คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุชาติ ถาวรวงษ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 644 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหักลดหย่อนผลขาดทุนสะสมทางบัญชีกับการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล: ผลขาดทุนสะสมทางบัญชีมิใช่ผลขาดทุนสุทธิทางภาษีอากร
ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 65 ตรี (12) ที่บัญญัติให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนำผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 ปี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปีปัจจุบันมาหักเป็นรายจ่ายได้นั้น ตามแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล(ภ.ง.ด.50) ของโจทก์ ปรากฏว่าผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 ปี ตาม ป.รัษฎากรมาตรา 65 ตรี (12) อยู่ในรายการที่ 5 (47) ว่าด้วยรายได้ รายจ่ายและกำไรหรือขาดทุนสุทธิ แต่ผลขาดทุนสะสมจำนวน 11,849,473.86 บาท ที่เจ้าพนักงานของจำเลยนำมาถือเป็นผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 ปี นำมาปรับปรุงหักเป็นรายจ่ายให้แก่โจทก์ในการคำนวณกำไรขาดทุนสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีปี 2528นั้นอยู่ในรายการที่ 6 (13) ว่าด้วยหนี้สินและทุน จึงเห็นได้ว่าเป็นการแยกต่างหากออกจากกันคนละรายการและเป็นคนละเรื่อง ทั้งในรายการที่ 5 (47) ก็ระบุเฉพาะแต่ผลขาดทุนสุทธิเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ต่างกับรายการที่ 6 (13)ได้ระบุถึงผลกำไรสะสมหรือขาดทุนสะสมคือมีทั้งกำไรหรือขาดทุน รายการที่ 6(13) นี้จึงเป็นเรื่องหนี้สินและทุนที่ยกมาทางบัญชี ผลขาดทุนสะสมตามรายการที่ 6(13) จึงมิใช่ผลขาดทุนสุทธิทางภาษีอากร เพราะผลขาดทุนสุทธิทางภาษีอากรนั้นต้องคำนวณตาม ป.รัษฎากร มาตรา 65 ทวิ และ 65 ตรี ซึ่งตามแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50) ของรอบระยะเวลาบัญชีปี 2527ของโจทก์ก็ระบุว่าโจทก์มีผลขาดทุนสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2527 จำนวน18,571,825.52 บาท อันเป็นผลขาดทุนสุทธิทางภาษีอากร ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยนำยอดเงินจำนวน 11,849,473.86 บาทที่โจทก์ระบุในรายการที่ 6 (13) อันเป็นผลขาดทุนสะสมทางบัญชีมาถือเป็นผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 ปี และนำมาปรับปรุงหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรขาดทุนสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีปี 2528 ของโจทก์นั้นจึงเป็นการไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย
แม้ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 50 (1) โจทก์จะมีหน้าที่หักภาษีณ ที่จ่ายเมื่อมีการจ่ายเงินได้พึงประเมินให้พนักงาน แต่กฎหมายดังกล่าวก็มิได้บังคับให้โจทก์มีหน้าที่ขอหลักฐานการชำระเบี้ยประกันชีวิตและดอกเบี้ยดังกล่าวจากพนักงานเพื่อนำมาแสดงต่อจำเลย อีกทั้งหลักฐานการชำระเบี้ยประกันชีวิตและดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นหลักฐานที่บุคคลภายนอกออกให้แก่พนักงานโจทก์เพื่อเก็บไว้ใช้อ้างอิง มิใช่หลักฐานที่ออกให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีหน้าที่เก็บหลักฐานดังกล่าวไว้แสดงต่อจำเลย หากจำเลยสงสัยว่าหลักฐานดังกล่าวมีอยู่จริงหรือไม่จำเลยก็สามารถเรียกพนักงานโจทก์มาสอบปากคำหรือทำการตรวจสอบแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่พนักงานโจทก์ยื่นไว้แล้วต่อจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 121/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบทรัพย์สินต้องเชื่อมโยงกับความผิดที่ฟ้องและพิสูจน์ได้ การรับสารภาพหลังศาลตัดสินแล้วไม่เพียงพอต่อการริบ
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(2) ระบุถึงทรัพย์สินที่ศาลจะมีอำนาจสั่งริบได้นั้นต้องเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยได้กระทำความผิด ซึ่งหมายถึงว่า จะ ต้องมีการฟ้องจำเลยในความผิดฐานใดฐานหนึ่งและได้มีการพิสูจน์ความผิดนั้นแล้วและศาลพิพากษาว่าจำเลยได้กระทำ ความผิดจึงจะริบทรัพย์สินนั้นได้ อันถือเป็นการลงโทษอย่างหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 18(5) เมื่อธนบัตรมิใช่ทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 ดังนั้น การที่โจทก์ยังมิได้ฟ้องจำเลยถึงการขายเมทแอมเฟตามีนในครั้งก่อนโดยตรงเพียงแต่กล่าวอ้างพาดพิงถึงว่าเป็นทรัพย์ที่จำเลยได้มาจากการขายเมทแอมเฟตามีนในครั้งก่อน จึงยังไม่เป็นการเพียงพอตามเจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18(5) และ 33(2)เพื่อลงโทษจำเลยด้วยการริบทรัพย์สิน และแม้ว่าจำเลยจะได้ให้การรับสารภาพหรือให้ความยินยอมในชั้นฎีกาเพื่อให้คดีเสร็จไปจากศาลฎีกาโดยเร็วก็ตาม ศาลก็ไม่อาจสั่งริบธนบัตรของกลางได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 120/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเฮโรอีนเพื่อจำหน่าย: พยานหลักฐานน่าเชื่อถือ, พฤติการณ์, และการลดโทษ
การที่พยานโจทก์ทั้งสองตรวจท้องที่มาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ เห็นจำเลยถือถุงกระดาษเดินสวนทางมาท่าทางมีพิรุธจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและขอตรวจค้นถุงกระดาษที่จำเลยถือพบเฮโรอีนของกลาง โดยที่พยานทั้งสองปากไม่เคยรู้จักและไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนและขณะนั้นจำเลยเป็นหญิงมีครรภ์แก่ถึง 8 เดือน หากเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริง พยานทั้งสองก็คงจะไม่มีจิตใจโหดร้ายพอที่จะปรักปรำและใส่ร้ายถึงขนาดนั้น โดยเฉพาะ ก.เป็นนายตำรวจสัญญาบัตรชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้มีวัยวุฒิ สูงแล้วคงจะมีความรู้สึกสำนึกในมโนธรรมอยู่บ้าง อีกทั้งที่เกิดเหตุก็เป็นบริเวณถนนซอยสาธารณะเป็นที่เปิดเผยย่อมเป็นที่รู้เห็นแก่ประชาชนผู้สัญจรไปมาทั่ว ๆ ไป รูปการณ์จึงไม่มีเหตุและความจำเป็นที่พยานทั้งสองจะเสี่ยงกระทำในสิ่งที่ไม่ชอบธรรมและโดยปราศจากข้อความจริงเช่นนั้น พยานหลักฐานโจทก์จึงกอปรด้วยเหตุผลมีน้ำหนักน่ารับฟังส่วนพยานจำเลยมีนางส.ซึ่งนอกจากจะเป็นมารดาของจำเลยแล้วก็ยังมิได้อยู่รู้เห็นในที่เกิดเหตุ และถึงอย่างไรวิสัยมารดาย่อมต้องรักห่วงบุตรยิ่งกว่าชีวิต สำหรับพยานปากอื่นของจำเลยก็เบิกความขัดกันจึงมีพิรุธน่าสงสัย ทั้งพยานจำเลยที่อยู่ในที่เกิดเหตุระหว่างนั้นก็น่าจะพอรู้เห็นได้ว่าถุงกระดาษของกลางเป็นของบุคคลใดเนื่องจากราคาเฮโรอีนที่อยู่ในถุงกระดาษมีราคาถึง 32,000 บาท จึงมิใช่เรื่องเล็กน้อยที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะนำมาวางทิ้งไว้เสมือนหนึ่งไม่สนใจใยดีอย่างนั้นพฤติการณ์พยานจำเลยจึงมีข้อสงสัยขึ้นอีกไม่มีน้ำหนักรับฟังพอแก่การหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 99/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุปัญหาข้อเท็จจริงใหม่ และแก้ไขโทษเล็กน้อยเกินกว่าฎีกาได้
แม้การจับกุมจะมิชอบด้วยกฎหมายประการใดหรือไม่ก็ตามก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวต่อกันอีกส่วนหนึ่งต่างหากไม่กระทบกระเทือนถึงการฟ้องคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 จำเลยจะยกขึ้นฎีกาในปัญหาข้อนี้มิได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาตอนหนึ่งว่าการ สอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะมิได้ทำต่อหน้าทนายความหรือให้โอกาสแก่จำเลยได้พบและปรึกษากับทนายความก่อนนั้นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไม่มีปัญหาเข้าสู่การวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 เนื่องจากจำเลยไม่เคยยกปัญหานี้ขึ้นโต้แย้งในศาลดังกล่าว ฎีกาของจำเลยจึงขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 วรรคหนึ่งนอกจากนี้แม้จำเลยจะอ้างว่าประสงค์จะฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแต่ในเมื่อจำเลยต้องอ้างอิงถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่งศาลจะวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายได้ก็ต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่ว่านี้เสียก่อนว่าเป็นประการใดเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นฎีกา ฎีกาของจำเลยในลักษณะเช่นนี้จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาเพียงแต่แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า คำขอที่ให้บวกโทษของจำเลยให้ยกเสีย เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาของจำเลยมาศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 47/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษฐานสนับสนุนการกระทำความผิด แม้ฟ้องฐานตัวการ ศาลลงโทษฐานสนับสนุนได้หากโทษเบากว่า
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันชิงทรัพย์ของผู้เสียหายโดยใช้กำลังประทุษร้าย และใช้มีดเป็นอาวุธแทงผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งโจทก์ก็ได้นำสืบไปตามข้อหาดังระบุในฟ้องและตรงตามคำขอท้ายฟ้องที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ด้วยนั้น เห็นได้ว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณามิได้แตกต่างกับข้อเท็จจริง ซึ่ง กล่าวในฟ้องและตรงตามคำขอท้ายฟ้องที่โจทก์ขอลงโทษแล้วแม้ข้อเท็จจริงตามพฤติการณ์และการกระทำของจำเลยจะฟังได้ว่าจำเลยเป็นเพียงสนับสนุนช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก ผู้อื่นในการทำร้ายร่างกายผู้เสียหายบาดเจ็บสาหัสโดยโจทก์มิได้บรรยายมาในฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้สนับสนุนตามที่โจทก์ฟ้องได้ เพราะความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดมีโทษเบากว่าการกระทำความผิดฐานเป็นตัวการตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8394/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการใช้ทางออกของที่ดิน: ที่ดินไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ จำเลยต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยต้องผ่านที่ดินของจำเลยตามฟ้องหรือไม่ คู่ความท้ากันว่าหากทำแผนที่พิพาทได้ข้อเท็จจริงว่าที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะจำเลยยอมแพ้ แต่ถ้าปรากฏว่าที่ดินโจทก์สามารถออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์ยอมแพ้คำท้าที่ว่าไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ย่อมหมายความตามที่วิญญูชนทั่วไปเข้าใจกล่าวคือ ย่อมหมายความรวมทั้งไม่มีทางออกและมีทางออกแต่ไม่สามารถใช้ทางออกนั้นได้ เมื่อศาลชั้นต้นไปเผชิญสืบที่พิพาทปรากฏว่า ที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศใต้อยู่ติดกับทางส่วนบุคคลซึ่งเจ้าของทางไม่อนุญาตให้โจทก์ผ่านทางดังกล่าว ส่วนที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนือติดกับที่ดินของจำเลย และทิศเหนือติดกับที่ดินของจำเลยเป็นทางสาธารณะประโยชน์ ด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกของที่ดินโจทก์ติดกับที่ดินของบุคคลอื่น จากสภาพดังกล่าวถือได้ว่า ที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ จำเลยจึงต้องแพ้คดีตามคำท้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8394/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีความคำท้าทางกฎหมาย: 'ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ' ครอบคลุมทั้งไม่มีทางออกและใช้ทางออกไม่ได้
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยต้องผ่านที่ดินของจำเลยตามฟ้อง หรือไม่ คู่ความท้ากันว่าหากทำแผนที่พิพาทได้ข้อเท็จจริง ว่าที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะจำเลยยอมแพ้ แต่ถ้าปรากฏว่าที่ดินโจทก์สามารถออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์ ยอมแพ้คำท้าที่ว่าไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ย่อมหมายความตาม ที่วิญญูชนทั่วไปเข้าใจกล่าวคือ ย่อมหมายความรวมทั้งไม่มี ทางออกและมีทางออกแต่ไม่สามารถใช้ทางออกนั้นได้ เมื่อศาลชั้นต้นไปเผชิญสืบที่พิพาทปรากฏว่า ที่ดินของโจทก์ ทางด้านทิศใต้อยู่ติดกับทางส่วนบุคคลซึ่งเจ้าของทางไม่อนุญาต ให้โจทก์ทางดังกล่าว ส่วนที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนือ ติดกับที่ดินของจำเลย และทิศเหนือติดกับที่ดินของจำเลย เป็นทางสาธารณะประโยชน์ ด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ของที่ดินติดกับที่ดินของบุคคลอื่น จากสภาพดังกล่าวถือได้ว่า ที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ จำเลยจึงต้อง แพ้คดีตามคำท้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8393/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ต้องเริ่มนับระยะเวลาเมื่อที่ดินมีโฉนด ที่ดินมือเปล่ายังไม่สามารถครอบครองปรปักษ์ได้
ตราบใดที่ที่ดินพิพาทยังเป็นที่ดินมือเปล่าอยู่ ย่อมครอบครองปรปักษ์ไม่ได้ จะครอบครองปรปักษ์ได้ต่อเมื่อเป็นที่ดินมีโฉนด เพราะที่ดินมีโฉนดเท่านั้นที่บุคคลอาจมีกรรมสิทธิ์ได้ ดังนี้ ระยะเวลาการเริ่มครอบครองปรปักษ์ต้องเริ่มนับแต่วันที่ที่ดินพิพาทมีโฉนด
ที่ดินพิพาทผู้ร้องครอบครองจนถึงวันยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินต่อศาลเพิ่งออกโฉนดมายังไม่ถึง 10 ปี ผู้ร้องจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1382 ผู้ร้องคงมีเพียงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเท่านั้น
ป.วิ.พ.มาตรา 161 กำหนดให้ศาลต้องสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม ไม่ว่าคู่ความจะมีคำขอหรือไม่ แม้จะให้เป็นพับกันไปก็ต้องสั่ง การที่ศาลชั้นต้นมิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม ศาลฎีกาจึงแก้ไขเสียให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8393/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ต้องเริ่มนับเมื่อที่ดินมีโฉนด การครอบครองก่อนหน้านั้นไม่นับ
ตราบใดที่ที่ดินพิพาทยังเป็นที่ดินมือเปล่าอยู่ย่อมครอบครองปรปักษ์ไม่ได้ จะครอบครองปรปักษ์ได้ต่อเมื่อเป็นที่ดินมีโฉนด เพราะที่ดินมีโฉนดเท่านั้นที่บุคคลอาจมีกรรมสิทธิ์ได้ ดังนี้ ระยะเวลาการเริ่มครอบครองปรปักษ์ต้องเริ่มนับแต่วันที่ที่ดินพิพาทมีโฉนด ที่ดินพิพาทผู้ร้องครอบครองจนถึงวันยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินต่อศาลเพิ่งออกโฉนดมายังไม่ถึง10 ปี ผู้ร้องจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ผู้ร้องคงมีเพียงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเท่านั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 กำหนดให้ศาลต้องสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม ไม่ว่าคู่ความจะมีคำขอหรือไม่ แม้จะให้เป็นพับกันไปก็ต้องสั่งการที่ศาลชั้นต้นมิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมศาลฎีกาจึงแก้ไขเสียให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8226/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญาเช็ค: ต้องระบุ 'หนี้ที่มีอยู่จริง' ตาม พ.ร.บ.เช็ค
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิด อันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 โดยบรรยายไว้เพียงว่า "โดยมีจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้ อันสามารถบังคับได้ตามกฎหมายให้แก่โจทก์ ฯลฯ" ซึ่งขาด องค์ประกอบคำว่า "ที่มีอยู่จริง" ดังนั้น แม้จำเลยจะ สั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้โจทก์อันมีลักษณะบังคับได้หรือ อันสามารถบังคับได้ตามกฎหมายก็ตาม แต่หากไม่มีหนี้ที่มีอยู่จริง การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิดเมื่อฟ้องโจทก์บรรยาย องค์ประกอบแห่งความผิดดังกล่าวขาดไป กรณีจึงเป็นฟ้องที่ ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพและมิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นฎีกาแต่ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาชอบที่จะหยิบยกขึ้นพิจารณา และพิพากษายกฟ้องโจทก์
of 65