คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สถิตย์ ไพเราะ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,395 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 309/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อยกเว้นความรับผิดประกันภัย: การลากจูงรถที่ไม่ได้ประกันภัย ทำให้ไม่อยู่ในขอบเขตความคุ้มครอง
ข้อยกเว้นความรับผิดของจำเลยผู้รับประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ระบุว่าการประกันภัยไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจากการใช้รถลากจูงหรือผลักดันเว้นแต่รถที่ถูกลากจูงหรือผลักดันได้ประกันภัยไว้กับจำเลยด้วยนั้นเมื่อโจทก์ผู้เอาประกันภัยได้กระทำผิดเงื่อนไขก็ไม่อยู่ในขอบเขตแห่งความคุ้มครองจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ไม่ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นผลโดยตรงมาจากการกระทำผิดเงื่อนไขหรือไม่ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยโดยไม่ได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยได้สละเงื่อนไขตามข้อยกเว้นความรับผิดจำเลยให้การว่าไม่ต้องรับผิดเพราะโจทก์กระทำผิดเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยจึงมี ประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์กระทำผิดเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยหรือไม่เท่านั้นไม่มีประเด็นว่าจำเลยได้สละเงื่อนไขแล้วหรือไม่แม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ก็มิชอบฎีกาของโจทก์ในข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 298/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับตามคำวินิจฉัย คชก.ตำบล: ศาลมีอำนาจตรวจสอบและแก้ไขราคาซื้อขายที่ดินตาม พ.ร.บ.เช่าที่ดินฯ
ตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524มาตรา 9(1) เพียงแต่กำหนดว่า ในการพิจารณาเรื่องอันเกี่ยวกับการเช่าในเขตหมู่บ้านใด ให้ผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านนั้นเป็นกรรมการด้วยเท่านั้น ฉะนั้นหากการประชุมมีกรรมการประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง การประชุมก็ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คำวินิจฉัยของคชก.ตำบลที่ให้โจทก์ซื้อที่นาพิพาทจากจำเลยในราคาที่ ล.ขายให้ ส.ไม่ต้องด้วย พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง เพราะโจทก์มีสิทธิซื้อที่นาพิพาทจากจำเลยในราคาที่จำเลยซื้อไว้จาก ส.หรือตามราคาตลาดในขณะที่มีการซื้อขายกัน
แม้ พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2525จะบัญญัติในมาตรา 56 วรรคสอง ว่า คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลที่มิได้อุทธรณ์ตามมาตรา 56 วรรคหนึ่งให้เป็นที่สุด และในมาตรา 58 วรรคหนึ่ง ว่า ในกรณีมีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยดังกล่าว เมื่อผู้มีส่วนได้เสียร้องขอต่อศาลในการพิจารณาของศาลให้ถือว่า คำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นคำชี้ขาดของอนุญาโต-ตุลาการโดยให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโต-ตุลาการใน ป.วิ.พ.มาใช้บังคับแก่การพิจารณาพิพากษาตามคำวินิจฉัยดังกล่าวในกรณีนี้โดยอนุโลม ซึ่งการพิจารณาพิพากษาดังกล่าวนี้ ป.วิ.พ.มาตรา 221บัญญัติให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการ คือ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการพ.ศ.2530 โดยมีบทบัญญัติในมาตรา 24 วรรคหนึ่งว่า "ในกรณีที่ศาลเห็นว่าคำชี้ขาดใดไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ใช้บังคับแก่ข้อพิพาทนั้น หรือเป็นคำชี้ขาดที่เกิดจากการกระทำหรือวิธีการอันมิชอบอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมิได้อยู่ในขอบเขตแห่งสัญญาอนุญาโตตุลาการที่มีผลผูกพันตามกฎหมายหรือคำขอของคู่กรณีให้ศาลมีอำนาจทำคำสั่งปฏิเสธไม่รับบังคับตามคำชี้ขาดนั้น" และในมาตรา 24วรรคสอง ว่า "ในกรณีที่คำชี้ขาดใดมีความบกพร่องอันมิใช่สาระสำคัญและอาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ เช่น การคำนวณตัวเลขหรือการกล่าวอ้างถึงบุคคลหรือทรัพย์สิ่งใดผิดพลาดไป ศาลอาจแก้ไขให้ถูกต้องและมีคำพิพากษาให้บังคับตามคำชี้ขาดที่ได้แก้ไขแล้วนั้นได้" แต่ก็เห็นได้ว่า การนำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการดังกล่าวมาใช้บังคับแก่การพิจารณาพิพากษาบังคับตามคำวินิจฉัยที่ถึงที่สุดของ คชก.ตำบล จะต้องนำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับเพียงเท่าที่ไม่ขัดต่อสภาพความชอบด้วยกฎหมายของคำวินิจฉัยที่ถึงที่สุดของคชก.ตำบล โดยเฉพาะในข้อที่ว่า ราคาที่ คชก.ตำบลวินิจฉัยให้ผู้รับโอนขายนาให้แก่ผู้เช่านาเป็นราคาตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524มาตรา 54 วรรคหนึ่งหรือไม่ มิใช่ข้อที่เป็นดุลพินิจเด็ดขาดของ คชก.ตำบลในการพิจารณาว่าจะบังคับตามคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลหรือไม่ ศาลต้องพิจารณาว่า ราคาที่ คชก.ตำบลวินิจฉัยเป็นราคาตามบทบัญญัติดังกล่าวหรือไม่ถ้ามิใช่ ศาลย่อมพิจารณาจากพยานหลักฐานและกำหนดราคาให้ถูกต้องแล้วพิพากษาให้บังคับให้ขายตามราคาที่กำหนดไปได้ แม้การพิพากษาดังกล่าวจะเป็นการแก้ไขคำวินิจฉัยที่ถึงที่สุดของ คชก.ตำบล ซึ่งมิใช่เป็นการแก้ไขตามมาตรา24 วรรคสอง ของ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2530 ก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 298/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิของผู้เช่าที่ดินทำนาในการซื้อที่ดินจากเจ้าของ หลังมีคำวินิจฉัย คชก. และการประชุม คชก. ที่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยให้การและยื่นคำแก้อุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เช่านาไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยแม้ศาลอุทธรณ์จะมิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจำเลยก็มีสิทธิฎีกาได้ ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯมาตรา9(1)เพียงแต่กำหนดว่าในการพิจารณาเรื่องอันเกี่ยวกับการเช่าในเขตหมู่บ้านใดให้ผู้ใหญ่บ้านแห่งเขตหมู่บ้านนั้นเป็นกรรมการด้วยเท่านั้นหากการประชุมมีกรรมการประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดตามมาตรา18วรรคหนึ่งการประชุมก็ชอบกฎหมายแล้วแม้ผู้ใหญ่บ้านจะมิได้เข้าประชุมก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 298/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิซื้อคืนที่ดินเช่าตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ราคาซื้อขายต้องเป็นไปตามราคาตลาด
ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา9(1)เพียงแต่กำหนดว่าในการพิจารณาเรื่องอันเกี่ยวกับการเช่าในเขตหมู่บ้านใดให้ผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านนั้นเป็นกรรมการด้วยเท่านั้นฉะนั้นหากการประชุมมีกรรมการประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดตามมาตรา18วรรคหนึ่งการประชุมก็ชอบด้วยกฎหมายแล้ว คำวินิจฉัยของคชก.ตำบลที่ให้โจทก์ซื้อที่นาพิพาทจากจำเลยในราคาที่ล.ขายให้ส.ไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา54วรรคหนึ่งเพราะโจทก์มีสิทธิซื้อที่นาพิพาทจากจำเลยในราคาที่จำเลยซื้อไว้จากส.หรือตามราคาตลาดในขณะที่มีการซื้อขายกัน แม้พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2525จะบัญญัติในมาตรา56วรรคสองว่าคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลที่มิได้อุทธรณ์ตามมาตรา56วรรคหนึ่งให้เป็นที่สุดและในมาตรา58วรรคหนึ่งว่าในกรณีมีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยดังกล่าวเมื่อผู้มีส่วนได้เสียร้องขอต่อศาลในการพิจารณาของศาลให้ถือว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการโดยให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับแก่การพิจารณาพิพากษาตามคำวินิจฉัยดังกล่าวในกรณีนี้โดยอนุโลมซึ่งการพิจารณาพิพากษาดังกล่าวนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา221บัญญัติให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการคือพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการพ.ศ.2530โดยมีบทบัญญัติในมาตรา24วรรคหนึ่งว่า"ในกรณีที่ศาลเห็นว่าคำชี้ขาดใดไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ใช้บังคับข้อพิพาทนั้นหรือเป็นคำชี้ขาดที่เกิดจากการกระทำหรือวิธีการอันมิชอบอย่างใดอย่างหนึ่งหรือมิได้อยู่ในขอบเขตแห่งสัญญาอนุญาโตตุลาการที่มีผลผูกพันตามกฎหมายหรือคำขอของคู่กรณีให้ศาลมีอำนาจทำคำสั่งปฏิเสธไม่รับบังคับตามคำชี้ขาดนั้น"และในมาตรา24วรรคสองว่า"ในกรณีที่คำชี้ขาดมีความบกพร่องอันมิใช่สาระสำคัญและอาจแก้ไขให้ถูกต้องได้เช่นการคำนวณตัวเลขหรือการกล่าวอ้างถึงบุคคลหรือทรัพย์สิ่งใดผิดพลาดไปศาลอาจแก้ไขให้ถูกต้องและมีคำพิพากษาให้บังคับตามคำชี้ขาดที่ได้แก้ไขแล้วนั้นได้"แต่ก็เห็นได้ว่าการนำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการดังกล่าวมาใช้บังคับแก่การพิจารณาพิพากษาบังคับตามคำวินิจฉัยที่ถึงที่สุดของคชก.ตำบลจะต้องนำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับเพียงเท่าที่ไม่ขัดต่อสภาพความชอบด้วยกฎหมายของคำวินิจฉัยที่ถึงที่สุดของคชก.ตำบลโดยเฉพาะในข้อที่ว่าราคาที่คชก.ตำบลวินิจฉัยให้ผู้รับโอนขายนาให้แก่ผู้เช่านาเป็นราคาตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา54วรรคหนึ่งหรือไม่มิใช่ข้อที่เป็นดุลพินิจเด็ดขาดของคชก.ตำบลในการพิจารณาว่าจะบังคับตามคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลหรือไม่ศาลต้องพิจารณาว่าราคาที่คชก.ตำบลวินิจฉัยเป็นราคาตามบทบัญญัติดังกล่าวหรือไม่ถ้ามิใช่ศาลย่อมพิจารณาจากพยานหลักฐานและกำหนดราคาให้ถูกต้องแล้วพิพากษาให้บังคับให้ขายตามราคาที่กำหนดไปได้แม้การพิพากษาดังกล่าวจะเป็นการแก้ไขคำวินิจฉัยที่ถึงที่สุดของคชก.ตำบลซึ่งมิใช่เป็นการแก้ไขตามมาตรา24วรรคสองของพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการพ.ศ.2530ก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 295/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบิกความเท็จ: เจตนาครอบครองปรปักษ์ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
ในคดีก่อนประเด็นที่สำคัญของคดีก็คือ โจทก์ในคดีดังกล่าวได้ครอบครองที่พิพาทไว้โดยสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีหรือไม่ จำเลยเบิกความแต่เพียงว่า ผ.ยกที่พิพาทให้โจทก์ในคดีดังกล่าวแต่ผู้เดียว จึงเป็นข้อเท็จจริงในส่วนปลีกย่อย ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จตาม ป.อ. มาตรา 177

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 295/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบิกความเท็จเกี่ยวกับข้อเท็จจริงปลีกย่อย ไม่ถึงขั้นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177
ในคดีก่อนประเด็นที่สำคัญของคดีก็คือโจทก์ในคดีดังกล่าวได้ครอบครองที่พิพาทไว้โดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของที่ติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีหรือไม่จำเลยเบิกความแต่เพียงว่าผ.ยกที่พิพาทให้โจทก์ในคดีดังกล่าวแต่ผู้เดียวจึงเป็นข้อเท็จจริงในส่วนปลีกย่อยไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา177

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 241/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อต่อสู้ที่ไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกา
จำเลยที่5ได้ให้การต่อสู้คดีว่าการที่โจทก์นำเงินไปไถ่ถอนที่ดินที่จำนองไว้ไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ได้ชำระเงินให้แก่บริษัท จ. ในฐานะผู้ค้ำประกันตามที่ได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์นำเอาสัญญาประนีประนอมยอมความมาวินิจฉัยเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่5ไม่ถูกต้องนั้นแต่ศาลชั้นต้นไม่ได้ยกข้อต่อสู้ของจำเลยที่5ขึ้นวินิจฉัยและจำเลยที่5อุทธรณ์แต่เพียงว่าโจทก์ได้ชำระเงินให้บริษัท จ.เพื่อไถ่ถอนจำนองที่ดินมิใช่ชำระหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันจำเลยที่5ไม่ต้องร่วมรับผิดเพราะจำเลยที่5ไม่ได้เป็นผู้รับเรือนโจทก์ในการที่โจทก์ได้นำที่ดินไปจำนองเป็นประกันการกู้เงินจำเลยที่5มิได้อุทธรณ์โต้เถียงว่าการที่ศาลชั้นต้นไม่ยกข้อต่อสู้ของจำเลยที่5ขึ้นวินิจฉัยไม่ถูกต้องอย่างไรไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งอย่างไรจึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้งและเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225วรรคหนึ่งจำเลยที่5จึงไม่มีสิทธิฎีกาเพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามมาตรา249วรรคหนึ่ง จำเลยที่1กู้เงินจากบริษัท จ. ไป2,000,000บาทโจทก์ขอกู้จากจำเลยที่1จำนวน300,000บาทเงินที่โจทก์กู้ไปเป็นนิติสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่1กับโจทก์ไม่เกี่ยวกับจำเลยที่1กู้เงินจากบริษัท จ. ซึ่งจำเลยที่3ถึงที่6จะต้องร่วมรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความแต่อย่างใดจำเลยที่3ถึงที่6จะขอให้นำเงินจำนวน300,000บาทดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยไปหักออกจากเงินที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยที่3ถึงที่6รับผิดต่อโจทก์หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 241/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์/ฎีกาไม่ชัดแจ้ง-ข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันในศาลล่าง-สิทธิฎีกา-สัญญาประนีประนอมยอมความ
จำเลยที่ 5 ได้ให้การต่อสู้คดีว่า การที่โจทก์นำเงินไปไถ่ถอนที่ดินที่จำนองไว้ ไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ได้ชำระเงินให้แก่บริษัท จ. ในฐานะผู้ค้ำประกันตามที่ได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์นำเอาสัญญาประนีประนอมยอมความมาวินิจฉัยเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 5 ไม่ถูกต้องนั้น แต่ศาลชั้นต้นไม่ได้ยกข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 5 ขึ้นวินิจฉัย และจำเลยที่ 5 อุทธรณ์แต่เพียงว่า โจทก์ได้ชำระเงินให้บริษัท จ.เพื่อไถ่ถอนจำนองที่ดิน มิใช่ชำระหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ 5 ไม่ต้องร่วมรับผิด เพราะจำเลยที่ 5 ไม่ได้เป็นผู้รับเรือนโจทก์ในการที่โจทก์ได้นำที่ดินไปจำนองเป็นประกันการกู้เงิน จำเลยที่ 5มิได้อุทธรณ์โต้เถียงว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่ยกข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 5 ขึ้นวินิจฉัยไม่ถูกต้องอย่างไร ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งอย่างไร จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้งและเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 225 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 5 จึงไม่มีสิทธิฎีกาเพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามมาตรา249 วรรคหนึ่ง
จำเลยที่ 1 กู้เงินจากบริษัท จ. ไป 2,000,000 บาทโจทก์ขอกู้จากจำเลยที่ 1 จำนวน 300,000 บาท เงินที่โจทก์กู้ไปเป็นนิติสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ ไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 กู้เงินจากบริษัท จ. ซึ่งจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 จะต้องร่วมรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความแต่อย่างใด จำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 จะขอให้นำเงินจำนวน 300,000 บาท ดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยไปหักออกจากเงินที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 รับผิดต่อโจทก์หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ โมฆะภาพนิติกรรม, การบังคับตามสัญญา, การคิดดอกเบี้ย, และผลของการยอมรับสัญญา
ปัญหาที่ว่านิติกรรมเป็นโมฆะหรือไม่จำเลยที่4ได้ยกต่อสู้ไว้ในคำให้การแม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้ยกขึ้นวินิจฉัยจำเลยที่4ก็ยกขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคสองเพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน บันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยที่4ระบุว่า"จำเลยที่4ยินยอมคืนเงินดาวน์จำนวน3,500,000บาทให้แก่โจทก์พร้อมกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15ต่อปีนับแต่วันที่9พฤศจิกายน2533เป็นต้นไปข้อความในบันทึกข้อตกลงดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยถือได้ว่าเป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งมีลักษณะเห็นการกำหนดเบี้ยปรับเมื่อโจทก์เรียกมาสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจกำหนดให้ลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ เมื่อจำเลยที่4ให้การรับว่าจำเลยที่5ตกลงทำบันทึกกับโจทก์จริงโจทก์จึงไม่ต้องอ้างบันทึกข้อตกลงเป็นพยานหลักฐานอีกเพราะเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยที่4ยอมรับแล้วดังนั้นแม้บันทึกข้อตกลงจะปิดอากรแสตมป์ไม่ถูกต้องก็รับฟังได้ว่าบันทึกข้อตกลงผูกพันจำเลยที่4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาเรื่องการอ้างโมฆะนิติกรรม, ดอกเบี้ยในสัญญา, และผลผูกพันสัญญาแม้ปิดอากรแสตมป์ไม่ถูกต้อง
ปัญหาที่ว่า นิติกรรมเป็นโมฆะหรือไม่ จำเลยที่ 4 ได้ยกต่อสู้ไว้ในคำให้การ แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้ยกขึ้นวินิจฉัย จำเลยที่ 4 ก็ยกขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
บันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 4 ระบุว่า "จำเลยที่ 4 ยินยอมคืนเงินดาวน์ จำนวน 3,500,000 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2533 เป็นต้นไป ข้อความในบันทึกข้อตกลงดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ถือได้ว่าเป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่ง มีลักษณะเห็นการกำหนดเบี้ยปรับ เมื่อโจทก์เรียกมาสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจกำหนดให้ลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้
เมื่อจำเลยที่ 4 ให้การรับว่า จำเลยที่ 5 ตกลงทำบันทึกกับโจทก์จริง โจทก์จึงไม่ต้องอ้างบันทึกข้อตกลงเป็นพยานหลักฐานอีก เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 4 ยอมรับแล้ว ดังนั้น แม้บันทึกข้อตกลงจะปิดอากรแสตมป์ไม่ถูกต้อง ก็รับฟังได้ว่าบันทึกข้อตกลงผูกพันจำเลยที่ 4
of 140