พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,395 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6896/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดร่วมจากอุบัติเหตุรถแข่ง: ลูกหนี้ร่วม, ประนีประนอม, ค่าเสียหาย
การที่รถยนต์โดยสารทั้งสองคันวิ่งแข่งกันมาและต่างชนโจทก์นั้นแม้จะเป็นกรณีต่างคนต่างประมาทเลินเล่อก็ตาม แต่ความประมาทเลินเล่อของคนขับรถทั้งสองไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นต่อโจทก์ คนขับรถทั้งสองจึงต้องร่วมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม โดยคนขับรถทั้งสองหรือคนใดคนหนึ่งต้องรับผิดต่อโจทก์เต็มจำนวน
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารทั้งสองคันที่ก่อเหตุร่วมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งมีผลประโยชน์ร่วมกันในรถยนต์โดยสารทั้งสองคันดังกล่าวต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ในฐานะลูกหนี้ร่วมในจำนวนค่าเสียหายเป็นเงิน 730,000 บาท แต่เนื่องจากโจทก์ จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3ได้ตกลงประนีประนอมยอมความกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยโจทก์ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นเงิน 60,000 บาทส่วนค่าเสียหายที่เหลือโจทก์ยังติดใจเรียกร้องจากจำเลยอื่นอีก สิทธิของโจทก์ที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงมีเพียง 60,000 บาทคงเหลือส่วนที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์จำนวนเงิน 670,000 บาท
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารทั้งสองคันที่ก่อเหตุร่วมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งมีผลประโยชน์ร่วมกันในรถยนต์โดยสารทั้งสองคันดังกล่าวต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ในฐานะลูกหนี้ร่วมในจำนวนค่าเสียหายเป็นเงิน 730,000 บาท แต่เนื่องจากโจทก์ จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3ได้ตกลงประนีประนอมยอมความกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยโจทก์ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นเงิน 60,000 บาทส่วนค่าเสียหายที่เหลือโจทก์ยังติดใจเรียกร้องจากจำเลยอื่นอีก สิทธิของโจทก์ที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงมีเพียง 60,000 บาทคงเหลือส่วนที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์จำนวนเงิน 670,000 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6880/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมโนสาเร่: การยื่นบัญชีระบุพยานนอกกำหนดเวลา หากไม่เป็นการจงใจละเลย และไม่ทำให้การต่อสู้คดีเสียหาย ศาลมีอำนาจอนุญาตได้
แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 195 จะบัญญัติให้นำบททั่วไปแห่งประมวลกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่การชี้ขาดตัดสินคดีมโนสาเร่ด้วยก็ตาม แต่การจะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 เรื่องกำหนดเวลายื่นบัญชีระบุพยานมาใช้บังคับแก่คดีมโนสาเร่ ก็ต้องนำมาใช้ให้เหมาะสมแก่สภาพของการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีมโนสาเร่แต่ละคดีด้วย วิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่มีบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 193 ที่ให้สิทธิจำเลยยื่นคำให้การในวันที่มาศาลตามหมายเรียกของศาลหรือในวันอื่นต่อมาตามแต่ศาลจะเห็นสมควรก็ได้ โดยต้องมิให้เป็นการเสียหายแก่การต่อสู้คดีของจำเลย เมื่อคดีนี้ตามหมายเรียกของศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยมาศาลเพื่อให้การแก้ข้อหาในวันที่ 31 พฤษภาคม 2536 และนัดสืบพยานในวันดังกล่าวด้วย จำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำให้การและยื่นบัญชีระบุพยานในวันนัดสืบพยานได้ แต่จำเลยยื่นคำให้การวันที่ 28 พฤษภาคม 2536 แม้จำเลยจะยื่นบัญชีระบุพยานมาในวันดังกล่าวด้วยก็มิอาจเป็นการยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนดเวลาที่มาตรา 88 วรรคสอง กำหนดไว้ได้ เนื่องจากศาลชั้นต้นได้ทำการสืบพยานโจทก์ไปในวันที่ 31 พฤษภาคม 2536 นั้นเอง และเมื่อศาลชั้นต้นเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ต่อในวันที่ 2 กรกฎาคม 2536จำเลยก็ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งรับบัญชีระบุพยานจำเลยไว้ แต่เมื่อศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งที่สั่งรับบัญชีระบุพยานจำเลยและมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับ จำเลยก็ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลจึงเป็นกรณีที่เห็นได้ชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ได้จงใจฝ่าฝืนไม่ยื่นบัญชีระบุพยานตามเวลาที่กฎหมายกำหนด เพื่อมิให้เป็นการเสียหายแก่การต่อสู้คดีของจำเลยและเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม ศาลควรอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานและรับบัญชีระบุพยานของจำเลยไว้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 88 วรรคสี่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6880/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดเวลาการยื่นบัญชีระบุพยานในคดีมโนสาเร่ ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของกระบวนพิจารณาและมิให้เกิดความเสียหายต่อการต่อสู้คดี
แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 195 จะบัญญัติให้นำบททั่วไปแห่งประมวลกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่การชี้ขาดตัดสินคดีมโนสาเร่ด้วยก็ตาม แต่การจะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88เรื่องกำหนดเวลายื่นบัญชีระบุพยานมาใช้บังคับแก่คดีมโนสาเร่ ก็ต้องนำมาใช้ให้เหมาะสมแก่สภาพของการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีมโนสาเร่แต่ละคดีด้วย
วิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่มีบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 193 ที่ให้สิทธิจำเลยยื่นคำให้การในวันที่มาศาลตามหมายเรียกของศาลหรือในวันอื่นต่อมาตามแต่ศาลจะเห็นสมควรก็ได้ โดยต้องมิให้เป็นการเสียหายแก่การต่อสู้คดีของจำเลย เมื่อคดีนี้ตามหมายเรียกของศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยมาศาลเพื่อให้การแก้ข้อหาในวันที่ 31 พฤษภาคม 2536 และนัดสืบพยานในวันดังกล่าวด้วย จำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำให้การและยื่นบัญชีระบุพยานในวันนัดสืบพยานได้แต่จำเลยยื่นคำให้การวันที่ 28 พฤษภาคม 2536 แม้จำเลยจะยื่นบัญชีระบุพยานมาในวันดังกล่าวด้วยก็มิอาจเป็นการยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนดเวลา ที่มาตรา 88วรรคสอง กำหนดไว้ได้ เนื่องจากศาลชั้นต้นได้ทำการสืบพยานโจทก์ไปในวันที่ 31พฤษภาคม 2536 นั้นเอง และเมื่อศาลชั้นต้นเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ต่อในวันที่ 2กรกฎาคม 2536 จำเลยก็ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งรับบัญชีระบุพยานจำเลยไว้ แต่เมื่อศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งที่สั่งรับบัญชีระบุพยานจำเลยและมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับ จำเลยก็ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาล จึงเป็นกรณีที่เห็นได้ชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ได้จงใจฝ่าฝืนไม่ยื่นบัญชีระบุพยานตามเวลาที่กฎหมายกำหนด เพื่อมิให้เป็นการเสียหายแก่การต่อสู้คดีของจำเลยและเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม ศาลควรอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานและรับบัญชีระบุพยานของจำเลยไว้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสี่
วิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่มีบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 193 ที่ให้สิทธิจำเลยยื่นคำให้การในวันที่มาศาลตามหมายเรียกของศาลหรือในวันอื่นต่อมาตามแต่ศาลจะเห็นสมควรก็ได้ โดยต้องมิให้เป็นการเสียหายแก่การต่อสู้คดีของจำเลย เมื่อคดีนี้ตามหมายเรียกของศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยมาศาลเพื่อให้การแก้ข้อหาในวันที่ 31 พฤษภาคม 2536 และนัดสืบพยานในวันดังกล่าวด้วย จำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำให้การและยื่นบัญชีระบุพยานในวันนัดสืบพยานได้แต่จำเลยยื่นคำให้การวันที่ 28 พฤษภาคม 2536 แม้จำเลยจะยื่นบัญชีระบุพยานมาในวันดังกล่าวด้วยก็มิอาจเป็นการยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนดเวลา ที่มาตรา 88วรรคสอง กำหนดไว้ได้ เนื่องจากศาลชั้นต้นได้ทำการสืบพยานโจทก์ไปในวันที่ 31พฤษภาคม 2536 นั้นเอง และเมื่อศาลชั้นต้นเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ต่อในวันที่ 2กรกฎาคม 2536 จำเลยก็ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งรับบัญชีระบุพยานจำเลยไว้ แต่เมื่อศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งที่สั่งรับบัญชีระบุพยานจำเลยและมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับ จำเลยก็ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาล จึงเป็นกรณีที่เห็นได้ชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ได้จงใจฝ่าฝืนไม่ยื่นบัญชีระบุพยานตามเวลาที่กฎหมายกำหนด เพื่อมิให้เป็นการเสียหายแก่การต่อสู้คดีของจำเลยและเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม ศาลควรอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานและรับบัญชีระบุพยานของจำเลยไว้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสี่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6880/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมโนสาเร่: การยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนดเวลา ต้องพิจารณาความเหมาะสมกับลักษณะการพิจารณาคดี
แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา195จะบัญญัติให้นำบททั่วไปแห่งประมวลกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่การชี้ขาดตัดสินคดีมโนสาเร่ด้วยก็ตามแต่การจะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา88เรื่องกำหนดเวลายื่นบัญชีระบุพยานมาใช้บังคับแก่คดีมโนสาเร่ก็ต้องนำมาใช้ให้เหมาะสมแก่สภาพของการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีมโนสาเร่แต่ละคดีด้วย วิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่มีบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา193ที่ให้สิทธิจำเลยยื่นคำให้การในวันที่มาศาลตามหมายเรียกของศาลหรือในวันอื่นต่อมาตามแต่ศาลจะเห็นสมควรก็ได้โดยต้องมิให้เป็นการเสียหายแก่การต่อสู้คดีของจำเลยเมื่อคดีนี้ตามหมายเรียกของศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยมาศาลเพื่อให้การแก้ข้อหาในวันที่31พฤษภาคม2536และนัดสืบพยานในวันดังกล่าวด้วยจำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำให้การและยื่นบัญชีระบุพยานในวันนัดสืบพยานได้แต่จำเลยยื่นคำให้การวันที่28พฤษภาคม2536แม้จำเลยจะยื่นบัญชีระบุพยานมาในวันดังกล่าวด้วยก็มิอาจเป็นการยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนดเวลาที่มาตรา88วรรคสองกำหนดไว้ได้เนื่องจากศาลชั้นต้นได้ทำการสืบพยานโจทก์ไปในวันที่31พฤษภาคม2536นั้นเองและเมื่อศาลชั้นต้นเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ต่อในวันที่2กรกฎาคม2536จำเลยก็ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งรับบัญชีระบุพยานจำเลยไว้แต่เมื่อศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งที่สั่งรับบัญชีระบุพยานจำเลยและมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับจำเลยก็ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลจึงเป็นกรณีที่เห็นได้ชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ได้จงใจฝ่าฝืนไม่ยื่นบัญชีระบุพยานตามเวลาที่กฎหมายกำหนดเพื่อมิให้เป็นการเสียหายแก่การต่อสู้คดีของจำเลยและเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรมศาลควรอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานและรับบัญชีระบุพยานของจำเลยไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา88วรรคสี่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6880/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมโนสาเร่: การยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนดเวลาต้องคำนึงถึงสภาพการดำเนินกระบวนพิจารณา
แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา195จะบัญญัติให้นำบททั่วไปแห่งประมวลกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่การชี้ขาดตัดสินคดีมโนสาเร่ด้วยก็ตามแต่การจำนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา88เรื่องกำหนดเวลายื่นบัญชีระบุพยานมาใช้บังคับแก่คดีมโนสาเร่ก็ต้องนำมาใช้ให้เหมาะสมแก่สภาพของการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีมโนสาเร่แต่ละคดีด้วย วิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่มีบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา193ที่ให้สิทธิจำเลยยื่นคำให้การในวันที่มาศาลตามหมายเรียกของศาลหรือในวันอื่นต่อมาตามแต่ศาลจะเห็นสมควรก็ได้โดยต้องมิให้เป็นการเสียหายแก่การต่อสู้คดีของจำเลยเมื่อคดีนี้ตามหมายเรียกของศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยมาศาลเพื่อให้การแก้ข้อหาในวันที่31พฤษภาคม2536และนัดสืบพยานในวันดังกล่าวด้วยจำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำให้การและยื่นบัญชีระบุพยานในวันนัดสืบพยานได้แต่จำเลยยื่นคำให้การวันที่28พฤษภาคม2536แม้จำเลยจะยื่นบัญชีระบุพยานมาในวันดังกล่าวด้วยก็มิอาจเป็นการยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนดเวลาที่มาตรา88วรรคสองกำหนดไว้ได้เนื่องจากศาลชั้นต้นได้ทำการสืบพยานโจทก์ไปในวันที่31พฤษภาคม2536นั้นเองและเมื่อศาลชั้นต้นเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ต่อในวันที่2กรกฎาคม2536จำเลยก็ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งรับบัญชีระบุพยานจำเลยไว้แต่เมื่อศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งที่สั่งรับบัญชีระบุพยานจำเลยและมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับจำเลยก็ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลจึงเป็นกรณีที่เห็นได้ชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ได้จงใจฝ่าฝืนไม่ยื่นบัญชีระบุพยานตามเวลาที่กฎหมายกำหนดเพื่อมิให้เป็นการเสียหายแก่การต่อสู้คดีของจำเลยและเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรมศาลควรอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานและรับบัญชีระบุพยานของจำเลยไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา88วรรคสี่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6796/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกเงินจากบัญชีธนาคาร: พิจารณาจากฝากทรัพย์ ไม่ใช่ละเมิด
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับธนาคารจำเลย เช็คที่โจทก์สั่งให้จำเลยจ่ายเงินจากบัญชีของโจทก์ถูกแก้ไขเดือนและปี ในข้อสำคัญและเห็นได้ชัดเจนจำเลยกระทำโดยประมาท จ่ายเงินจากบัญชีกระแสรายวันของโจทก์โดยไม่ชอบ ขอให้บังคับให้จำเลยชดใช้เงินคืน เป็นคำฟ้องที่มีลักษณะเรียกเงินที่ฝากไว้แก่จำเลยคืน หาใช่เป็นการฟ้องในมูลหนี้ละเมิดไม่ อายุความต้องถือตามบทบัญญัติ เรื่องฝากทรัพย์ เมื่อมิใช่เป็นการฟ้องตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671 ต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164 เดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6796/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกเงินจากบัญชีธนาคาร: พิจารณาจากฝากทรัพย์ ไม่ใช่ละเมิด
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับธนาคารจำเลยเช็คที่โจทก์สั่งให้จำเลยจ่ายเงินจากบัญชีของโจทก์ถูกแก้ไขเดือนและปีในข้อสำคัญและเห็นได้ชัดเจนจำเลยกระทำโดยประมาทจ่ายเงินจากบัญชีกระแสรายวันของโจทก์โดยไม่ชอบขอให้บังคับให้จำเลยชดใช้เงินคืนเป็นคำฟ้องที่มีลักษณะเรียกเงินที่ฝากไว้แก่จำเลยคืนหาใช่เป็นการฟ้องในมูลหนี้ละเมิดไม่อายุความต้องถือตามบทบัญญัติเรื่องฝากทรัพย์เมื่อมิใช่เป็นการฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา671ต้องใช้อายุความ10ปีตามมาตรา164เดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6790/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริงตามทุนทรัพย์ และประเด็นผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์ที่ใช้ในการประกันภัย
คดีนี้มีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา248วรรคแรกศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะที่โจทก์รับประกันภัยรถยนต์จนถึงวันเกิดเหตุรถยนต์คันดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของห้างหุ้นส่วนจำกัดส. และว. เป็นผู้มีสิทธิครอบครองโดยว. ทำสัญญาซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากห้างหุ้นส่วนจำกัดส. ไม่ได้ความว่าพ. ผู้เอาประกันภัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับรถยนต์คันดังกล่าวในฐานะใดทั้งสิ้นพ.จึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันดังกล่าวโจทก์ฎีกาว่าตามคำเบิกความพยานโจทก์ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าพ. เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันเกิดเหตุเป็นผู้มีส่วนได้เสียฎีกาดังกล่าวเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ในข้อทีว่าพ. มีส่วนเกี่ยวข้องกับรถคันเกิดเหตุในฐานะผู้เช่าซื้อหรือไม่จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าพ. เป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือไม่ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามกฎหมายดังกล่าวศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6790/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีประกันภัย: ผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์ และข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริง
คดีนี้มีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคแรก ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะที่โจทก์รับประกันภัยรถยนต์จนถึงวันเกิดเหตุรถยนต์คันดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. และ ว. เป็นผู้มีสิทธิครอบครองโดย ว. ทำสัญญาซื้อรถยนต์คันดังกล่าว จากห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ไม่ได้ความว่าพ. ผู้เอาประกันภัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับรถยนต์คันดังกล่าวในฐานะใดทั้งสิ้น พ.จึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันดังกล่าว โจทก์ฎีกาว่าตามคำเบิกความพยาน-โจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า พ. เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันเกิดเหตุ เป็นผู้มีส่วนได้เสียฎีกาดังกล่าวเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ในข้อที่ว่า พ. มีส่วนเกี่ยวข้องกับรถคันเกิดเหตุในฐานะผู้เช่าซื้อหรือไม่ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า พ. เป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือไม่ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6731/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกหนี้เบิกเกินบัญชี และการนำสืบพยานเอกสารที่ไม่ส่งในวันชี้สองสถาน
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามข้อตกลงเบิกเงินเกินบัญชีแม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายฟ้องมาโดยละเอียดว่าหนี้ดังกล่าวเป็นเงินต้นเท่าใดดอกเบี้ยเท่าใด คิดคำนวณอย่างไร ก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุมเพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นรายละเอียดที่ต้องนำสืบในชั้นพิจารณาเมื่อมีประเด็นโต้เถียงกัน
โจทก์บรรยายฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและข้อตกลงเบิกเงินเกินบัญชี การที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์อันเป็นสัญญาที่เกี่ยวเนื่องกับบัญชีเงินฝากกระแสรายวันที่จำเลยตกลงเปิดบัญชีกับโจทก์ตามฟ้องนั้น เป็นการนำสืบถึงมูลหนี้ตามบัญชีเงินฝากกระแสรายวันตามฟ้องนั่นเอง หาต่างจากฟ้องไม่
แม้โจทก์ไม่ได้ส่งต้นฉบับพยานเอกสารต่อศาลในวันชี้สองสถานอันเป็นการฝ่าฝืน ป.วิ.พ. มาตรา 183 แต่เมื่อโจทก์นำพยานเอกสารต่าง ๆ มาสืบศาลชั้นต้นก็รับเอกสารเหล่านั้นไว้และเรียกค่าอ้างจากโจทก์กับยกเอกสารดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย แสดงให้เห็นว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์นำเอกสารดังกล่าวมาสืบได้โดยเห็นว่าเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานดังกล่าวมาสืบตาม ป.วิ.พ.มาตรา 183 ทวิ วรรคสอง
โจทก์บรรยายฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและข้อตกลงเบิกเงินเกินบัญชี การที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์อันเป็นสัญญาที่เกี่ยวเนื่องกับบัญชีเงินฝากกระแสรายวันที่จำเลยตกลงเปิดบัญชีกับโจทก์ตามฟ้องนั้น เป็นการนำสืบถึงมูลหนี้ตามบัญชีเงินฝากกระแสรายวันตามฟ้องนั่นเอง หาต่างจากฟ้องไม่
แม้โจทก์ไม่ได้ส่งต้นฉบับพยานเอกสารต่อศาลในวันชี้สองสถานอันเป็นการฝ่าฝืน ป.วิ.พ. มาตรา 183 แต่เมื่อโจทก์นำพยานเอกสารต่าง ๆ มาสืบศาลชั้นต้นก็รับเอกสารเหล่านั้นไว้และเรียกค่าอ้างจากโจทก์กับยกเอกสารดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย แสดงให้เห็นว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์นำเอกสารดังกล่าวมาสืบได้โดยเห็นว่าเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานดังกล่าวมาสืบตาม ป.วิ.พ.มาตรา 183 ทวิ วรรคสอง