คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ธวัชชัย พิทักษ์ผล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 94 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6221/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ประเด็นหนี้สินที่เคยยกเป็นข้อต่อสู้ในคดีแบ่งสินสมรสแล้ว แม้ไม่ได้ระบุในสัญญาประนีประนอมยอมความ ก็ถือเป็นฟ้องซ้ำ
จำเลยเคยฟ้องโจทก์ขอให้ส่งมอบสินส่วนตัวและแบ่งสินสมรส โจทก์ให้การประการหนึ่งว่าโจทก์เป็นหนี้ธนาคารซึ่งโจทก์กู้มาใช้ในครอบครัว หากต้องแบ่งสินสมรสให้จำเลยแล้วจะต้องหักเงินดังกล่าวกึ่งหนึ่งให้โจทก์ด้วย ต่อมาโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่ได้กล่าวถึงหนี้ดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดการที่โจทก์นำหนี้สินซึ่งเป็นประเด็นข้อพิพาทในคดีก่อนมาฟ้องเป็นคดีอีก จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6059/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินมีข้อห้ามโอน และสิทธิครอบครองหลังสัญญาเป็นโมฆะ
ที่พิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)มีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน 10 ปี ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31โจทก์ซื้อที่พิพาทจากนาย ส. และเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทตลอดมา นิติกรรมการซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับนายส.เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113(เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะทำสัญญา คู่กรณีต้องกลับสู่ฐานะเดิม โดยถือเสมือนหนึ่งว่าไม่มีการทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินกัน แต่การที่โจทก์ยังยึดถือครอบครองที่ดินตลอดมาทั้งภายใน 10 ปี และหลัง 10 ปีนับจากวันห้ามโอนแล้ว โจทก์จะได้สิทธิครอบครองในที่ดินหรือไม่เพียงใดต้องแล้วแต่ข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้ยึดถือที่ดินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนหรือไม่ ไม่มีกฎหมายใดให้สิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องหรือร้องขอต่อศาลว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6050/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในข้อเท็จจริงเนื่องจากราคาทรัพย์สินไม่เกิน 200,000 บาท และประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับขาดนัด
คดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท คู่ความต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง คดีมีประเด็นตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาโดยจงใจหรือไม่มีเหตุอันสมควรหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง ไม่เคยได้รับหมายเรียกสำเนาคำฟ้องและหมายนัดสืบพยานโจทก์ เพราะจำเลยพักรักษาตัวอยู่ที่อื่น ไม่ได้อยู่ที่บ้านตามที่เจ้าพนักงานศาลนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปปิดนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5959/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงเวลาทำงานไม่ตรงกับความเป็นจริง ไม่ถือเป็นการทุจริตหรือฝ่าฝืนระเบียบร้ายแรง หากนายจ้างไม่ถือเป็นสาระสำคัญและไม่หักค่าจ้าง
การพิจารณาว่าการกระทำของลูกจ้างทุจริตต่อหน้าที่และเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีร้ายแรงหรือไม่ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่คู่กรณีปฏิบัติต่อกันเป็นเรื่อง ๆ ไป โจทก์ต้องมาทำงานระหว่างเวลา 8 นาฬิกา ถึง 17 นาฬิกา การที่โจทก์ลงเวลาทำงานว่าโจทก์มาทำงานและเลิกงานตามเวลาโดยมีนายท่ารถยนต์โดยสารที่โจทก์ทำงานอยู่นั้นลงชื่อกำกับความถูกต้องทุกวันแสดงว่าจำเลยไม่ได้ถือว่าการลงเวลาทำงานและเลิกงานเป็นสาระสำคัญทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ถูกหักค่าจ้างจากการที่มาทำงานสายและเลิกงานก่อนเวลา จึงมิใช่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีร้ายแรงและไม่ถือว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5626/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากราคาทรัพย์สินพิพาทต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด แม้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ในคดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย อันเป็นการเถียงสิทธิครอบครอง เป็นคดีมีทุนทรัพย์ การพิจารณาว่าคดีจะต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่ ต้องถือตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง เมื่อที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกามีราคาไม่เกินสองแสนบาท คดีย่อมต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 วรรคหนึ่ง โดยไม่มีข้อที่ต้องพิจารณาว่าที่ดินดังกล่าวอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5610/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างที่กระทำผิดวินัยร้ายแรง ด่าทอ ฉีกบัตรเวลา ถือเป็นการจงใจขัดคำสั่งนายจ้างชอบด้วยกฎหมาย ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
การที่ลูกจ้างด่าทอและฉีกบัตรบันทึกเวลาทำงาน ซึ่งเป็นการกระทำผิดวินัยตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้าง ย่อมถือว่าเป็นการจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายด้วย นายจ้างจึงมีเหตุอันสมควรที่จะเลิกจ้างลูกจ้างได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3341/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าธรรมเนียมบังคับคดี: ฝ่ายแพ้คดีต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมเมื่อยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ คดีถึงที่สุด จำเลยทั้งสองจึงเป็นฝ่ายแพ้คดี ต้องรับผิดชำระค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งรวมถึงค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 161 วรรคแรกและวรรคสอง ทั้งการที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ก็เพราะจำเลยทั้งสองไม่ยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นับว่าเป็นความผิดของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดี จำเลยทั้งสองจึงมีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย ตามที่บัญญัติไว้ในตาราง 5(3) ท้าย ป.วิ.พ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3341/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าธรรมเนียมบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์แล้วไม่ขาย ฝ่ายแพ้คดีต้องรับผิด
ค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงิน แล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายเป็นค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ในตาราง 5(3) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และตามมาตรา 161 วรรคแรกบัญญัติว่า ความรับผิดชั้นที่สุด สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดี ย่อมตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่แพ้คดีและวรรคสองบัญญัติว่าค่าฤชาธรรมเนียมนั้น ให้รวมถึงค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีด้วย ฉะนั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์คดีถึงที่สุด จำเลยทั้งสองจึงเป็นฝ่ายแพ้คดีต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีตามบทกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3243/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การร่วมของผู้ต้องหาเป็นพยานสนับสนุนหลักฐานอื่นได้ แม้มีน้ำหนักน้อย
คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่ระบุว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนร่วมในการกระทำผิด แม้จะเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน ซึ่งตามลำพังจะมีน้ำหนักน้อย แต่เมื่อฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นที่โจทก์นำมาสืบแล้วย่อมรับฟังเพื่อสนับสนุนพยานหลักฐานอื่นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3237/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับรองลายพิมพ์นิ้วมือในหนังสือมอบอำนาจทำให้หนังสือมอบอำนาจสมบูรณ์และผู้มอบอำนาจมีอำนาจฟ้อง
พยานลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี แม้จะไม่ระบุว่าเป็นการรับรองลายพิมพ์นิ้วมือผู้มอบอำนาจก็ถือว่าเป็นการรับรองลายพิมพ์นิ้วมือนั่นเอง การลงลายพิมพ์นิ้วมือจึงถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 9 วรรคสอง หนังสือมอบอำนาจสมบูรณ์ถูกต้อง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
of 10