พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,395 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2391/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีเช็คพิพาท: ศาลต้องสืบพยานเพื่อพิสูจน์ข้อตกลงก่อนเบิกเช็ค และการไม่รับฟ้องแย้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คพิพาทพร้อมดอกเบี้ยที่จำเลยจ่ายคืนทุนที่เข้าหุ้นส่วนกันให้โจทก์ จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยตกลงกันว่าระหว่างที่ยังไม่ถึงกำหนดใช้เงินตามเช็ค โจทก์จะนำสมุดบัญชีมาตรวจสอบร่วมกันก่อน โดยไม่มีเจตนาจะให้ผูกพันเป็นการชำระหนี้ และโจทก์จะไม่นำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารจนกว่าจะได้ตรวจสอบบัญชีให้ถูกต้อง และฟ้องแย้งว่าโจทก์ได้เบียดบังยักยอกสินค้าของร้าน ซึ่งจำเลยมีส่วนร่วมอยู่ครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 199,298 บาทไป ขอให้บังคับให้โจทก์ชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย และเรียกค่าเสียหายที่โจทก์ทำลายสมุดบัญชีร้านค้าของจำเลย เมื่อข้ออ้างที่จำเลยอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในฟ้องแย้งเป็นเรื่องกล่าวหาว่าโจทก์กระทำละเมิด ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จึงชอบที่ศาลจะมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็ค แต่จำเลยยังให้การต่อสู้ว่า จำเลยออกเช็คให้โจทก์เป็นประกันและตกลงกันด้วยว่าไม่ให้โจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินจนกว่าจะได้ตรวจสอบบัญชีให้ถูกต้องก่อน หากฟังได้ตามที่จำเลยให้การ โจทก์ก็ไม่มีสิทธินำเช็คไปเรียกเก็บเงิน ศาลชั้นต้นจึงต้องสืบพยานโจทก์จำเลยเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงดังกล่าวเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดชดใช้เงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็ค แต่จำเลยยังให้การต่อสู้ว่า จำเลยออกเช็คให้โจทก์เป็นประกันและตกลงกันด้วยว่าไม่ให้โจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินจนกว่าจะได้ตรวจสอบบัญชีให้ถูกต้องก่อน หากฟังได้ตามที่จำเลยให้การ โจทก์ก็ไม่มีสิทธินำเช็คไปเรียกเก็บเงิน ศาลชั้นต้นจึงต้องสืบพยานโจทก์จำเลยเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงดังกล่าวเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดชดใช้เงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2391/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดสืบพยานก่อนพิพากษาคดีเช็คพิพาท และการรับฟ้องแย้งที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทเดิม
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คพิพาทพร้อมดอกเบี้ยที่จำเลยจ่ายคืนทุนที่เข้าหุ้นส่วนกันให้โจทก์จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยตกลงกันว่าระหว่างที่ยังไม่ถึงกำหนดใช้เงินตามเช็ค โจทก์จะนำสมุดบัญชีมาตรวจสอบร่วมกันก่อน โดยไม่มีเจตนาจะให้ผูกพันเป็นการชำระหนี้และโจทก์จะไม่นำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารจนกว่าจะได้ตรวจสอบบัญชีให้ถูกต้อง และฟ้องแย้งว่าโจทก์ได้เบียดบังยักยอกสินค้าของร้าน ซึ่งจำเลยมีส่วนร่วมอยู่ครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 199,298 บาท ไป ขอให้บังคับให้โจทก์ชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย และเรียกค่าเสียหายที่โจทก์ทำลายสมุดบัญชีร้านค้าของจำเลย เมื่อข้ออ้างที่จำเลยอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในฟ้องแย้งเป็นเรื่องกล่าวหาว่าโจทก์กระทำละเมิด ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จึงชอบที่ศาลจะมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คแต่จำเลยยังให้การต่อสู้ว่า จำเลยออกเช็คให้โจทก์เป็นประกันและตกลงกันด้วยว่าไม่ให้โจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินจนกว่าจะได้ตรวจสอบบัญชี ให้ถูกต้องก่อน หากฟังได้ตามที่จำเลยให้การ โจทก์ก็ไม่มี สิทธินำเช็คไปเรียกเก็บเงิน ศาลชั้นต้นจึงต้องสืบ พยานโจทก์จำเลยเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงดังกล่าวเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษา ให้จำเลยรับผิดชดใช้เงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2299/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิของเจ้าของที่ดินสร้างความเสียหายต่อธุรกิจของอาคารพาณิชย์ข้างเคียง เจ้าของอาคารมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้
ที่ดินที่ตั้งแผงลอยพิพาทเป็นของจำเลย โจทก์ซื้ออาคารพาณิชย์ห้องริมด้านข้างติดกับซอยจึงมีราคาแพงกว่าห้องอื่น ก็เพื่อวัตถุประสงค์ในทางการค้าที่สามารถขายสินค้าได้ทั้งสองด้าน การที่จำเลยสร้างแผงลอยปิดกั้นจนโจทก์ไม่สามารถเปิดประตูด้านข้างได้ เป็นเหตุให้ผู้เช่าอาคารพาณิชย์ของโจทก์ไม่สะดวกในการกระทำการค้าและเป็นเหตุให้บอกเลิกสัญญาเช่า จึงเป็นการที่จำเลยใช้สิทธิของตนเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์ได้รับความเสียหาย หรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรในเมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่แห่งทรัพย์สินนั้นมาคำนึงประกอบ โจทก์จึงมีสิทธิปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือความเดือดร้อนให้สิ้นไป และเรียกเอาค่าทดแทนจากจำเลยได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 421 และมาตรา 1337
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2299/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิสร้างสิ่งกีดขวางทำให้ผู้อื่นเสียหาย ก่อให้เกิดความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ที่ดินที่ตั้งแผงลอยพิพาทเป็นของจำเลย โจทก์ซื้ออาคารพาณิชย์ห้องริม ด้านข้างติดกับซอยจึงมีราคาแพงกว่าห้องอื่น ก็เพื่อวัตถุประสงค์ในทางการค้าที่สามารถขายสินค้าได้ทั้งสองด้าน การที่จำเลยสร้างแผงลอยปิดกั้นจนโจทก์ไม่สามารถเปิดประตูด้านข้างได้ เป็นเหตุให้ผู้เช่าอาคารพาณิชย์ของโจทก์ไม่สะดวกในการกระทำการค้าและเป็นเหตุ ให้บอกเลิกสัญญาเช่า จึงเป็นการที่จำเลยใช้สิทธิของตน เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์ได้รับความเสียหาย หรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรในเมื่อเอาสภาพและ ตำแหน่งที่อยู่แห่งทรัพย์สินนั้นมาคำนึงประกอบ โจทก์จึงมีสิทธิปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือความเดือดร้อนให้สิ้นไป และเรียกเอาค่าทดแทนจากจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 และมาตรา 1337
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2297/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเช่าที่ดินแม้สิทธิเก็บกินสิ้นสุดลง สัญญาเช่ายังมีผลผูกพันเจ้าของที่ดิน
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทได้จดทะเบียนสิทธิเก็บกินที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่ ท. ต่อมา ท.ในฐานะผู้ทรงสิทธิเก็บกินทำสัญญาให้จำเลยเป็นผู้เช่ามีกำหนดเวลา 30 ปี โดยมีการทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาเช่าย่อมมีผลผูกพันโจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท แม้ในระหว่างอายุสัญญาเช่า ท.จะถึงแก่ความตายซึ่งเป็นผลให้สิทธิเก็บกินสิ้นไปตาม ป.พ.พ.มาตรา 1418 วรรคสุดท้าย แต่ก็ไม่กระทบถึงสิทธิของจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอก และหามีผลทำให้สัญญาเช่าดังกล่าวระงับไปไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2297/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเช่าเมื่อผู้ให้เช่าเสียชีวิต: สัญญาเช่ายังมีผลผูกพัน แม้สิทธิเก็บกินสิ้นสุด
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทได้จดทะเบียนสิทธิเก็บกินที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่ ท.ต่อมา ท. ในฐานะผู้ทรงสิทธิเก็บกินทำสัญญาให้จำเลยเป็นผู้เช่ามีกำหนดเวลา 30 ปี โดยมีการทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาเช่าย่อมีผลผูกพันโจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท แม้ในระหว่างอายุสัญญาเช่า ท. จะถึงแก่ความตายซึ่งเป็นผลให้สิทธิเก็บกินสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1418 วรรคสุดท้าย แต่ก็ไม่กระทบถึงสิทธิของจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอก และหามีผลทำให้สัญญาเช่าดังกล่าวระงับไปไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2229/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระค่าธรรมเนียมแทนจำเลยในคดีแพ่ง ผู้ชำระไม่มีสิทธิขอคืนเงิน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้กองมรดกของจำเลยร่วมกันชำระเงิน แก่โจทก์ กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ จำเลย อุทธรณ์และยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นและมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระศาลภายในกำหนด ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1ทิ้งอุทธรณ์ ผู้ร้องในฐานะทายาทโดยธรรมของจำเลยและเป็นผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดกของจำเลยจึงได้ขออนุญาตนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาวางศาลแทนผู้รับมรดกความแทนที่จำเลย ศาลชั้นต้นอนุญาตและได้สั่งรับอุทธรณ์จำเลยแล้วแม้ต่อมาระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ผู้รับมรดกความแทนที่จำเลยขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตและคืนค่าขึ้นศาลให้กึ่งหนึ่งไปแล้วก็ตาม แต่การที่ผู้ร้องนำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นต้นซึ่งจะต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลซึ่งตามคำร้องผู้ร้องระบุชัดว่า ขอวางแทนผู้รับมรดกความแทนที่จำเลย และการวางเงินดังกล่าวเป็นผลให้ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยไปแล้ว เมื่อจำเลยของถอนอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงยังมีผลบังคับอยู่ โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีย่อมมีสิทธิรับเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นต้นซึ่งจำเลยจะต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้และเมื่อผู้ร้องวางเงินจำนวนดังกล่าวแทนผู้รับมรดกความแทนที่จำเลย ย่อมมีผลเท่ากับผู้รับมรดกความแทนที่จำเลยที่ 1เป็นผู้วางเอง ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอรับเงินนั้นคืน แม้ว่าจะเป็นเงินส่วนตัวของผู้ร้องเองก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2069/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินคดีอาญาโดยจำเลยมีทนายความแล้ว การให้การรับสารภาพและไม่ติดใจซักค้านพยาน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ซึ่งคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินกว่าที่รัฐมนตรีกำหนดไว้ในครอบครองเพื่อขาย อันเป็นคดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไปแต่ไม่ถึงประหารชีวิต ในวันเริ่มพิจารณาศาลชั้นต้นได้สอบจำเลยเรื่องทนายความแล้ว จำเลยแถลงว่า จะหาทนายความเอง ศาลชั้นต้นจึงสั่งให้นัดสืบพยานโจทก์ ต่อมาเมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยตั้ง ช.เป็นทนายความ และ ช.ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการตาม ป.วิ.อ.มาตรา 173วรรคสอง แล้ว และเมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ที่เลื่อนไป จำเลยยื่นคำร้องว่าจำเลยขอให้การรับสารภาพและขอให้ศาลลงโทษจำเลยสถานเบา ศาลชั้นต้นสอบจำเลยแล้วยืนยันให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพไปในวันนั้น แม้ในวันดังกล่าวทนายจำเลยจะไม่มาศาลก็ไม่ทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นในวันดังกล่าวเสียไปเพราะจำเลยมีทนายความแล้ว และการที่จำเลยให้การรับสารภาพและขอให้ศาลลงโทษจำเลยสถานเบา โดยไม่ได้ขอให้ศาลเลื่อนคดีไปเพราะทนายความไม่มาศาล แสดงว่าจำเลยไม่ติดใจที่จะให้ทนายความจำเลยซักค้านพยานโจทก์แก้ต่างในการพิจารณาคดีวันดังกล่าวแต่อย่างใด การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2069/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีอาญาเมื่อจำเลยมีทนายความแล้ว การดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่มีทนายความไม่ถือว่าผิด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ซึ่งคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินกว่าที่รัฐมนตรีกำหนดไว้ในครอบครองเพื่อขายอันเป็นคดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไปแต่ไม่ถึงประหารชีวิต ในวันเริ่มพิจารณาศาลชั้นต้นได้สอบจำเลยเรื่องทนายความแล้ว จำเลยแถลงว่า จะหาทนายความเองศาลชั้นต้นจึงสั่งให้นัดสืบพยานโจทก์ ต่อมาเมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยตั้ง ช.เป็นทนายความและช.ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีศาลชั้นต้นอนุญาต จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 173 วรรคสอง แล้ว และเมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ที่เลื่อนไป จำเลยยื่นคำร้องว่าจำเลยขอให้การรับสารภาพและขอให้ศาลลงโทษจำเลยสถานเบา ศาลชั้นต้นสอบจำเลยแล้วยืนยันให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพไปในวันนั้น แม้ในวันดังกล่าวทนายจำเลยจะไม่มาศาลก็ไม่ทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นในวันดังกล่าวเสียไปเพราะจำเลยมีทนายความแล้วและการที่จำเลยให้การรับสารภาพและขอให้ศาลลงโทษจำเลยสถานเบา โดยไม่ได้ขอให้ศาลเลื่อนคดีไปเพราะทนายความไม่มาศาล แสดงว่าจำเลยไม่ติดใจที่จะให้ทนายความจำเลยซักค้าน พยานโจทก์แก้ต่างในการพิจารณาคดีวันดังกล่าวแต่อย่างใดการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1900/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการขายทอดตลาด: เจ้าพนักงานศาลละเลยหน้าที่ส่งสำเนาคำร้องขัดทรัพย์ ทำให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ทราบ
ขณะผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ต่อศาลชั้นต้นในวันที่7 พฤศจิกายน 2539 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลแล้ว โดยกำหนดขายในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2539ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องนำส่งสำเนาคำร้องให้เจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน 7 วัน ต่อมาในวันที่ 12พฤศจิกายน 2539 ผู้ร้องได้เสียค่าธรรมเนียมในการส่งสำเนา คำร้องขัดทรัพย์ให้เจ้าพนักงานศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 70 วรรคท้ายแล้วเมื่อสำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์อยู่ในอาคารเดียวกันกับศาลชั้นต้น เจ้าพนักงานศาลผู้มีหน้าที่นำส่งสำเนาคำร้องขัดทรัพย์ทราบดีอยู่แล้วว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีมีสำนักงานอยู่ ณ ที่ใด ไม่มีความจำเป็นที่ผู้ร้องจะต้องไปร้องขอต่อเจ้าพนักงานศาลเพื่อให้ส่งสำเนาคำร้องขัดทรัพย์ให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(1) อีก การที่ผู้ร้องได้เสียค่าธรรมเนียมในการส่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 70 วรรคท้ายในคดีนี้มีผลเท่ากับผู้ร้องได้ส่งสำเนาคำร้องให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว เมื่อเจ้าพนักงานศาลผู้มีหน้าที่นำส่งไม่ดำเนินการส่งสำเนาคำร้องขัดทรัพย์ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจนเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานบังคับคดี ไม่ทราบว่าศาลได้รับคำร้องดังกล่าวไว้แล้วและได้ดำเนิน การขายทอดตลาดไปตามกำหนดการขายทอดตลาดจึงไม่ชอบผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนการขายทอดตลาดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง