พบผลลัพธ์ทั้งหมด 519 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 989/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเลยหน้าที่นายทะเบียนคนต่างด้าว, การปฏิเสธโดยปริยาย, สิทธิในการขอใบสำคัญ
โจทก์ยื่นคำร้องขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวต่อจำเลยซึ่งเป็นนายทะเบียนคนต่างด้าวเวลาล่วงเลยมา2ปีเศษแต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้พิจารณาคำร้องของโจทก์ตามอำนาจหน้าที่แต่อย่างใดการที่จำเลยจะต้องส่งคำร้องไปให้กองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากรตรวจสอบก่อนตามระเบียบก็เป็นเรื่องภายในของจำเลยการปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปถึง2ปีเศษโดยไม่ได้คัดค้านดำเนินการอย่างใดในเรื่องนี้นั้นเป็นการชี้ชัดให้เห็นถึงความละเลยเพิกเฉยไม่ติดตามดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ก่อให้เกิดความทุกข์ร้อนและเสียหายแก่โจทก์ถือได้โดยปริยายว่าจำเลยปฏิเสธที่จะออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้โจทก์เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์มีอำนาจฟ้อง ตามมาตรา8แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าวพ.ศ.2493เป็นเพียงบทบังคับให้ผู้เสียสัญชาติไทยต้องไปร้องขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวจากนายทะเบียนท้องที่ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รู้หรือควรรู้ว่าตนได้เสียไปซึ่งสัญชาติไทยมิฉะนั้นจะต้องมีความผิดและต้องรับโทษทางอาญาตามมาตรา21เท่านั้นการ้องขอเมื่อพ้นระยะเวลาดังกล่าวมิได้ทำให้เสียสิทธิอันมีอยู่แล้วแต่อย่างใดโจทก์จึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 989/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเลยการพิจารณาคำร้องขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ถือเป็นการโต้แย้งสิทธิและฟ้องร้องได้
โจทก์ยื่นคำร้องขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวต่อจำเลยซึ่งเป็นนายทะเบียนคนต่างด้าว เวลาล่วงเลยมา 2 ปีเศษ แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้พิจารณาคำร้องของโจทก์ตามอำนาจหน้าที่แต่อย่างใด การที่จำเลยจะต้องส่งคำร้องไปให้กองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากรตรวจสอบก่อนตามระเบียบ ก็เป็นเรื่องภายในของจำเลย การปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปถึง 2 ปีเศษ โดยไม่ได้ดำเนินการอย่างใดในเรื่องนี้นั้น เป็นการชี้ชัดให้เห็นถึงความละเลยเพิกเฉยไม่ติดตามดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ ก่อให้เกิดความทุกข์ร้อนและเสียหายแก่โจทก์ ถือได้โดยปริยายว่าจำเลยปฏิเสธที่จะออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้โจทก์ เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์มีอำนาจฟ้อง
ตามมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.การทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ.2493เป็นเพียงบทบังคับให้ผู้เสียสัญชาติไทยต้องไปร้องขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวจากนายทะเบียนท้องที่ภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ได้รู้หรือควรรู้ว่าตนได้เสียไปซึ่งสัญชาติไทย มิฉะนั้นจะต้องมีความผิดและต้องรับโทษทางอาญาตามมาตรา 21 เท่านั้นการร้องขอเมื่อพ้นระยะเวลาดังกล่าวมิได้ทำให้เสียสิทธิอันมีอยู่แล้วแต่อย่างใด โจทก์จึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอได้
ตามมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.การทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ.2493เป็นเพียงบทบังคับให้ผู้เสียสัญชาติไทยต้องไปร้องขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวจากนายทะเบียนท้องที่ภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ได้รู้หรือควรรู้ว่าตนได้เสียไปซึ่งสัญชาติไทย มิฉะนั้นจะต้องมีความผิดและต้องรับโทษทางอาญาตามมาตรา 21 เท่านั้นการร้องขอเมื่อพ้นระยะเวลาดังกล่าวมิได้ทำให้เสียสิทธิอันมีอยู่แล้วแต่อย่างใด โจทก์จึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 891/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อนุญาตยื่นคำให้การและการไต่สวนข้อเท็จจริงว่าจำเลยทราบการถูกฟ้องหรือไม่ ศาลต้องไต่สวนก่อน
การที่จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การโดยอ้างว่าขณะที่มีการปิดสำเนาคำฟ้องที่ภูมิลำเนาของจำเลยจำเลยไปพักอาศัยอยู่กับบุตรที่ต่างจังหวัดนั้นยังไม่พอฟังว่าจำเลยจงใจจะไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนดการที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องโดยไม่ได้ไต่สวนให้ได้ความว่าจำเลยทราบว่าตนถูกฟ้องแล้วไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนดก่อนจึงไม่ชอบและการที่ศาลอุทธรณ์ภาค1วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่งก็เป็นการไม่ชอบเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 891/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดยื่นคำให้การ: จำเลยต้องทราบการฟ้องและมีเจตนาไม่ยื่น
คำร้องขอยื่นคำให้การของจำเลยอ้างว่าขณะที่มีการปิดสำเนาคำฟ้องที่ภูมิลำเนาของจำเลยนั้น จำเลยไปพักอาศัยอยู่กับบุตรที่ต่างจังหวัด การพิจารณาว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาให้ได้ความว่าจำเลยทราบว่าตนถูกฟ้องตามหมายเรียกให้ยื่นคำให้การแล้วไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด ที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องโดยไม่ได้ทำการไต่สวนให้สิ้นกระแสความเสียก่อนเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 887/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจการจดทะเบียนสิทธิเก็บกิน: ความเห็นของกรมที่ดินไม่ใช่การโต้แย้งสิทธิและไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิเสธการจดทะเบียน
การที่กรมที่ดินจำเลยให้ความเห็นแก่เจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางกะปิ ว่า การจดทะเบียนสิทธิเก็บกินที่ผู้ทรงสิทธิเก็บกินเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย พนักงานเจ้าหน้าที่จะรับจดทะเบียนให้ไม่ได้ การให้ความเห็นดังกล่าวเพื่อประกอบการพิจารณาแก่เจ้าพนักงานที่ดิน เท่านั้น ส่วนการรับหรือไม่รับจดทะเบียนสิทธิเก็บกินเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่ดินตาม ป. ที่ดิน มาตรา 71 โดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวกับจำเลยเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินไม่จดทะเบียนสิทธิเก็บกิน จึงเป็นการกระทำของเจ้าพนักงานที่ดินตามหน้าที่ที่ ป.ที่ดินให้ไว้โดยเฉพาะไม่เกี่ยวข้องกับจำเลย การให้ความเห็นของจำเลยจึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 853/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเวนคืนที่ดิน: การคำนวณค่าทดแทน, ดอกเบี้ย, และขอบเขตการชดเชยความเสียหาย
ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่295ได้กำหนดวิธีการเวนคืนไว้ในข้อ63และข้อ78มีความหมายว่าจะตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนหรือพระราชกฤษฎีกา กำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างไว้ก่อนก็ได้หรือจะกระทำโดยออกพระราชบัญญัติเวนคืนโดยไม่ต้องออกพระราชกฤษฎีกาก่อนก็ได้จำเลยทั้งสองได้มีหนังสือแจ้งถึงโจทก์เพื่อที่จำเลยทั้งสองและผู้ที่ได้รับมอบหมายจะได้เข้าทำการสำรวจและเข้าครอบครองที่ดินของโจทก์บางส่วนแล้วได้มีการประชุมกำหนดราคาค่าทดแทนกันจึงถือว่าจำเลยทั้งสองได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว การกำหนดเงิน ค่าทดแทนสำหรับที่ดินของโจทก์ต้องกำหนดเท่าราคาทรัพย์สินตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายกันในท้องตลาดแม้โจทก์จะไม่ได้นำสืบให้เห็นโดยตรงว่าที่ดินของโจทก์มีราคาตามธรรมดาที่ซื้อขายกันในท้องตลาดในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงฯพ.ศ.2523ใช้บังคับเท่าใดแต่โจทก์ได้นำสืบถึงราคาที่ดินในย่านถนน เพชรเกษม ซึ่งอยู่ห่างจากที่ดินโจทก์ประมาณ800เมตรทั้งในเวลาก่อนและหลังพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับศาลฎีกาจึงใช้ดุลพินิจกำหนดเงินค่าทดแทนตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดให้แก่โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 837/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผ่านทางจำเป็นและค่าทดแทน: เงื่อนไขการใช้สิทธิและการกำหนดค่าเสียหาย
ที่ดินของโจทก์ติดกับลำรางสาธารณะ แต่ลำรางไม่มีน้ำที่จะใช้เป็นทางสัญจรทางเรือตลอดเวลา เพราะบางฤดูน้ำแห้งและเป็นโคลน มีสภาพตื้นเขินประชาชนที่อาศัยอยู่ตามริมลำรางไม่ได้ใช้เป็นทางสัญจรมาประมาณ 10 ปีแล้ว จึงไม่เป็นทางสาธารณะตาม ป.พ.พ.มาตรา 1349 ที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์จึงมีสิทธิผ่านที่ดินของจำเลยในฐานะเป็นทางจำเป็นเพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะที่ใกล้ที่สุดได้ โดยให้โจทก์มีสิทธิในทางเพียงเพื่อความจำเป็นในการเข้าออกที่ดินตามปกติที่มิใช่การค้า
จำเลยฎีกาว่าทางในที่ดินของจำเลยเป็นถนนส่วนบุคคลไม่ใช่ที่ดินว่างเปล่า จึงไม่มีกฎหมายในเรื่องทางจำเป็นที่จะบังคับให้จำเลยยินยอมให้โจทก์ใช้ถนนของจำเลยได้ โดยจำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และมิใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ฟ้องขอให้บังคับจำเลยเปิดทางจำเป็น และได้เสนอค่าทดแทนความเสียหายให้แก่จำเลยและจำเลยให้การต่อสู้ในข้อนี้ แต่คำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้ขอให้บังคับจำเลยรับเงินค่าทดแทนความเสียหายที่โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยและจำเลยก็มิได้ฟ้องแย้งเรียกร้องค่าทดแทนดังกล่าวว่าควรจะเป็นจำนวนเท่าใดที่โจทก์ฎีกาว่า ค่าทดแทนความเสียหายที่โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยตามที่โจทก์เสนอมาพอสมควรหรือไม่ ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าค่าทดแทนที่โจทก์เสนอมาเป็นจำนวนน้อยไม่คุ้มกับความเสียหายที่จำเลยจะได้รับและข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอที่จะกำหนดค่าทดแทนนั้น ศาลฎีกาจึงยังไม่วินิจฉัยให้ ชอบที่จำเลยจะว่ากล่าวเอาแก่โจทก์ในเรื่องค่าทดแทนความเสียหายเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก
แม้ ป.พ.พ.มาตรา 1352 จะบัญญัติว่าเจ้าของที่ดินต้องยอมให้ผู้อื่นวางท่อน้ำ ท่อระบายน้ำ สายไฟฟ้า หรือสิ่งอื่นซึ่งคล้ายกันผ่านที่ดินของตนเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินติดต่อก็ตาม แต่ความในมาตรานี้ก็บัญญัติไว้ด้วยว่าเจ้าของที่ดินจะต้องยอมก็ต่อเมื่อได้รับค่าทดแทนตามสมควรแล้ว ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ที่จะวางต้องบอกกล่าวเสนอจำนวนค่าทดแทนให้เจ้าของที่ดินทราบก่อน ตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่าก่อนฟ้องคดีโจทก์เคยบอกกล่าวเสนอค่าทดแทนแก่จำเลย ทั้งคำขอท้ายฟ้องโจทก์ก็มิได้ขอให้จำเลยรับเงินค่าทดแทนจากโจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิตาม ป.พ.พ.มาตรา 1352 ได้หรือไม่
จำเลยฎีกาว่าทางในที่ดินของจำเลยเป็นถนนส่วนบุคคลไม่ใช่ที่ดินว่างเปล่า จึงไม่มีกฎหมายในเรื่องทางจำเป็นที่จะบังคับให้จำเลยยินยอมให้โจทก์ใช้ถนนของจำเลยได้ โดยจำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และมิใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ฟ้องขอให้บังคับจำเลยเปิดทางจำเป็น และได้เสนอค่าทดแทนความเสียหายให้แก่จำเลยและจำเลยให้การต่อสู้ในข้อนี้ แต่คำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้ขอให้บังคับจำเลยรับเงินค่าทดแทนความเสียหายที่โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยและจำเลยก็มิได้ฟ้องแย้งเรียกร้องค่าทดแทนดังกล่าวว่าควรจะเป็นจำนวนเท่าใดที่โจทก์ฎีกาว่า ค่าทดแทนความเสียหายที่โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยตามที่โจทก์เสนอมาพอสมควรหรือไม่ ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าค่าทดแทนที่โจทก์เสนอมาเป็นจำนวนน้อยไม่คุ้มกับความเสียหายที่จำเลยจะได้รับและข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอที่จะกำหนดค่าทดแทนนั้น ศาลฎีกาจึงยังไม่วินิจฉัยให้ ชอบที่จำเลยจะว่ากล่าวเอาแก่โจทก์ในเรื่องค่าทดแทนความเสียหายเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก
แม้ ป.พ.พ.มาตรา 1352 จะบัญญัติว่าเจ้าของที่ดินต้องยอมให้ผู้อื่นวางท่อน้ำ ท่อระบายน้ำ สายไฟฟ้า หรือสิ่งอื่นซึ่งคล้ายกันผ่านที่ดินของตนเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินติดต่อก็ตาม แต่ความในมาตรานี้ก็บัญญัติไว้ด้วยว่าเจ้าของที่ดินจะต้องยอมก็ต่อเมื่อได้รับค่าทดแทนตามสมควรแล้ว ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ที่จะวางต้องบอกกล่าวเสนอจำนวนค่าทดแทนให้เจ้าของที่ดินทราบก่อน ตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่าก่อนฟ้องคดีโจทก์เคยบอกกล่าวเสนอค่าทดแทนแก่จำเลย ทั้งคำขอท้ายฟ้องโจทก์ก็มิได้ขอให้จำเลยรับเงินค่าทดแทนจากโจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิตาม ป.พ.พ.มาตรา 1352 ได้หรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 837/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิใช้ทางจำเป็น การกำหนดความกว้างของทางและค่าทดแทนความเสียหาย
ที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินของจำเลยทั้งสองและของผู้มีชื่อปิดล้อมไม่อาจออกสู่ทางสาธารณะได้แม้ทางด้านทิศตะวันออกติดกับลำรางสาธารณะแต่สภาพปัจจุบันตื้นเขินประชาชนไม่ได้ใช้สัญจรมาประมาณ10ปีจึงถือไม่ได้ว่าที่ดินของโจทก์ติดทางสาธารณะเมื่อวัดจากที่ดินของโจทก์ผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองออกสู่ทางสาธารณะเป็นระยะใกล้ที่สุดโจทก์ย่อมได้สิทธิ ทางจำเป็นเหนือที่ดินของจำเลยทั้งสอง เมื่อโจทก์มีสิทธิใช้ทางจำเป็นผ่านที่ดินของจำเลยศาลก็ไม่สมควรจำกัดสิทธิให้ผ่านได้เฉพาะรถยนต์โดยควรให้โจทก์มีสิทธิใช้เดินด้วยเท้าด้วย การที่โจทก์จะใช้สิทธิติดตั้งไฟฟ้าท่อน้ำประปาท่อระบายน้ำโทรศัพท์และสาธารณูปโภคอันจำเป็นอื่นๆผ่านที่ดินของจำเลยนั้นเมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เสนอ ค่าทดแทนตามสมควรแก่จำเลยนั้นตามนัยมาตรา1352แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และคำขอท้ายฟ้องมิได้ขอให้จำเลยรับเงิน ค่าทดแทนจากโจทก์จึง ไม่มี ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ชอบจะใช้สิทธิตามมาตรา1352หรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 722/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยในความผิดหลายกระทง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษ แต่ยังคงลงโทษฐานเสพยาเสพติดด้วย
โจทก์ฟ้องจำเลยให้การรับสารภาพศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ.2522มาตรา15วรรคหนึ่ง,26วรรคหนึ่งประกอบมาตรา67,76วรรคหนึ่ง,91,92เป็นความผิดหลายกรรมเรียกกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา91ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองจำคุก2ปีฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองจำคุก6เดือนฐานเสพเฮโรอีนและกัญชาจำคุก1ปีรวมโทษจำคุก3ปี6เดือนลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา78กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลย1ปี9เดือนของกลางริบจำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียวศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองจำคุก1ปีฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองจำคุก3เดือนและปรับ1,000บาทรวมโทษจำคุก2ปี3เดือนและปรับ1,000บาทลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา78คงจำคุก1ปี1เดือน15วันและปรับ500บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด2ปีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา56ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา29,30นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นความผิดฐานเสพเฮโรอีนและกัญชาศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาแก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 722/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด: ครอบครอง, เสพ, และโทษทางอาญา
โจทก์ฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15วรรคหนึ่ง, 26 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 67, 76 วรรคหนึ่ง, 91, 92เป็นความผิดหลายกรรม เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง จำคุก 2 ปี ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครอง จำคุก6 เดือน ฐานเสพเฮโรอีนและกัญชา จำคุก 1 ปี รวมโทษจำคุก 3 ปี 6 เดือนลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลย 1 ปี9 เดือน ของกลางริบ จำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียว ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง จำคุก 1 ปี ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครอง จำคุก 3 เดือน และปรับ 1,000 บาท รวมโทษจำคุก 2 ปี 3 เดือนและปรับ 1,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 1 ปี 1 เดือน 15 วัน และปรับ 500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น ความผิดฐานเสพเฮโรอีนและกัญชาศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาแก้ คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น