คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุชาติ ถาวรวงษ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 644 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 491/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับผิดของผู้ขายต่อความเสียหายของสินค้าที่อยู่ระหว่างการส่งมอบหลังการชำระเงิน และการรับช่วงสิทธิ
น.ซื้อสินค้าจำพวกวัสดุก่อสร้างจากโจทก์ที่ 2 เป็นเงิน31,300 บาท ได้ชำระราคาแล้วและตกลงให้โจทก์ที่ 2 จัดส่งสินค้าที่ซื้อไปยังภูมิลำเนาของ น. โจทก์ที่ 2 จึงให้ลูกจ้างของตนขับรถยนต์บรรทุกของโจทก์ที่ 1บรรทุกสินค้าดังกล่าวไปส่งให้ตามที่ตกลง ระหว่างทางถูกรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งจำเลยที่ 1 ขับมาในทางการที่จ้างด้วยความประมาทเลินเล่อชน ทำให้สินค้าที่ น.ซื้อมาได้รับความเสียหาย โจทก์ที่ 2 จึงชำระราคาสินค้าให้แก่ทายาทของ น.ไป เมื่อโจทก์ที่ 2 ยังมีภาระผูกพันที่จะต้องส่งมอบสินค้าที่ น.ซื้อจากโจทก์ที่ 2 ไปยังภูมิลำเนาของ น.ตามที่ตกลงไว้ ดังนั้นแม้กรรมสิทธิ์ในสินค้าได้ตกเป็นของ น.ในขณะทำสัญญาซื้อขายกันแล้วก็ตาม แต่โจทก์ที่ 2 ก็ยังมีหน้าที่ที่จะต้องส่งมอบสินค้าให้ น. ณ ภูมิลำเนาของ น. เมื่อสินค้าไปไม่ถึงเพราะเกิดความเสียหายขึ้นเสียก่อน จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่ 2 ผู้ขายที่จะต้องรับผิดชอบต่อ น. เมื่อโจทก์ที่ 2 ชำระราคาสินค้านั้นให้แก่ทายาทของ น.ไปโจทก์ที่ 2 จึงเข้าสู่ฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิของ น. ตามบทบัญญัติแห่งประมวล-กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 227 มาฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะนายจ้างให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1กระทำไปในทางการที่จ้างได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 491/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับช่วงสิทธิของผู้ขายเมื่อสินค้าเสียหายระหว่างส่งมอบ และอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้กระทำละเมิด
น. ซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้างจากโจทก์ ได้ชำระราคาแล้วและตกลงให้โจทก์จัดส่งสินค้าที่ซื้อไปยังภูมิลำเนาของ น.โจทก์จึงให้ลูกจ้างของตนขับรถยนต์บรรทุกสินค้าไปส่งระหว่างทางถูกรถยนต์ซึ่งจำเลยขับมาด้วยความประมาทเลินเล่อชนทำให้สินค้าเสียหายทั้งหมด ดังนั้น แม้กรรมสิทธิ์ในสินค้าที่โจทก์ขายให้ได้ตกเป็นของ น. ในขณะทำสัญญาซื้อขายกันแล้วก็ตาม แต่โจทก์ก็ยังมีหน้าที่ที่จะต้องส่งมอบสินค้าให้ น.เมื่อสินค้าเกิดความเสียหายขึ้นเสียก่อน จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ผู้ขายที่จะต้องรับผิดชอบต่อ น. เมื่อโจทก์ชำระราคาสินค้านั้นให้แก่ทายาทของ น. ไป โจทก์จึงเข้าสู่ฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิของ น. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 227 มาฟ้องจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 491/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่ส่งมอบสินค้าของผู้ขาย & การรับช่วงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากละเมิดทางการจ้าง
แม้ กรรมสิทธิ์ในสินค้าที่โจทก์ที่2ขายได้ตกเป็นของผู้ซื้อในขณะทำสัญญา ซื้อขายกันแล้วแต่โจทก์ที่2ก็ยังมีหน้าที่ที่ต้องส่งมอบสินค้าให้ผู้ซื้อณภูมิลำเนาของผู้ซื้อเมื่อสินค้าเกิดความเสียหายขึ้นจากอุบัติเหตุที่จำเลยที่1ได้ก่อขึ้นโดย ละเมิดใน ทางการที่จ้างของจำเลยที่2และที่3ก่อนที่จะส่งสินค้าไปถึงภูมิลำเนาของผู้ซื้อย่อมเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่2ที่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ซื้อเมื่อโจทก์ที่2ชำระราคาสินค้าให้แก่ทายาทของผู้ซื้อไปจึง รับช่วงสิทธิมาฟ้องจำเลยทั้งสามได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 473/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำรับสารภาพที่ได้จากความกลัวและการข่มขู่ ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานพิสูจน์ความผิดได้ การตั้งข้อหาต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน
คำรับสารภาพที่ได้ความว่าหากจำเลยไม่ให้การรับสารภาพเจ้าพนักงานตำรวจก็จะต้องจับกุมภริยาจำเลยและคนในบ้านทั้งหมดด้วยเป็นคำรับสารภาพที่มีเหตุจูงใจและบังคับให้กลัวไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายจากการผิดสัญญาซื้อขายที่ดิน: ศาลมีอำนาจกำหนดตามส่วนต่างราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้น
การฟ้องให้ใช้เงินแก่โจทก์ตามราคาที่ดินขณะฟ้องส่วนที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่ดินที่ตกลงทำสัญญาจะซื้อขายกันนี้เป็นเงินที่โจทก์ขาดประโยชน์เนื่องจากการที่จำเลยไม่ได้จดทะเบียนโอนที่ดินให้เป็นของโจทก์ตามสัญญาจะซื้อขายถือเป็นการเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาแม้จำเลยไม่ได้ให้การโต้แย้งจำนวนเงินค่าเสียหายดังกล่าวโจทก์ผู้กล่าวอ้างก็มีหน้าที่นำสืบถึงจำนวนค่าเสียหายของโจทก์และศาลมีอำนาจพิจารณากำหนดค่าเสียหายให้ตามที่สมควรดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน280,000บาทจึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายจากสัญญาซื้อขายที่ดิน: โจทก์ต้องพิสูจน์จำนวนเงินที่ขาดประโยชน์จากการไม่จดทะเบียน
การฟ้องให้ใช้เงินแก่โจทก์ตามราคาที่ดินขณะฟ้อง ส่วนที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่ดินที่ตกลงทำสัญญาจะซื้อขายกันนี้เป็นเงินที่โจทก์ขาดประโยชน์เนื่องจากการที่จำเลยไม่ได้จดทะเบียนโอนที่ดินให้เป็นของโจทก์ตามสัญญาจะซื้อขาย ถือเป็นการเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา แม้จำเลยไม่ได้ให้การโต้แย้งจำนวนเงินค่าเสียหายดังกล่าว โจทก์ผู้กล่าวอ้างก็มีหน้าที่นำสืบถึงจำนวนค่าเสียหายของโจทก์ และศาลมีอำนาจพิจารณากำหนดค่าเสียหายให้ตามที่สมควรดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน 280,000 บาท จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายจากการผิดสัญญาซื้อขายที่ดิน ราคาที่ดินขณะฟ้องเป็นเกณฑ์ ศาลมีอำนาจพิจารณากำหนดค่าเสียหายตามสมควร
ราคาที่ดินขณะฟ้องส่วนที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่ดินตกลงทำสัญญาจะซื้อขายกันเป็นเงินค่าเสียหายที่โจทก์ขาดประโยชน์จากการที่จำเลยไม่จดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์ตามสัญญาแม้จำเลยไม่ได้ให้การโต้แย้งจำนวนเงินค่าเสียหายโจทก์ก็มีหน้าที่นำสืบถึงจำนวนเงินค่าเสียหายและศาลมีอำนาจพิจารณากำหนดค่าเสียหายให้ตามที่สมควร โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยเมื่อปี2528ในราคา105,000บาทแต่จำเลยผิดสัญญาไม่จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้จึงขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้หากไม่อาจจดทะเบียนโอนให้ได้ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ตามราคาที่ดินขณะฟ้อง(ปี2533)เป็นเงิน420,000บาทดังนั้นการที่ศาลกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน280,000บาทจึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 200/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิของบุคคลภายนอกในการคัดค้านการบังคับคดีและการคุ้มครองประโยชน์เมื่อถูกกระทบ
คดีก่อนที่จำเลยที่ 2 ฟ้องจำเลยที่ 1 ไม่ผูกพันโจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก แต่การที่โจทก์ขอให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์โดยห้ามมิให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายฉบับพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาในคดีก่อน ย่อมมีผลเป็นการให้งดการบังคับคดีในคดีก่อน ซึ่งคดีได้ถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิที่จะบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาได้หากจำเลยที่ 2 บังคับคดีให้เป็นที่เสียหายแก่โจทก์อย่างไร ก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ต่อไป โจทก์ไม่มีสิทธิมายื่นขอใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาเพื่อให้มีผลห้ามมิให้จำเลยที่ 2 ดำเนินการบังคับคดีในคดีดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อขายที่ดินฉบับพิพาทที่ทำขึ้นระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 หากจำเลยที่ 2 บังคับคดีในคดีก่อนรับโอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายฉบับพิพาทจากจำเลยที่ 1 แล้วโอนต่อไปยังบุคคลภายนอก อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ได้ โจทก์จึงมีสิทธิขอให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์โดยห้ามมิให้จำเลยที่ 2 โอนที่ดินดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นได้ แม้โจทก์จะเป็นสามีของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีสิทธิขอกันส่วนของโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 287 ก็ตาม แต่ก็ไม่มีบทกฎหมายใดบังคับให้โจทก์จำต้องใช้สิทธิขอกันส่วนแต่อย่างเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 200/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวของบุคคลภายนอกคดีเกี่ยวกับการบังคับคดีและการโอนที่ดิน
แม้คดีที่จำเลยที่2ฟ้องจำเลยที่1จะไม่ผูกพันโจทก์ในคดีนี้แต่การที่โจทก์ขอให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์โดยห้ามมิให้จำเลยที่1โอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายฉบับพิพาทให้แก่จำเลยที่2ย่อมมีผลเป็นการให้ งดการบังคับคดีในคดีซึ่งได้ถึงที่สุดแล้วจำเลยที่2ซึ่งเป็น เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิที่จะบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาได้หากจำเลยที่2บังคับคดีให้เป็นที่เสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีอย่างไรก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่2ต่อไปโจทก์หามีสิทธิมายื่นขอใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาเพื่อให้มีผลห้ามมิให้จำเลยที่2ดำเนินการบังคับคดีในคดีดังกล่าวไม่ โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อขายที่ดินฉบับพิพาทที่ทำขึ้นระหว่างจำเลยที่1กับจำเลยที่2หากจำเลยที่2บังคับคดีรับโอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายจากจำเลยที่1แล้วโอนต่อไปยัง บุคคลภายนอกอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ได้โจทก์จึงมีสิทธิขอให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์โดยห้ามมิให้จำเลยที่2โอนที่ดินดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นแม้โจทก์จะเป็นสามีของจำเลยที่1ซึ่งมีสิทธิขอกันส่วนของโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา287ก็ตามแต่ก็หามีบทกฎหมายใดบังคับให้โจทก์จำต้องใช้สิทธิ ขอกันส่วนแต่อย่างเดียวไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 200/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการคุ้มครองประโยชน์ของบุคคลภายนอกคดี การห้ามโอนที่ดินเพื่อป้องกันความเสียหาย
คดีก่อนที่จำเลยที่2ฟ้องจำเลยที่1ไม่ผูกพันโจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกแต่การที่โจทก์ขอให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์โดยห้ามมิให้จำเลยที่1โอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายฉบับพิพาทให้แก่จำเลยที่2ตามคำพิพากษาในคดีก่อนย่อมมีผลเป็นการให้งดการบังคับคดีในคดีก่อนซึ่งคดีได้ถึงที่สุดแล้วจำเลยที่2ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิที่จะบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาได้หากจำเลยที่2บังคับคดีให้เป็นที่เสียหายแก่โจทก์อย่างไรก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่2ต่อไปโจทก์ไม่มีสิทธิยื่นขอใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาเพื่อให้มีผลห้ามมิให้จำเลยที่2ดำเนินการบังคับคดีในคดีดังกล่าว โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อขายที่ดินฉบับพิพาทที่ทำขึ้นระหว่างจำเลยที่1กับจำเลยที่2หากจำเลยที่2บังคับคดีในคดีก่อนรับโอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายฉบับพิพาทจากจำเลยที่1แล้วโอนต่อไปยังบุคคลภายนอกอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ได้โจทก์จึงมีสิทธิขอให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์โดยห้ามมิให้จำเลยที่2โอนที่ดินดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นได้แม้โจทก์จะเป็นสามีของจำเลยที่1ซึ่งมีสิทธิขอกันส่วนของโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา287ก็ตามแต่ก็ไม่มีบทกฎหมายใดบังคับให้โจทก์จำต้องใช้สิทธิขอกันส่วนแต่อย่างเดียว
of 65