คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ยรรยง ปานุราช

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 519 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 232/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม เป็นปัญหาอำนาจฟ้อง ศาลมีอำนาจวินิจฉัยได้เอง
เดิมโจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างอาคารกับโจทก์แต่ปรากฎว่าจำเลยไม่่โอนที่ดินและอาคารให้โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาซึ่งมูลคดีที่โจทก์ฟ้องสืบเนื่องมาจากกรณีจำเลยผิดสัญญาส่วนจำเลยฟ้องแย้งอ้างว่าโจทก์เข้าไปอยู่ในที่ดินและอาคารของจำเลยโดยไม่มีสิทธิซึ่งมูลคดีที่จำเลยฟ้องแย้งสืบเนื่องมาจากโจทก์กระทำละเมิดต่อทรัพย์สินของจำเลยฟ้องแย้งของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมปัญหาฟ้องแย้งเกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่นั้นเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 29/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินค่าทดแทนที่ดินเวนคืน ต้องพิจารณาทั้งราคาตลาดและราคาประเมิน เพื่อความเป็นธรรม
ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2530มาตรา21ได้กำหนดเงินค่าทดแทนแก่ผู้มีสิทธิได้รับโดยคำนึงถึง(1)ถึง(5)ประกอบกันเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนและสังคมโดยทั่วไปราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดตามมาตรา21(1)ย่อมมีราคาสูงกว่าราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามมาตรา21(3)การที่จำเลยทั้งสองกำหนดเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์โดยใช้หลักเกณฑ์แต่เฉพาะมาตรา21(3)จึงเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ เมื่อจำเลยต้องชำระเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์ตามคำวินิจฉัยของศาลโจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสิน ในจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฯมาตรา26วรรคสามซึ่งอัตราดอกเบี้ยสูงสุดในเวลาที่ต่างกันอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้แม้ศาลล่างให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5ต่อปีคงที่จะไม่ถูกต้องแต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกาศาลฎีกาไม่อาจบังคับให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราที่เกินกว่าที่ศาลล่างกำหนดและที่ศาลล่างพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่31ตุลาคม2534นั้นเป็นการเกินไปกว่าคำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยทั้งสองใช้ดอกเบี้ยนับแต่วันที่13พฤศจิกายน2534ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนคำสั่งถอนการบังคับคดี: การไต่สวนทางลัดและการพิจารณาพยานหลักฐานเพียงพอ
คำร้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งถอนการบังคับคดีได้แนบเอกสารต่างๆที่โจทก์ได้ติดต่อดำเนินการต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลจังหวัดสวรรคโลกในการขายทอดตลาดแทนหลายครั้งตลอดมาโดยมีจ่าศาลจังหวัดสวรรคโลกรับรองสำเนาถูกต้องและในวันนัดไต่สวนคำร้องศาลได้สอบถามทนายโจทก์และเจ้าพนักงานบังคับคดีกรมบังคับคดีแล้วเจ้าพนักงานบังคับคดีแถลงว่าเหตุที่ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งถอนการบังคับคดีเนื่องจากไม่ได้รับเอกสารเกี่ยวกับการบังคับคดีดังกล่าวจากศาลจังหวัดสวรรคโลกศาลชั้นต้นได้บันทึกข้อเท็จจริงที่ได้ความตามที่สอบถามไว้ซึ่งพยานหลักฐานที่ได้ดังกล่าวมีรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการต่างๆในการบังคับคดีสมบูรณ์เพียงพอที่จะวินิจฉัยได้จึงไม่จำเป็นต้องไต่สวนต่อไปและการที่ศาลได้สอบถามข้อเท็จจริงจนได้ความดังกล่าวมาถือได้ว่าเป็นการไต่สวนแล้วฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการบังคับคดีโดยไม่ไต่สวนคำร้องของโจทก์ต่อไปจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10306/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างรักษาความปลอดภัย: ความรับผิดต่อรถยนต์ที่จอดในบริเวณที่ดูแล ความประมาทเลินเล่อ
ตามสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัยจำเลยจะต้องดูแลรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินทั้งหมดภายในและภายนอกห้ามพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยมีหน้าที่ดูแลรถยนต์ทุกคันที่นำมาจอดรับมอบและเก็บรักษากุญแจรถไว้และพนักงานรักษาความปลอดภัยจะต้องดูแลทรัพย์สินของห้างในบริเวณโรงงานและรถยนต์ที่จอดอยู่นอกโรงงานด้วยและต้องเขียนรายงานเหตุการณ์ทุกๆชั่วโมงการที่ว.นำรถไปจอดแล้วนำกุญแจรถมามอบให้แก่ส.พนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยและส.รับมอบกุญแจรถไว้โดยมิได้ทักท้วงซึ่งแสดงว่าว.นำรถไปจอดในเขตความรับผิดชอบดูแลของพนักงานรักษาความปลอดภัยลูกจ้างของจำเลยแล้วต่อมามีคนร้ายลักรถยนต์คันดังกล่าวไปแสดงว่าพนักงานรักษาความปลอดภัยลูกจ้างของจำเลยปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อจำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10306/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากสัญญาจ้างรักษาความปลอดภัย: ความประมาทเลินเล่อในการดูแลทรัพย์สิน
ตามสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัย จำเลยจะต้องดูแลรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินทั้งหมดภายในและภายนอกห้าง พนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยมีหน้าที่ดูแลรถยนต์ทุกคันที่นำมาจอด รับมอบและเก็บรักษากุญแจรถไว้และพนักงานรักษาความปลอดภัยจะต้องดูแลทรัพย์สินของห้างในบริเวณโรงงานและรถยนต์ที่จอดอยู่นอกโรงงานด้วย และต้องเขียนรายงานเหตุการณ์ทุก ๆ ชั่วโมงการที่ ว.นำรถไปจอดแล้วนำกุญแจรถมามอบให้แก่ ส.พนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลย และ ส.รับมอบกุญแจรถไว้ โดยมิได้ทักท้วงซึ่งแสดงว่า ว.นำรถไปจอดในเขตความรับผิดชอบดูแลของพนักงานรักษาความปลอดภัยลูกจ้างของจำเลยแล้วต่อมามีคนร้ายลักรถยนต์คันดังกล่าวไป แสดงว่า พนักงานรักษาความปลอดภัย ลูกจ้างของจำเลยปฎิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10188/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินกว่ากรณีจำต้อง การทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย
จำเลยและผู้ตายต่างเป็นบุตร ค. ขณะที่ ค.นั่งดูโทรทัศน์อยู่ในบ้าน ผู้ตายมาขอเงินไปเที่ยว ค.จะให้เพียง ๓๐ บาท ผู้ตายแสดงอาการไม่พอใจชกกระจกตู้เสื้อผ้าแตกแล้วตรงเข้าบีบคอ ค. ค.ตะโกนให้คนช่วย จำเลยได้ยินจึงขึ้นมาบนบ้าน บอกให้ผู้ตายปล่อย ค. แต่ผู้ตายกลับชกต่อยจำเลย จำเลยตกใจกลัวจะมีภัยถึงตนและ ค. จึงใช้ไม้ตีป้องกันตัวไป ๒ ครั้ง ทำให้ผู้ตายหมดสตินอนนิ่งจำเลยลากผู้ตายไปที่กระบะพ่วงท้ายรถไถนาเพื่อส่งแพทย์ เมื่อผู้ตายคืนสติจะลงจากกระบะท้ายรถและตะโกนว่าจะฆ่าล้างโคตร จำเลยก็ใช้ไม้ท่อนอันใหญ่ตีผู้ตายอีก๒ ครั้ง ผู้ตายล้มถึงแก่ความตาย ดังนี้ ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่เกิดแก่ ค.มารดาจำเลย คือ ค.ถูกผู้ตายบีบคอยังหาได้ผ่านพ้นไปไม่เนื่องจากผู้ตายสลบ เมื่อผู้ตายฟื้นคืนสติขึ้นมาก็พูดทันทีว่า "ไอ้ห่าจะฆ่าทั้งแม่ทั้งลูกเลย"อันแสดงให้เห็นเจตนาของผู้ตายที่ยังมีเจตนาเดิมอยู่ ดังนั้น การที่จำเลยใช้ไม้ตีผู้ตายขณะนั้นจึงเป็นการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของมารดาจำเลยและตัวจำเลยเองแต่การที่จำเลยใช้ไม้ตีที่ศีรษะผู้ตายโดยแรงในขณะที่ผู้ตายเมาสุรา เห็นได้ว่าขณะนั้นผู้ตายไม่มีสภาพทางร่างกายที่จะเป็นอันตรายแก่บุคคลใดได้ และจำเลยในขณะนั้นแข็งแรงกว่าผู้ตายมาก จึงน่าจะมีวิธีการอื่นที่ดีกว่าที่จำเลยใช้ไม้ตีผู้ตายโดยแรงที่ศีรษะจนผู้ตายถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน
จำเลยเป็นพี่ชายผู้ตาย ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกัน เหตุที่เกิดคดีนี้ขึ้นก็เนื่องจากผู้ตายก่อเหตุขึ้นก่อน จำเลยจึงเข้าไปช่วยมารดาเพื่อให้พ้นภยันตรายขณะผู้ตายสลบ จำเลยยังมีเจตนาที่จะช่วยผู้ตายโดยจะพาไปส่งโรงพยาบาล แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยอย่างแท้จริงว่าไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย และที่จำเลยตีผู้ตายอีกครั้งหลังจากที่ผู้ตายฟื้นคืนสติขึ้นมาก็น่าจะมีเจตนาทำร้ายไม่ให้ผู้ตายไปก่อเหตุร้ายขึ้นอีกเมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยจึงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่น เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9871/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินค่าทดแทนที่ดินเวนคืน: หลักเกณฑ์ตามมาตรา 21 และราคาประเมินที่สอดคล้องกับราคาตลาด
การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ที่พิพาทเป็นการดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลสุรวงศ์ฯ พ.ศ. 2511 และพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่แขวงสุรวงศ์ฯ พ.ศ. 2516แต่ภายหลังจากพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2530 และประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับที่ 44 เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มีผลใช้บังคับแล้ว การดำเนินการในเรื่องค่าทดแทนตามฟ้องยังไม่เสร็จสิ้น ดังนั้น การดำเนินการต่อไปในเรื่องนี้จึงต้องบังคับตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 21(1)-(5) โดยกำหนดให้คิดราคาในปีที่พระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ การที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่พิพาทมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2511 แล้วฝ่ายจำเลยไม่ดำเนินการกำหนดค่าทดแทนภายในเวลาอันควรปล่อยระยะเวลามา เนิ่นนานกว่า 20 ปี เป็นการกระทำที่ทำให้โจทก์เสียหายเมื่อได้ความว่าฝ่ายจำเลยได้แต่งตั้งคณะกรรมการฯ กำหนดราคาเบื้องต้นของที่ดินของโจทก์ที่ถูกเวนคืนเมื่อวันที่ 22มกราคม 2531 และได้ประชุมกำหนดค่าทดแทนให้แก่โจทก์อันเนื่องจากอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืน แล้วแจ้งราคาให้แก่โจทก์ทราบ การดำเนินการเพื่อจ่ายเงินค่าทดแทนในกรณีนี้เริ่มต้นใหม่ในปี 2531 ดังนั้น การใช้หลักเกณฑ์ตามมาตรา 21(1)-(5) จึงเปลี่ยนจากวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาเป็นปี 2531 อันเป็นปีที่มีการเริ่มดำเนินการเพื่อจ่ายค่าทดแทนใหม่ โจทก์นำสืบถึงบัญชีราคาประเมินที่ดินเพื่อเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซึ่งกรมที่ดินได้กำหนดในปี 2533 เพื่อให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจ่ายค่าทดแทนให้แก่ผู้ถูกเวนคืน และที่ดินที่พิพาทก็อยู่ในบริเวณดังกล่าวด้วย จึงเชื่อว่าในปี 2533ที่ดินที่ถูกเวนคืนตามฟ้องมีราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดใกล้เคียงหรือสูงต่ำกว่าตารางวาละ 60,000 บาทตามที่ปรากฏในราคาประเมินของกรมที่ดินดังกล่าวไม่มาก และราคาดังกล่าวนี้เป็นราคาที่เพิ่มขึ้นจากปี 2531 เป็นเวลา2 ปี ดังนั้นในปี 2531 ที่ดินที่ถูกเวนคืนตามฟ้องย่อมมีราคาต่ำกว่าตารางวาละ 60,000 บาท ไม่มากเช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9777/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเวนคืนที่ดิน: การประเมินราคาที่ดินที่สูงขึ้นจากการก่อสร้างถนนใหม่ และสิทธิเรียกร้องค่าทดแทน
การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ในคดีนี้เป็นการดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลสุรวงศ์ตำบลสีลมอำเภอบางรักและตำบลยานนาวาตำบลทุ่งมหาเมฆตำบลทุ่งวัดดอนตำบลช่องนนทรีอำเภอยานนาวา จังหวัดพระนครพ.ศ.2511และพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่แขวงสุรวงศ์และแขวงสีลมเขตบางรักและแขวงยานนาวาแขวงทุ่งมหาเมฆแขวงทุ่งวัดดอนและแขวงช่องนนทรีเขตยานนาวา กรุงเทพมหานครพ.ศ.2516แต่ภายหลังจากพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2530และประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับที่44เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มีผลใช้บังคับแล้วการดำเนินการในเรื่องค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ที่ถูกเวนคืนก็ยังไม่เสร็จสิ้นดังนั้นการดำเนินการต่อไปในเรื่องนี้จึงต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2530ที่แก้ไขแล้วทั้งนี้เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2530มาตรา36วรรคสองและประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับที่44ข้อ4วรรคหนึ่งและเนื่องจากพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่แขวงสุรวงศ์พ.ศ.2516มิได้กำหนดเรื่องเงินค่าทดแทนไว้เป็นการเฉพาะการกำหนดเงินค่าทดแทนจึงต้องบังคับตามบทบัญญัติมาตรา21แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2530ซึ่งบัญญัติหลักการสำคัญไว้ในวรรคแรกว่าการกำหนดเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ถูกเวนคืนต้องให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนและสังคมส่วนที่มาตรา21วรรคสองบัญญัติว่าถ้าการงานหรือกิจการอย่างใดที่ทำไปในการเวนคืนได้กระทำให้อสังหาริมทรัพย์ที่เหลืออยู่นั้นมีราคาสูงขึ้นให้เอาราคาที่สูงขึ้นนั้นหักออกจากเงินค่าทดแทนและวรรคสามบัญญัติว่าถ้าต้องเวนคืนอสังหาริมทรัพย์แต่เพียงส่วนหนึ่งและส่วนที่เหลือนั้นราคาลดลงให้กำหนดเงินค่าทดแทนให้เฉพาะสำหรับส่วนที่เหลืออันราคาลดลงนั้นด้วยมาตรา21วรรคสองและวรรคสามนี้เป็นบทบัญญัติที่เป็นหลักการในการสนับสนุนให้การเวนคืนเป็นไปด้วยความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนและสังคมโดยสมบูรณ์เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการเวนคืนทำให้อสังหาริมทรัพย์ที่เหลืออยู่มีราคาสูงขึ้นแล้วหากไม่นำเอาราคาที่สูงขึ้นนั้นหักออกจากเงินค่าทดแทนก็จะทำให้ผู้ถูกเวนคืนได้รับผลประโยชน์จากการเวนคืนแต่ฝ่ายเดียวในทางตรงกันข้ามหากอสังหาริมทรัพย์ส่วนที่เหลือนั้นราคาลดลงแล้วหากผู้ถูกเวนคืนไม่ได้รับเงินค่าทดแทนในส่วนนี้ก็ย่อมไม่เป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนซึ่งขัดต่อหลักการสำคัญของมาตรา21ที่ให้กำหนดค่าทดแทนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนและสังคมส่วนมาตรา21วรรคสี่นั้นเป็นเพียงวิธีการที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการสำคัญของมาตรา21เท่านั้นแม้ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณออกใช้บังคับแล้วตามมาตรา21วรรคสี่ก็ไม่ใช่กรณีที่จะทำให้หลักการตามมาตรา21วรรคสองและวรรคสามใช้ไม่ได้หากปรากฏชัดว่าที่ดินในส่วนที่เหลือของโจทก์มีราคาสูงขึ้นเพราะการเวนคืนแล้วก็ชอบที่จะนำเอาราคาที่สูงขึ้นนั้นหักออกจากเงินค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9777/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเวนคืน: หลักการคำนวณค่าทดแทนที่เป็นธรรมต่อผู้ถูกเวนคืนและสังคม โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อราคาที่ดินที่เหลือ
การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ในคดีนี้เป็นการดำเนินการตาม พ.ร.ฎ.กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลสุรวงศ์ ตำบลสีลมอำเภอบางรัก และตำบลยานนาวา ตำบลทุ่งมหาเมฆ ตำบลทุ่งวัดดอน ตำบลช่องนนทรีอำเภอยานนาวา จังหวัดพระนคร พ.ศ.2511 และ พ.ร.บ.เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่แขวงสุรวงศ์ และแขวงสีลม เขตบางรัก และแขวงยานนาวา แขวงทุ่งมหาเมฆแขวงทุ่งวัดดอน และแขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร พ.ศ.2516แต่ภายหลังจาก พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 และประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 44 เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มีผลใช้บังคับแล้ว การดำเนินการในเรื่องค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ที่ถูกเวนคืนก็ยังไม่เสร็จสิ้น ดังนั้นการดำเนินการต่อไปในเรื่องนี้จึงต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหา-ริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ที่แก้ไขแล้ว ทั้งนี้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 36 วรรคสอง และประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 44 ข้อ 4 วรรคหนึ่ง และเนื่องจาก พ.ร.บ.เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่แขวงสุรวงศ์...พ.ศ. 2516 มิได้กำหนดเรื่องเงินค่าทดแทนไว้เป็นการเฉพาะ การกำหนดเงินค่าทดแทนจึงต้องบังคับตามบทบัญญัติมาตรา 21 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 ซึ่งบัญญัติหลักการสำคัญไว้ในวรรคแรกว่า การกำหนดเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ถูกเวนคืนต้องให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนและสังคม ส่วนที่มาตรา 21 วรรคสอง บัญญัติว่าถ้าการงานหรือกิจการอย่างใดที่ทำไปในการเวนคืน ได้กระทำให้อสังหาริมทรัพย์ที่เหลืออยู่นั้นมีราคาสูงขึ้น ให้เอาราคาที่สูงขึ้นนั้นหักออกจากเงินค่าทดแทน...และวรรคสามบัญญัติว่า ถ้าต้องเวนคืนอสังหาริมทรัพย์แต่เพียงส่วนหนึ่ง และส่วนที่เหลือนั้นราคาลดลงให้กำหนดเงินค่าทดแทนให้เฉพาะสำหรับส่วนที่เหลืออันราคาลดลงนั้นด้วยมาตรา 21 วรรคสองและวรรคสามนี้เป็นบทบัญญัติที่เป็นหลักการในการสนับสนุนให้การเวนคืนเป็นไปด้วยความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนและสังคมโดยสมบูรณ์ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการเวนคืนทำให้อสังหาริมทรัพย์ที่เหลืออยู่มีราคาสูงขึ้นแล้วหากไม่นำเอาราคาที่สูงขึ้นนั้นหักออกจากเงินค่าทดแทน ก็จะทำให้ผู้ถูกเวนคืนได้รับผลประโยชน์จากการเวนคืนแต่ฝ่ายเดียว ในทางตรงกันข้าม หากอสังหาริมทรัพย์ส่วนที่เหลือนั้นราคาลดลงแล้วหากผู้ถูกเวนคืนไม่ได้รับเงินค่าทดแทนในส่วนนี้ ก็ย่อมไม่เป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนซึ่งขัดต่อหลักการสำคัญของมาตรา 21 ที่ให้กำหนดค่าทดแทนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนและสังคม ส่วนมาตรา 21 วรรคสี่นั้น เป็นเพียงวิธีการที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการสำคัญของมาตรา 21เท่านั้น แม้ยังไม่มี พ.ร.ฎ.กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณออกใช้บังคับแล้วตามมาตรา 21 วรรคสี่ ก็ไม่ใช่กรณีที่จะทำให้หลักการตามมาตรา 21 วรรคสองและวรรคสาม ใช้ไม่ได้ หากปรากฏชัดว่าที่ดินในส่วนที่เหลือของโจทก์มีราคาสูงขึ้นเพราะการเวนคืนแล้ว ก็ชอบที่จะนำเอาราคาที่สูงขึ้นนั้นหักออกจากเงินค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9776/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเวนคืนที่ดิน: หลักเกณฑ์การประเมินค่าทดแทนและดอกเบี้ยเพิ่มเติม
ก่อนวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ ประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 44 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหา-ริมทรัพย์มีผลใช้บังคับแล้ว ดังนั้น เงินค่าทดแทนที่ดินของโจทก์จึงต้องกำหนดโดยคำนึงถึงหลักเกณฑ์ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) ถึง (5) แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 คือราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดราคาที่มีการตีราคาไว้เพื่อประโยชน์แก่การเสียภาษีบำรุงท้องที่ ราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประกอบสภาพและที่ตั้งของที่ดินของโจทก์ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2531 ซึ่งเป็นวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาฯ ประกอบเหตุและวัตถุประสงค์ของการเวนคืนเพื่อประโยชน์สาธารณะในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมพื้นที่บริเวณด้านทิศตะวันออกของกรุงเทพมหานคร แม้หากจะฟังได้ว่าการได้ที่ดินมาของโจทก์เข้ากรณีตามมาตรา 22ก็ตาม แต่มาตรา 22 นี้ ให้เป็นดุลพินิจที่จะกำหนดเงินค่าทดแทนให้ต่ำกว่าเงินค่าทดแทนที่กำหนดตามมาตรา 21 ก็ได้ ไม่ได้บังคับว่าต้องกำหนดเงินค่าทดแทนให้ต่ำกว่ามาตรา 21 เสมอไป ดังนั้น การกำหนดเงินค่าทดแทนให้ตามมาตรา 21 ย่อมไม่ขัดต่อมาตรา 22 แต่อย่างใด
พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530มาตรา 26 วรรคสาม บัญญัติว่า ในกรณีที่รัฐมนตรีหรือศาลวินิจฉัยให้ชำระเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นทั้งนี้นับแต่วันที่ต้องมีการจ่ายหรือวางเงินค่าทดแทนนั้น และมาตรา 11 คดีนี้ไม่มีการตกลงซื้อขายอสังหาริมทรัพย์กันตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 ดังนั้นจึงไม่มีวันที่ต้องมีการจ่ายค่าทดแทนตามมาตรา 26 วรรคสาม ที่ศาลล่างทั้งสองให้โจทก์ชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่15 พฤศจิกายน 2533 ซึ่งเป็นวันที่ลงในหนังสือแจ้งให้ไปรับเงินค่าทดแทนโดยเห็นว่าเป็นวันที่ต้องมีการจ่ายค่าทดแทนนั้นไม่ชอบ กรณีนี้วันที่โจทก์มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยจากเงินค่าทดแทนที่รัฐมนตรีและศาลฎีกาวินิจฉัยให้ชำระเพิ่มขึ้นรวมกันจำนวน 2,605,413.20 บาท คือวันที่จำเลยที่ 1 วางเงินค่าทดแทนในวันที่22 เมษายน 2534 โดยให้ได้ในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารออมสิน ส่วนจะได้รับอัตราเท่าใดต้องเป็นไปตามประกาศของธนาคารออมสินที่ประกาศอัตราดอกเบี้ยขึ้นลงแต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 8 ต่อปีเพราะโจทก์มิได้ฎีกาขอให้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่ศาลล่างทั้งสองกำหนด
of 52