พบผลลัพธ์ทั้งหมด 519 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6638/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินเพื่อหลีกเลี่ยงชำระหนี้ตามคำพิพากษา
จำเลยที่ 2 ทราบว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์มาก่อนที่โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีแพ่งต่อศาลชั้นต้น ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินของตนพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 2 ย่อมทราบแล้วว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ และปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มีที่ดินเพียงแปลงเดียวดังกล่าวจำเลยที่ 1 จึงไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 237
ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2เพราะขณะยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 อยู่ต่างประเทศนั้น เป็นเรื่องเฉพาะตัวจำเลยที่ 2โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้มาต่อสู้คดีนี้ ศาลจึงไม่รับวินิจฉัย
ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2เพราะขณะยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 อยู่ต่างประเทศนั้น เป็นเรื่องเฉพาะตัวจำเลยที่ 2โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้มาต่อสู้คดีนี้ ศาลจึงไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6403/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดุลพินิจอนุญาตถอนฟ้อง: การถอนฟ้องเพื่อแก้ไขคำฟ้องให้ครอบคลุมประเด็นกรรมสิทธิ์ที่ดิน อาจเป็นการเอาเปรียบจำเลย
การที่ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาลที่จะพิจารณาข้อเท็จจริงจากท้องสำนวนประกอบคำร้องขอถอนฟ้องและคำคัดค้านโดยคำนึงถึงเหตุผลและความจำเป็นว่าสมควรหรือไม่และเป็นการถอนฟ้องไปเพื่อจะฟ้องใหม่โดยแก้ไขฟ้องเดิมที่บกพร่องอันเป็นการเอาเปรียบในเชิงคดีกับอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่ จำเลยให้การต่อสู้คดีประการหนึ่งว่าโจทก์มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องเพราะได้เวนคืนที่ให้แก่จำเลยที่1แล้วจึงไม่มีอำนาจฟ้องซึ่งโจทก์ก็ได้เสนอประเด็นข้อพิพาทนี้ต่อศาลแต่ในวันนัดชี้สองสถานศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้และตามคำร้องขอถอนฟ้องก็อ้างเหตุว่าเพื่อนำคดีมาฟ้องใหม่ให้รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินด้วยและเป็นเวลาหลังชี้สองสถานซึ่งโจทก์ไม่สามารถแก้ไขคำฟ้องได้แสดงว่าโจทก์ถอนฟ้องไปเพื่อจะแก้ไขฟ้องเดิมที่บกพร่องอันอาจทำให้จำเลยทั้งสามเสียเปรียบในการต่อสู้คดีศาลจึงชอบที่จะไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6385/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดการมรดกโดยสุจริตและการถอนผู้จัดการมรดก ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจพิจารณาเหตุสมควร
การที่จำเลยที่1ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกไม่ได้จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกในเวลาที่กฎหมายกำหนดไม่ใช่เหตุที่จะต้องถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดกเสมอไปและตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1731ให้อำนาจศาลที่จะใช้ดุลพินิจพิจารณาว่ามีเหตุสมควรที่จะถอนผู้จัดการมรดกเพียงใดหรือไม่เมื่อจำเลยที่1จัดการมรดกโดยสุจริตและได้แบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทบ้างแล้วและเตรียมที่จะแบ่งต่อไปโดยไม่ได้ปิดบังมรดกแต่อย่างใดจึงยังไม่สมควรจะถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6368/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลเพิกถอนการขายทอดตลาดต้องมีผู้ร้องขอ และการผูกพันหนี้จากการขายทอดตลาด
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 196 วรรคสองระบุให้อำนาจเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลอื่นที่มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายจากการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อกฎหมายเป็นผู้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการบังคับคดีศาลจึงไม่มีอำนาจที่จะเพิกถอนการบังคับคดีได้เองโดยไม่มีผู้ใดร้องขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6362/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังภาพถ่ายเอกสารประกอบการพิจารณาคดี และการวินิจฉัยความประมาทจากภาพถ่ายความเสียหายของรถยนต์
คู่ความทั้งสองฝ่ายต่างไม่ได้ตัวโจทก์ที่ 2 และจำเลยที่ 1ผู้ซึ่งขับรถยนต์ที่ชนกันทั้งสองคันมาเบิกความต่อศาล แม้จำเลยที่ 2 จะมีสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีมาแสดงว่าพนักงานสอบสวน เปรียบเทียบปรับโจทก์ที่ 2 ให้ข้อหาขับรถโดยประมาท แต่รายงานดังกล่าวเป็นเพียงพยานหลักฐานอย่างหนึ่งที่ จำเลยที่ 2 อ้างเข้ามาเพื่อสนับสนุนข้ออ้างข้อเถียงของตนซึ่งศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยพยานหลักฐานที่จำเลยที่ 2 นำมาสืบนั้นเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ เมื่อนำข้อเท็จจริงที่ปรากฏในรายงานดังกล่าวมาเปรียบเทียบกับภาพถ่ายความเสียหายของรถยนต์เกิดเหตุทั้งสองคันแล้วปรากฏว่าข้อเท็จจริงขัดกัน เชื่อว่าเหตุเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 ตามที่ปรากฏในภาพถ่าย แม้โจทก์จะมิได้ส่งสำเนาเอกสารค่าซ่อมรถให้จำเลยแต่ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบเพราะโจทก์ได้แนบภาพถ่ายใบเสนอราคาและใบสั่งจ่ายที่โจทก์ชำระค่าซ่อมรถมาท้ายฟ้องทั้งเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารสำคัญเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลจึงมีอำนาจรับฟังได้ เอกสารที่ต้นฉบับหายศาลชั้นต้นยอมให้สืบพยานบุคคลประกอบสำเนาภาพถ่าย ถือได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้นำสำเนาภาพถ่ายมาสืบจึงรับฟังเอกสารดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6352/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนที่ดินโดยปราศจากอำนาจและเจตนาที่แท้จริง ถือเป็นเอกสารปลอม สิทธิยังเป็นของเจ้าของเดิม
โจทก์เป็นหนี้จำเลยที่ 1 จำนวนหนึ่ง จึงมอบ น.ส.3ของที่ดินพิพาทและลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1ยึดถือไว้ แต่ก็ได้แสดงความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและไม่เคยมอบอำนาจให้ผู้ใดขายที่ดินพิพาท การที่มีการกรอกข้อความในหนังสือ มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3จึงเป็นการกรอกข้อความโดยปราศจากอำนาจและเป็นเอกสารปลอม ต้องถือว่านิติกรรมซื้อขายมิได้เกิดขึ้น สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ยังเป็นของโจทก์ประกอบกับสามีจำเลยที่ 1 เป็นพี่เขย ของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 เป็นสามีของจำเลยที่ 3 ย่อม รู้ว่าโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้ขายที่ดินพิพาท ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 รับโอนที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริตจึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6225/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมรับสภาพหนี้ของทายาท: สัญญาผูกพันเฉพาะในฐานะทายาท ไม่เกินทรัพย์มรดก
ป. เป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ เมื่อ ป. ถึงแก่กรรมแล้วจำเลยทั้งสองทำหนังสือเพื่อชำระหนี้แทน ป. ซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ 1 และเป็นบิดาจำเลยที่ 2 โดยจำเลยทั้งสองมิได้เป็นหนี้โจทก์ โดยระบุว่า ขณะทำสัญญาฉบับนี้ ป.ยังคงเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่เป็นจำนวนเงิน 2,720,000 บาทจำเลยทั้งสองยินยอมชดใช้หนี้จำนวนดังกล่าวโดยจะชำระเป็นงวดเป็นกรณีที่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นทายาทของ ป. ทำขึ้นเพื่อยอมรับสภาพหนี้ของเจ้ามรดก มิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้อันจะเป็นเหตุให้มูลหนี้เดิมระหว่างโจทก์กับ ป. ระงับลงเพราะ ป. ได้ถึงแก่กรรมไปก่อนที่จะมีการจัดทำหนังสือดังกล่าวแล้วและข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงเจตนาที่ยอมตนเข้าผูกพันรับผิดต่อโจทก์ในฐานะทายาทผู้ตายมิใช่รับผิดเป็นส่วนตัวและเป็นสัญญาที่มีผลสมบูรณ์บังคับกันได้ตามกฎหมาย แต่คงรับผิดต่อโจทก์ไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกที่จำเลยทั้งสองจะได้รับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6132/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับการชำระหนี้สัญญาข้าราชการทุน, การนำเวลาทำงานชดใช้หนี้มาหักหนี้รายที่ตกหนักที่สุด
จำเลยมีภาระต้องทำงานชดใช้หนี้ตามสัญญาข้าราชการไปศึกษาต่อภายในประเทศเป็นเวลา5ปี10เดือน24วันคิดเป็นเงินที่ต้องชดใช้จำนวน160,089.99บาทและต้องทำงานชดใช้หนี้ตามสัญญาข้าราชการไปศึกษาหรือฝึกอบรมณต่างประเทศเป็นเวลา1ปี6เดือน2วันคิดเป็นเงินที่ต้องชดใช้จำนวน556,199.90บาทซึ่งในการพิจารณาว่าหนี้รายใดจะตกหนักที่สุดแก่จำเลยนั้นจะต้องพิจารณาจากภาระที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นประเด็นสำคัญแม้ระยะเวลาทำงานชดใช้ตามสัญญาข้าราชการไปศึกษาต่อภายในประเทศยาวนานกว่าก็ตามแต่กรณีได้ผ่านพ้นระยะเวลาที่จะต้องทำงานชดใช้ไปแล้วเนื่องจากโจทก์อนุญาตให้จำเลยลาออกจากราชการจำเลยจึงมีหน้าที่เพียงชดใช้เงินให้แก่โจทก์เท่านั้นดังนั้นจึงต้องพิจารณาจากจำนวนเงินที่จำเลยจะต้องชดใช้ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยดังนั้นหนี้ตามสัญญาข้าราชการไปศึกษาหรืออบรมณต่างประเทศจึงเป็นรายที่ตกหนักที่สุดแก่จำเลยจึงต้องให้หนี้ตามสัญญาดังกล่าวได้เปลื้องไปก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา328โดยนำเวลาที่จำเลยกลับเข้าทำงานชดใช้เป็นเวลา3ปี1เดือน24วันไปชดใช้เวลาที่จำเลยต้องทำงานชดใช้จำนวน1ปี6เดือน2วันก่อนซึ่งยังเหลือเวลาที่จำเลยทำงานชดใช้ไว้อีก1ปี7เดือน22วันและถือว่าจำเลยได้ทำงานชดใช้ตามสัญญาข้าราชการไปศึกษาหรือฝึกอบรมณต่างประเทศครบตามสัญญาแล้วจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาดังกล่าวอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6132/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับการชดใช้หนี้สัญญาข้าราชการศึกษาต่อ: พิจารณาจากจำนวนเงินที่ต้องชดใช้เป็นหลัก
จำเลยมีภาระต้องทำงานชดใช้หนี้ตามสัญญาข้าราชการไปศึกษาต่อภายในประเทศเป็นเวลา 5 ปี 10 เดือน 24 วัน คิดเป็นเงินที่ต้องชดใช้จำนวน 160,089.99 บาท และต้องทำงานชดใช้หนี้ตามสัญญาข้าราชการไปศึกษาหรือฝึกอบรม ณ ต่างประเทศเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน 2 วัน คิดเป็นเงินที่ต้องชดใช้จำนวน 556,199.90 บาท ซึ่งในการพิจารณาว่าหนี้รายใดจะตกหนักที่สุดแก่จำเลยนั้นจะต้องพิจารณาจากภาระที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นประเด็นสำคัญ แม้ระยะเวลาทำงานชดใช้ตามสัญญาข้าราชการไปศึกษาต่อภายในประเทศยาวนานกว่าก็ตาม แต่กรณีได้ผ่านพ้นระยะเวลาที่จะต้องทำงานชดใช้ไปแล้วเนื่องจากโจทก์อนุญาตให้จำเลยลาออกจากราชการ จำเลยจึงมีหน้าที่เพียงชดใช้เงินให้แก่โจทก์เท่านั้น ดังนั้นจึงต้องพิจารณาจากจำนวนเงินที่จำเลยจะต้องชดใช้ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย ดังนั้นหนี้ตามสัญญาข้าราชการไปศึกษาหรืออบรม ณ ต่างประเทศจึงเป็นรายที่ตกหนักที่สุดแก่จำเลยจึงต้องให้หนี้ตามสัญญาดังกล่าวได้เปลื้องไปก่อนตาม ป.พ.พ.มาตรา 328 โดยนำเวลาที่จำเลยกลับเข้าทำงานชดใช้เป็นเวลา3 ปี 1 เดือน 24 วัน ไปชดใช้เวลาที่จำเลยต้องทำงานชดใช้จำนวน 1 ปี6 เดือน 2 วัน ก่อน ซึ่งยังเหลือเวลาที่จำเลยทำงานชดใช้ไว้อีก 1 ปี 7 เดือน22 วัน และถือว่าจำเลยได้ทำงานชดใช้ตามสัญญาข้าราชการไปศึกษาหรือฝึกอบรมณ ต่างประเทศครบตามสัญญาแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาดังกล่าวอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6017/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องรื้ออาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต: ฟ้องไม่เคลือบคลุมแม้ไม่ได้ระบุวันที่ออกคำสั่งไม่อนุญาต
ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องโจทก์เป็นเรื่องจำเลยก่อสร้างอาคารพิพาทโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นและอาคารพิพาทไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎหมายได้มิได้อ้างเหตุว่าจำเลยกระทำการฝ่าฝืนคำสั่งไม่อนุญาตจึงไม่ต้องระบุมาในฟ้องถึงวันที่ออกคำสั่งไม่อนุญาต