พบผลลัพธ์ทั้งหมด 644 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 190/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องคดีนายหน้าชัดเจนถึงนิติสัมพันธ์และข้อตกลงมอบอำนาจ แม้ไม่มีเอกสารแสดงใบมอบอำนาจก็ไม่ถือว่าฟ้องเคลือบคลุม
ฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยได้มอบอำนาจให้อ. เป็นตัวแทนในการขายที่ดินของจำเลยและอ.ในฐานะตัวแทนของจำเลยได้ตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้าเป็นการชัดเจนเพียงพอแก่การที่จำเลยจะต่อสู้คดีโจทก์ได้แล้วการที่โจทก์ไม่ได้เสนอใบมอบอำนาจมาด้วยก็หาทำให้จำเลยไม่เข้าใจสภาพแห่งข้อหาเพราะจำเลยสามารถให้การต่อสู้คดีได้ว่าตนมอบอำนาจให้อ.ทำการได้เพียงใดซึ่งอาจนำสืบรายละเอียดได้ชั้นพิจารณาไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 190/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจตัวแทนเพียงพอต่อการต่อสู้คดี การเสนอเอกสารมอบอำนาจไม่ใช่สาระสำคัญ
ฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยได้มอบอำนาจให้ อ.เป็นตัวแทนในการขายที่ดินของจำเลยและ อ.ในฐานะตัวแทนของจำเลยได้ตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้า เป็นการชัดเจนเพียงพอแก่การที่จำเลยจะต่อสู้คดีโจทก์ได้แล้ว การที่โจทก์ไม่ได้เสนอใบมอบอำนาจมาด้วย ก็หาทำให้จำเลยไม่เข้าใจสภาพแห่งข้อหา เพราะจำเลยสามารถให้การต่อสู้คดีได้ว่าตนมอบอำนาจให้ อ.ทำการได้เพียงใด ซึ่งอาจนำสืบรายละเอียดได้ชั้นพิจารณา ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ชิงทรัพย์ด้วยสิ่งเทียมอาวุธปืน: การรับฟังพยานหลักฐาน การกระทำความผิด และการกำหนดโทษ
คำเบิกความของผู้เสียหายที่ยืนยันในเบื้องต้นว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ชิงเอาสร้อยคอของผู้เสียหายไปโดยมีสิบตำรวจเอก ป.ผู้จับจำเลยเบิกความสนับสนุนว่าชั้นจับกุมผู้เสียหายได้แจ้งความดังกล่าวให้พยานทราบอีกทั้งผู้เสียหายยังให้การดังกล่าวต่อพนักงานสอบสวนโดยมีสาระสำคัญสอดคล้องกับคำเบิกความซึ่งเป็นการกระทำทันทีหลังจากเกิดเหตุแล้วใหม่ๆโดยไม่มีโอกาสคิดไตร่ตรองเพื่อปรักปรำให้ร้ายจำเลยทั้งการที่ผู้เสียหายลงชื่อรับรองไว้ในบัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้ายกับบัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้ายได้คืนแสดงว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้ยึดสร้อยคอของผู้เสียหายที่ถูกจำเลยชิงเอาไปได้จากจำเลยจริงและให้ผู้เสียหายรับคืนไปโดยเหตุที่สิบตำรวจเอก ป. และพันตำรวจตรี ศ. พนักงานสอบสวนได้ปฏิบัติการไปตามหน้าที่ไม่มีเหตุให้ต้องทำบันทึกตามเอกสารที่กล่าวมาเพื่อกลั่นแกล้งจำเลยพยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังลงโทษจำเลยได้แต่ ปืนไฟแช็กที่จำเลยได้ใช้จี้ผู้เสียหายนั้นเป็น สิ่งเทียมอาวุธปืน มิใช่ อาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯจึงไม่ต้องรับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา340ตรี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9373/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นพยานหลักฐานล่าช้าและการเลิกสัญญาเช่าซื้อ
แม้การที่โจทก์ไม่ได้ยื่นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจให้ทำสัญญาเช่าซื้อและหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีซึ่งเป็นพยานเอกสารต่อศาลชั้นต้นในวันชี้สองสถานเพื่อให้จำเลยทั้งสองตรวจสอบ เป็นการฝ่าฝืน ป.วิ.พ.มาตรา 183วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่ตามมาตรา 183 ทวิ วรรคสอง ถ้าศาลเห็นว่าพยานหลักฐานดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานดังกล่าวมาสืบ ศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ยื่นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจภายหลังได้ และคดีได้ความว่าหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ได้อ้างเป็นพยานหลักฐานนี้เป็นเอกสารสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญเรื่องอำนาจฟ้องในคดี และต่อมาโจทก์ได้ยื่นหนังสือมอบอำนาจในวันเดียวกันกับวันที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานตามคำสั่งของศาลชั้นต้นก่อนวันสืบพยานนัดแรกเป็นเวลากว่า 1 เดือน จำเลยทั้งสองมีโอกาสตรวจสอบเอกสารดังกล่าวก่อนวันสืบพยานได้อยู่แล้ว ดังนี้ ที่โจทก์มิได้ส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจต่อศาลในวันชี้สองสถานนั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการเอาเปรียบจำเลยทั้งสองแต่ประการใด ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ยื่นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจและศาลล่างทั้งสองรับฟังต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์นำสืบเป็นพยานหลักฐานมานั้นจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
สัญญาเช่าซื้อที่ระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใด...ฯลฯ ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันทีโดยเจ้าของไม่ต้องบอกกล่าวก่อน...ฯลฯ เป็นสัญญาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเจ้าของผู้ให้เช่าซื้อเมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนใช้บังคับกันได้ จำเลยที่ 1ค้างชำระค่าเช่าซื้อเป็นเวลาหลายงวด จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อตามข้อสัญญาดังกล่าวแล้ว สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันทันทีโดยโจทก์มิต้องบอกกล่าว
สัญญาเช่าซื้อที่ระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใด...ฯลฯ ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันทีโดยเจ้าของไม่ต้องบอกกล่าวก่อน...ฯลฯ เป็นสัญญาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเจ้าของผู้ให้เช่าซื้อเมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนใช้บังคับกันได้ จำเลยที่ 1ค้างชำระค่าเช่าซื้อเป็นเวลาหลายงวด จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อตามข้อสัญญาดังกล่าวแล้ว สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันทันทีโดยโจทก์มิต้องบอกกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9373/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบอำนาจฟ้องคดี และสัญญาเช่าซื้อที่ระบุการเลิกสัญญาเมื่อผิดนัดชำระ
แม้การที่โจทก์ไม่ได้ยื่นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจให้ทำสัญญาเช่าซื้อและหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีซึ่งเป็นพยานเอกสารต่อศาลชั้นต้นในวันชี้สองสถานเพื่อให้จำเลยทั้งสองตรวจสอบ เป็นฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 183 วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่ตามมาตรา 183 ทวิ วรรคสองถ้าศาลเห็นว่าพยานหลักฐานดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานดังกล่าวมาสืบศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ยื่นต้นฉบับมอบอำนาจภายหลังได้ และคดีได้ความว่าหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ได้อ้างเป็นพยานหลักฐานนี้เป็นเอกสารสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญอำนาจฟ้องในคดี และต่อมาโจทก์ได้ยื่นหนังสือมอบอำนาจในวันเดียวกันกับวันที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานตามคำสั่งของศาลชั้นต้นก่อนวันสืบพยานนัดแรกเป็นเวลากว่า1 เดือน จำเลยทั้งสองมีโอกาสตรวจสอบเอกสารดังกล่าวก่อนวันสืบพยานได้อยู่แล้ว ดังนี้ ที่โจทก์มิได้ส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจต่อศาลในวันชี้สองสถานนั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการเอาเปรียบจำเลยทั้งสองแต่ประการใด ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ยื่นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจและศาลล่างทั้งสองรับฟังต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์นำสืบเป็นพยานหลักฐานมานั้นจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว สัญญาเช่าซื้อที่ระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่ง งวดใด ฯลฯ ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันทีโดยเจ้าของไม่ต้องเบิกกล่าวก่อน ฯลฯ เป็นสัญญาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเจ้าของผู้ให้เช่าซื้อเมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนใช้บังคับกันได้ จำเลยที่ 1 ค้างชำระค่าเช่าซื้อเป็นหลายงวดจึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อตามข้อสัญญาดังกล่าวแล้ว สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันทันทีโดยโจทก์มิต้องบอกกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9340/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไล่เบี้ยค่าเสียหายจากข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ประมาทเลินเล่อในฐานะผู้แทนของหน่วยงาน
จำเลยให้การว่าจำเลยขอปฏิเสธฟ้องของโจทก์ว่าการฟ้องคดีของพันตำรวจเอกร.เป็นการสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์โดยตรงจำเลยจึงไม่ต้องผูกพันกับคำพิพากษาท้ายฟ้องโจทก์เมื่อการฟ้องของโจทก์ไม่สุจริตโจทก์จึงหามีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยไม่ดังนี้คำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่มีข้อความตอนหนึ่งตอนใดได้กล่าวถึงเหตุที่จำเลยได้กล่าวอ้างมาเลยว่าที่พันตำรวจเอกร.ฟ้องโจทก์และจำเลยกับพวกนั้นพันตำรวจเอกร. ได้ร่วมกับโจทก์กระทำการอย่างใดอันเป็นการสมรู้ร่วมคิดกันนำคดีดังกล่าวมาฟ้องเพื่อให้โจทก์มาฟ้องจำเลยให้รับผิดเป็นคดีนี้ซึ่งเป็นการฟ้องคดีโดยไม่สุจริตจำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าวเพื่อสนับสนุนคำให้การของจำเลยเมื่อคำให้การของจำเลยไม่ชัดแจ้งจึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องนำสืบศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย การที่โจทก์และจำเลยถูกพันตำรวจเอกร.เป็นโจทก์ฟ้องให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องจากการที่จำเลยซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดของโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อทำให้พันตำรวจเอกร.เสียหายและคดีดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยถึงที่สุดฟังว่าเหตุเกิดจากการปล่อยปละละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยซึ่งได้กระทำไปในฐานะผู้แทนโจทก์และพิพากษาให้โจทก์และจำเลยร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่พันตำรวจเอกร. คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคหนึ่งคดีนี้จึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อพันตำรวจเอกร.ในขณะจำเลยปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลเมื่อโจทก์ชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาคดีก่อนแก่พันตำรวจเอกร.แล้วย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา76.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9340/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากละเมิดของข้าราชการในสังกัด และสิทธิไล่เบี้ยของนิติบุคคล
จำเลยให้การว่า จำเลยขอปฏิเสธฟ้องของโจทก์ว่า การฟ้องคดีของพันตำรวจเอก ร. เป็นการสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์โดยตรง จำเลยจึงไม่ต้องผูกพันกับคำพิพากษาท้ายฟ้องโจทก์ เมื่อการฟ้องของโจทก์ไม่สุจริตโจทก์จึงหามีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยไม่ ดังนี้ คำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่มีข้อความตอนหนึ่งตอนใดได้กล่าวถึงเหตุที่จำเลยได้กล่าวอ้างมาเลยว่า ที่พันตำรวจเอก ร. ฟ้องโจทก์และจำเลยกับพวกนั้น พันตำรวจเอก ร. ได้ร่วมกับโจทก์กระทำการอย่างใดอันเป็นการสมรู้ร่วมคิดกันนำคดีดังกล่าวมาฟ้องเพื่อให้โจทก์มาฟ้องจำเลยให้รับผิดเป็นคดีนี้ซึ่งเป็นการฟ้องคดีโดยไม่สุจริต จำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าวเพื่อสนับสนุนคำให้การของจำเลย เมื่อคำให้การของจำเลยไม่ชัดแจ้งจึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องนำสืบ ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย การที่โจทก์และจำเลยถูกพันตำรวจเอก ร. เป็นโจทก์ฟ้องให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องจากการที่จำเลยซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดของโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อทำให้พันตำรวจเอก ร. เสียหาย และคดีดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยถึงที่สุดฟังว่าเหตุเกิดจากการปล่อยปละละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยซึ่งได้กระทำไปในฐานะผู้แทนโจทก์และพิพากษาให้โจทก์และจำเลยร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่พันตำรวจเอก ร. คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคหนึ่ง คดีนี้จึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อพันตำรวจเอก ร. ในขณะจำเลยปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคล เมื่อโจทก์ชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาคดีก่อนแก่พันตำรวจเอก ร. แล้วย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 76
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9255/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและการผิดนัด
การที่สัญญาประนีประนอมยอมความกำหนดให้จำเลยที่ 1 ที่ 2ผ่อนชำระเงินเดือนละ 100,000 บาท โดยวิธีนำมาวางศาลเพื่อให้โจทก์รับไปภายในวันสิ้นเดือนของทุกเดือน หากผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมดเป็นการกำหนดเวลาที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะต้องชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน เมื่อมิได้วางเงินตามกำหนดถือว่าผิดนัด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9255/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ถือเป็นการผิดนัดทั้งหมด ศาลอนุญาตบังคับคดีได้
การที่สัญญาประนีประนอมยอมความกำหนดให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ผ่อนชำระเงินเดือนละ 100,000 บาทโดยวิธีนำมาวางศาลเพื่อให้โจทก์รับไปภายในวันสิ้นเดือนของทุกเดือน หากผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมดเป็นการกำหนดเวลาที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะต้องชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน เมื่อมิได้วางเงินตามกำหนดถือว่าผิดนัด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8446/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกล่าวความจริงต่อบุคคลที่มีส่วนได้เสีย ไม่เป็นละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 423
โจทก์บรรยายฟ้องให้จำเลยรับผิดฐานละเมิดโดยยกข้ออ้างว่า จำเลยกล่าวหรือไข่ข่าวซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณ ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของโจทก์ซึ่งเป็นความรับผิดเพื่อละเมิดตามมาตรา 423แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น เมื่อข้อความที่จำเลยพูดทางโทรศัพท์แก่ น. ภริยาโจทก์เป็นความจริงการที่จำเลยกล่าวแก่ น. ซึ่งมีทางได้เสียโดยชอบในการนั้นแล้ว ย่อมไม่เป็นละเมิดตามมาตรา 423จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้จำเลยรับผิดตามมาตรา 420จึงเป็นการไม่ชอบ เพราะนอกเหนือไปจากที่ปรากฏในคำฟ้อง