป็นคนละประเด็น
จำเลยกระทำการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล และศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงโทษจำเลยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 31 (1), 33 ซึ่งกฎหมายดังกล่าวให้ศาลมีอำนาจพิเศษในการสั่งลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องมีผู้ใดร้องขอหรือเป็นโจทก์ฟ้อง แม้จำเลยได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วพนักงานอัยการได้ทำคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าพนักงานอัยการเป็นโจทก์
ความผิดของจำเลยคดีนี้เป็นเรื่องปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม โดยพนักงานอัยการเป็นโจทก์จึงเป็นคนละเรื่องและคนละประเด็นกับคดีฐานละเมิดอำนาจศาล ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงโทษจำคุกจำเลยและคดีถึงที่สุดแล้ว สิทธินำคดีมาฟ้องของโจทก์คดีนี้ย่อมไม่ระงับไปตาม ป.วิ.อ.มาตรา 39 (4) โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยเป็นคดีนี้ได้ ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ หนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารธรรมดา ซึ่งบุคคลคนหนึ่งมอบหมายให้บุคคลอีกคนหนึ่งมีอำนาจจัดการทำนิติกรรมแทนตนเท่านั้น ไม่เป็นเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการก่อตั้งสิทธิอย่างใด ไม่ใช่เอกสารสิทธิ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำคดีปลอมแปลงเอกสาร แม้เคยถูกลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลแล้ว สิทธิฟ้องไม่ระงับ และประเด็นเอกสารธรรมดาไม่ใช่เอกสารสิทธิ
ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นความผิดต่อศาลซึ่งกฎหมายดังกล่าวให้ศาลมีอำนาจพิเศษในการสั่งลงโทษได้โดยไม่ต้องมีผู้ใดร้องขอหรือเป็นโจทก์ฟ้องแม้พนักงานอัยการจะได้ทำคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยก็ถือไม่ได้ว่าพนักงานอัยการเป็นโจทก์ส่วนความผิดคดีนี้เป็นเรื่องปลอมและใช้เอกสารปลอมโดยพนักงานอัยการเป็นโจทก์จึงเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกับคดีฐานละเมิดอำนาจศาลซึ่งถึงที่สุดแล้วสิทธินำคดีมาฟ้องของโจทก์คดีนี้ย่อมไม่ระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(4) หนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารธรรมดาซึ่งบุคคลหนึ่งมอบหมายให้บุคคลหนึ่งมีอำนาจจัดทำนิติกรรมแทนตนเท่านั้นไม่เป็นเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการก่อตั้งสิทธิจึงไม่ใช่เอกสารสิทธิตามความแห่งกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำในคดีอาญาหลังถูกลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล และการปรับบทลงโทษที่ถูกต้อง
จำเลยประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลโดยทำใบมอบอำนาจปลอมยื่นต่อศาลอันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลและศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1),33ซึ่งสั่งลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องมีผู้ใดเป็นโจทก์ฟ้องแม้จำเลยได้อุทธรณ์คำสั่งแล้วพนักงานอัยการได้ทำคำแก้อุทธรณ์ก็ตามก็ถือไม่ได้ว่าพนักงานอัยการเป็นโจทก์ การที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยฐานปลอมเอกสารใบมอบอำนาจและใช้เอกสารปลอม จึงเป็นคนละเรื่องกับคดีฐานละเมิดอำนาจศาล ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงโทษจำเลยและคดีถึงที่สุดแล้ว สิทธินำคดีมาฟ้องย่อมไม่ระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) หนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารธรรมดา ซึ่งบุคคลคนหนึ่งมอบหมายให้บุคคลอีกคนหนึ่งมีอำนาจจัดการทำนิติกรรมแทนตนเท่านั้น ไม่เป็นเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการก่อตั้งสิทธิไม่ใช่เอกสารสิทธิ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1080/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม ศาลไม่รับพิจารณารวมกันได้
มูลหนี้ตามฟ้องเดิมเป็นเรื่องที่โจทก์เรียกหนี้เงินตามสัญญากู้เงินที่จำเลยที่1กู้ไปแล้วชำระคืนให้โจทก์ไม่ครบและขอให้ศาลบังคับจำเลยที่1ชำระเงินส่วนที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ยจำเลยที่1ให้การรับว่าได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์และได้ชำระเงินที่กู้ให้โจทก์บางส่วนแล้วแต่ปฏิเสธที่จะชำระในส่วนที่ค้างชำระโดยอ้างเหตุว่าถูกโจทก์และบริษัทด.หลอกลวงให้หลงเชื่อว่าบริษัทดังกล่าวเสนอขายที่ดินสวนเกษตรจะปลูกต้นมะขามหวานโดยแบ่งเป็นแปลงละ2ไร่พร้อมกับจัดให้มีสาธารณูปโภคจำเลยที่1จึงได้ตกลงทำสัญญาจองและจะซื้อจะขายที่ดินกับบริษัทดังกล่าวต่อมาบริษัทดังกล่าวไม่ได้ปฏิบัติตามโครงการที่เสนอขายอันเป็นการปฏิบัติผิดสัญญาคดีจึงมีประเด็นเพียงว่าจำเลยที่1ต้องชำระเงินกู้ในส่วนที่ยังชำระไม่ครบคืนให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่การที่จำเลยที่1ฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างบริษัทด. กับจำเลยที่1โดยอ้างเหตุว่าบริษัทดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามโครงการจัดขายที่ดินสวนเกษตรจึงเป็นข้อเท็จจริงและหลักฐานที่จะนำสืบคนละเรื่องคนละประเด็นแตกต่างไปจากฟ้องเดิมของโจทก์ที่ขอบังคับตามสัญญากู้เงินและจำนองฟ้องแย้งของจำเลยที่1ในส่วนที่เกี่ยวกับบริษัทด.และว.จึงไม่อาจรับไว้พิจารณารวมกับฟ้องเดิมของโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1080/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการฟ้องแย้ง – ประเด็นต่างกัน – ไม่อาจรวมพิจารณา
มูลหนี้ตามฟ้องเดิมเป็นเรื่องที่โจทก์เรียกหนี้เงินตามสัญญากู้เงินที่จำเลยที่ 1 กู้ไปแล้วชำระคืนให้โจทก์ไม่ครบและขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินส่วนที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 ให้การรับว่าได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์และได้ชำระเงินที่กู้ให้โจทก์บางส่วนแล้ว แต่ปฏิเสธที่จะชำระในส่วนที่ค้างชำระโดยอ้างเหตุว่าถูกโจทก์และบริษัท ด.หลอกลวงให้หลงเชื่อว่า บริษัทดังกล่าวเสนอขายที่ดินสวนเกษตรจะปลูกต้นมะขามหวาน โดยแบ่งเป็นแปลงละ 2 ไร่ พร้อมกับจัดให้มีสาธารณูปโภค จำเลยที่ 1 จึงได้ตกลงทำสัญญาจองและจะซื้อจะขายที่ดินกับบริษัทดังกล่าว ต่อมาบริษัทดังกล่าวไม่ได้ปฏิบัติตามโครงการที่เสนอขายอันเป็นการปฏิบัติผิดสัญญา คดีจึงมีประเด็นเพียงว่า จำเลยที่ 1 ต้องชำระเงินกู้ในส่วนที่ยังชำระไม่ครบคืนให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ การที่จำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างบริษัท ด. กับจำเลยที่ 1 โดยอ้างเหตุว่า บริษัทดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามโครงการจัดขายที่ดินสวนเกษตรจึงเป็นข้อเท็จจริงและหลักฐานที่จะนำสืบคนละเรื่องคนละประเด็นแตกต่างไปจากฟ้องเดิมของโจทก์ที่ขอบังคับตามสัญญากู้เงินและจำนอง ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ในส่วนที่เกี่ยวกับบริษัท ด. และว.จึงไม่อาจรับไว้พิจารณารวมกับฟ้องเดิมของโจทก์ได้



คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1066/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เอกสารหลักทรัพย์เพื่อชำระหนี้ ไม่ใช่สัญญาค้ำประกัน ต้องมีข้อความยอมชำระหนี้แทน
เอกสารที่จะเข้าลักษณะเป็นสัญญาค้ำประกันต้องมีข้อความที่ให้ความหมายว่าเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้แล้วบุคคลภายนอกนั้นจะยอมชำระหนี้แทนแต่เอกสารพิพาทมีข้อความว่า"ข้าพเจ้านางสาวอ. (จำเลยที่2)นางสาวด. (จำเลยที่3)ขอรับรองว่าจะนำโฉนดที่ดิน(ระบุเลขโฉนด)มอบให้ม. ในวันที่13มีนาคม2531เพื่อเป็นหลักทรัพย์ซึ่งน. (จำเลยที่1)ได้บกพร่องต่อทางราชการสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรีตามความเป็นจริงที่น. ได้กระทำเท่านั้น"เมื่อเอกสารดังกล่าวไม่ปรากฏข้อความที่ให้ความหมายว่าถ้าจำเลยที่1ไม่ชำระหนี้แล้วจำเลยที่2และที่3จะชำระแทนจึงไม่ใช่เอกสารที่แสดงว่าจำเลยที่2และที่3ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่1
of 79