พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,395 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 361/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุมผู้รับประกันภัย: ขาดการระบุความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขับขี่กับผู้เอาประกันภัย ทำให้จำเลยไม่ต้องรับผิด
จำเลยที่ 2 มิได้ให้การต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เคลือบคลุมด้วยจึงไม่ชอบถือว่าเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่าง ต้องห้ามมิให้ฎีกา ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคแรก แต่เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะเป็นผู้รับประกันภัยตาม ป.พ.พ. มาตรา 887 ซึ่งผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดต่อเมื่อเป็นวินาศภัย ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ เมื่อโจทก์ไม่บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าใครเป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัย และนาย ค.ผู้ขับรถยนต์คันนี้มีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของนาย ค. ด้วย คำฟ้องของโจทก์จึงขาดสาระสำคัญอันเป็นประเด็นแห่งคดีที่พึงกระทำให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิด และศาลจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีจำเลยที่ 2 โดยไม่อาศัยคำฟ้องไม่ได้ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ตามมาตรา 887 และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)ประกอบมาตรา 246 และ 247
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุน แต่มิได้บรรยายฟ้องว่า นาย ว. ผู้ขับรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 รับประกันภัยนั้นขับรถยนต์คันดังกล่าวในฐานะใด หรือมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันนั้น อันจะเป็นเหตุให้ผู้เอาประกันภัยจะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของนาย ว. เมื่อโจทก์มิได้บรรยายถึงเหตุที่จะทำให้ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดแล้ว จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนซึ่งจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ต่อเมื่อเป็นวินาศภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ จึงไม่ต้องรับผิดด้วย คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุน แต่มิได้บรรยายฟ้องว่า นาย ว. ผู้ขับรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 รับประกันภัยนั้นขับรถยนต์คันดังกล่าวในฐานะใด หรือมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันนั้น อันจะเป็นเหตุให้ผู้เอาประกันภัยจะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของนาย ว. เมื่อโจทก์มิได้บรรยายถึงเหตุที่จะทำให้ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดแล้ว จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนซึ่งจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ต่อเมื่อเป็นวินาศภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ จึงไม่ต้องรับผิดด้วย คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 361/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดเมื่อผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดตามกฎหมาย
จำเลยที่2มิได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมการที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่2เคลือบคลุมด้วยจึงไม่ชอบถือว่าเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคแรกแต่เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่2รับผิดในฐานะเป็นผู้รับประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา887ซึ่งผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดต่อเมื่อเป็นวินาศภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบเมื่อโจทก์ไม่บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าใครเป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันที่จำเลยที่2เป็นผู้รับประกันภัยและนาย ค.ผู้ขับรถยนต์คันนี้มีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของนาย ค. ด้วยคำฟ้องของโจทก์จึงขาดสาระสำคัญอันเป็นประเด็นแห่งคดีที่พึงกระทำให้จำเลยที่2ต้องรับผิดและศาลจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีจำเลยที่2โดยไม่อาศัยคำฟ้องไม่ได้จำเลยที่2จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามมาตรา887และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)ประกอบมาตรา246และ247 โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่1รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนแต่มิได้บรรยายฟ้องว่านาย ว. ผู้ขับรถยนต์คันที่จำเลยที่1รับประกันภัยนั้นขับรถยนต์คันดังกล่าวในฐานะใดหรือมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันนั้นอันจะเป็นเหตุให้ผู้เอาประกันภัยจะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของนาย ว.เมื่อโจทก์มิได้บรรยายถึงเหตุที่จะทำให้ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดแล้วจำเลยที่1ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนซึ่งจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ต่อเมื่อเป็นวินาศภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบจึงไม่ต้องรับผิดด้วยคำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่1จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 361/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุมของผู้รับประกันภัยค้ำจุน: จำเป็นต้องระบุความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขับ ผู้เอาประกันภัย และผู้รับประกันภัย
เฉพาะจำเลยที่1ที่ให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยจำเลยที่2มิได้ยกเรื่องดังกล่าวขึ้นต่อสู้ด้วยการที่ศาลวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่2เคลือบคลุมด้วยจึงไม่ชอบถือว่าเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างต้องห้ามมิให้ฎีกาแต่เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่2รับผิดในฐานะเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนโดยมิได้บรรยายฟ้องว่าใครเป็นผู้เอาประกันภัยรถคันที่จำเลยที่2เป็นผู้รับประกันภัยและมิได้บรรยายฟ้องว่าผู้ขับรถคันนี้มีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดด้วยฟ้องโจทก์จึงขาดสาระสำคัญที่ทำให้จำเลยที่2ต้องรับผิดและเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ส่วนจำเลยที่1ซึ่งโจทก์ก็ฟ้องให้รับผิดฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนเช่นกันแต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าผู้ขับรถคันดังกล่าวขับรถคันนั้นในฐานะใดหรือมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยรถคันนั้นอันเป็นเหตุให้ผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดด้วยฟ้องโจทก์ย่อมทำให้จำเลยที่1ไม่อาจต่อสู้คดีได้จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 350/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานจากรายงานทางการแพทย์ (สำเนา) ที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรับรอง และการพิสูจน์ตัวผู้ขับขี่ในคดีประกันภัย
รายงานการตรวจรักษาผู้ป่วยที่จำเลยอ้างเป็นพยานต่อศาลแม้เป็นภาพถ่ายสำเนาเอกสารแต่ก็เป็นสำเนาเอกสารที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลของทางราชการส่งต่อศาลตามคำสั่งเรียกของศาลโดยมีหนังสือราชการนำส่งเป็นทางการถือได้ว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาลได้รับรองสำเนาถูกต้องแล้วรับฟังเป็นพยานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา93(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 350/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำเนาเอกสารทางการแพทย์ที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรับรอง ใช้เป็นพยานหลักฐานได้
รายงานการตรวจรักษาผู้ป่วยที่จำเลยอ้างเป็นพยานต่อศาลแม้เป็นภาพถ่ายสำเนาเอกสาร แต่ก็เป็นสำเนาเอกสารที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลของทางราชการส่งต่อศาล ตามคำสั่งเรียกของศาล โดยมีหนังสือราชการนำส่งเป็นทางการ ถือได้ว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาลได้รับรองสำเนาถูกต้องแล้ว รับฟังเป็นพยานได้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 93 (3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นข้อพิพาทจำกัด ประเด็นสัญญาซ่อมรถไม่ถูกยกขึ้นพิจารณา ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษา
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยตกลงกับโจทก์ว่าจะจัดซ่อมรถให้เสร็จภายใน20วันนับแต่วันเกิดเหตุแต่จำเลยซ่อมไม่เสร็จโจทก์จึงบอกเลิกสัญญาการซ่อมและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำเลยให้การต่อสู้ว่าได้ทำการซ่อมรถยนต์ให้เป็นที่เรียบร้อยใช้การได้ดีเหมือนเดิมเป็นการปฎิบัติตามเงื่อนไขในสัญญากรมธรรม์ประกันภัยครบถ้วนไม่ได้ผิดสัญญาซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้เฉพาะว่าจำเลยได้ปฎิบัติผิดเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยโดยไม่จัดซ่อมรถคันพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่เท่ากันมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยผิดสัญญาไม่ซ่อมรถให้เสร็จภายใน20วันนับแต่วันเกิดเหตุตามที่ตกลงกับโจทก์ไว้ด้วยคำสั่งของศาลชั้นต้นในการชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาโจทก์มิได้โต้แย้งไว้ประเด็นข้อพิพาทจึงยุติตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดโจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา226เมื่อไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถกับโจทก์หรือไม่จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายในส่วนที่เกี่ยวกับค่ารถแท็กซี่ที่โจทก์ฟ้องเรียกโดยอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถ โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาประกันภัยมิใช่เป็นการฟ้องในมูลละเมิดโจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยนับแต่วันเกิดเหตุเมื่อจำเลยผิดสัญญาประกันภัยและเป็นกรณีที่เวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้แม้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา203วรรคหนึ่งโจทก์จะมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ได้โดยพลันก็ตามแต่เมื่อไม่ปรากฎว่าโจทก์ได้ซ่อมรถและเรียกให้จำเลยชำระหนี้เมื่อใดศาลก็ชอบที่จะกำหนดให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องได้ โจทก์เรียกค่าเสียหายในส่วนที่จำเลยซ่อมรถล่าช้าทำให้ราคารถยนต์ต่ำลงเนื่องจากรัฐบาลประกาศลดการเก็บภาษีรถยนต์นั้นเป็นการอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถไม่เสร็จภายในกำหนดเมื่อไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถกับโจทก์หรือไม่จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายในส่วนนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นข้อพิพาทจำกัด ผลกระทบต่อการเรียกร้องค่าเสียหาย และดอกเบี้ยจากสัญญาประกันภัย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยตกลงกับโจทก์ว่า จะจัดซ่อมรถให้เสร็จภายใน 20 วัน นับแต่วันเกิดเหตุ แต่จำเลยซ่อมไม่เสร็จ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาการซ่อม และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การต่อสู้ว่าได้ทำการซ่อมรถยนต์ให้เป็นที่เรียบร้อยใช้การได้ดีเหมือนเดิม เป็นการปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญากรมธรรม์ประกันภัยครบถ้วน ไม่ได้ผิดสัญญา ซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้เฉพาะว่า จำเลยได้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย โดยไม่จัดซ่อมรถคันพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่เท่านั้น มิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยผิดสัญญาไม่ซ่อมรถให้เสร็จภายใน 20 วัน นับแต่วันเกิดเหตุตามที่ตกลงกับโจทก์ไว้ด้วยคำสั่งของศาลชั้นต้นในการชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์มิได้โต้แย้งไว้ ประเด็นข้อพิพาทจึงยุติตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 เมื่อไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยผิดสัญญาซ่อมรถกับโจทก์หรือไม่จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายในส่วนที่เกี่ยวกับค่ารถแท็กซี่ที่โจทก์ฟ้องเรียกโดยอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถ
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาประกันภัย มิใช่เป็นการฟ้องในมูลละเมิด โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยนับแต่วันเกิดเหตุ เมื่อจำเลยผิดสัญญาประกันภัย และเป็นกรณีที่เวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ แม้ตามป.พ.พ. มาตรา 203 วรรคหนึ่ง โจทก์จะมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ได้โดยพลันก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ซ่อมรถและเรียกให้จำเลยชำระหนี้เมื่อใดศาลก็ชอบที่จะกำหนดให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องได้
โจทก์เรียกค่าเสียหายในส่วนที่จำเลยซ่อมรถล่าช้า ทำให้ราคารถยนต์ต่ำลงเนื่องจากรัฐบาลประกาศลดการเก็บภาษีรถยนต์นั้น เป็นการอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถไม่เสร็จภายในกำหนด เมื่อไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถกับโจทก์หรือไม่ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายในส่วนนี้
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาประกันภัย มิใช่เป็นการฟ้องในมูลละเมิด โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยนับแต่วันเกิดเหตุ เมื่อจำเลยผิดสัญญาประกันภัย และเป็นกรณีที่เวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ แม้ตามป.พ.พ. มาตรา 203 วรรคหนึ่ง โจทก์จะมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ได้โดยพลันก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ซ่อมรถและเรียกให้จำเลยชำระหนี้เมื่อใดศาลก็ชอบที่จะกำหนดให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องได้
โจทก์เรียกค่าเสียหายในส่วนที่จำเลยซ่อมรถล่าช้า ทำให้ราคารถยนต์ต่ำลงเนื่องจากรัฐบาลประกาศลดการเก็บภาษีรถยนต์นั้น เป็นการอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถไม่เสร็จภายในกำหนด เมื่อไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถกับโจทก์หรือไม่ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายในส่วนนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 330/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งเอกสารตามหมายเรียกศาล: พยานหลักฐานไม่เพียงพอฟังว่าจำเลยร่วมกันปลอมแปลงเอกสาร
โจทก์ไม่มีพยานว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมเอกสารตามที่โจทก์ขอให้ศาลหมายเรียกอย่างไรโดยเมื่อได้รับหมายเรียกจำเลยทั้งสองได้ให้เจ้าหน้าที่ค้นหาเอกสารดังกล่าวและเมื่อตรวจแล้วเห็นว่าตรงตามหมายเรียกจึงลงลายมือชื่อรับรองสำเนาเอกสารที่ถ่ายจากเอกสารดังกล่าวแล้วส่งศาลโดยปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการพยานโจทก์จึงไม่พอฟังลงโทษจำเลยทั้งสองได้แม้เอกสารซึ่งเป็นต้นฉบับจะถูกปลอมแปลงก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 324/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาความผิดฐานร่วมกันมีและจำหน่ายยาเสพติด โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานและคำเบิกความของพยาน
พยานโจทก์ไม่เคยรู้จักจำเลยที่2และที่4มาก่อนไม่มีเหตุที่จะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยที่2และที่4อีกทั้งการที่จำเลยที่2เบิกความรับว่าเป็นชายที่อยู่ในภาพถ่ายซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจได้บันทึกภาพไว้ขณะดูเงินที่ใช้ซื้อเฮโรอีนกันและจำเลยที่4ก็เบิกความรับว่าถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับบริเวณที่เกิดเหตุเจือสมกับพยานโจทก์พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือว่าจำเลยที่2และที่4ได้ร่วมกับพวกมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 309/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อยกเว้นกรมธรรม์ประกันภัย: การใช้รถลากจูงและความรับผิดของผู้รับประกัน
ตามกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยไม่ประสงค์จะคุ้มครองถึงกรณีที่มีการใช้รถยนต์คันที่เอาประกันภัยไปลากจูงหรือผลักดันอันทำให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้นเมื่อโจทก์ผู้เอาประกันใช้รถยนต์คันที่เอาประกันภัยกับจำเลยลากจูงรถคันอื่นและเกิดเหตุคดีนี้ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุโดยตรงจากการลากจูงหรือไม่ ก็ไม่อยู่ในขอบเขตแห่งความคุ้มครอง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัย แต่ตามกรมธรรม์ประกันภัยท้ายฟ้องปรากฏเงื่อนไขข้อยกเว้นความรับผิดของจำเลย โดยโจทก์ไม่ได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยได้สละเงื่อนไขดังกล่าวแต่อย่างใด จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดเพราะโจทก์กระทำผิดเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์กระทำผิดเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยหรือไม่เท่านั้นไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยได้สละเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยแล้วหรือไม่แม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหานี้มาก็เป็นการวินิจฉัยที่มิชอบ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา249 วรรคแรก
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัย แต่ตามกรมธรรม์ประกันภัยท้ายฟ้องปรากฏเงื่อนไขข้อยกเว้นความรับผิดของจำเลย โดยโจทก์ไม่ได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยได้สละเงื่อนไขดังกล่าวแต่อย่างใด จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดเพราะโจทก์กระทำผิดเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์กระทำผิดเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยหรือไม่เท่านั้นไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยได้สละเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยแล้วหรือไม่แม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหานี้มาก็เป็นการวินิจฉัยที่มิชอบ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา249 วรรคแรก