คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุชาติ ถาวรวงษ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 644 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7639/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายจากสัญญาเช่าซื้อ: ศาลมีดุลยพินิจกำหนดค่าขาดประโยชน์และปรับลดค่าเสียหายตามสัญญาได้
การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เป็นเวลา1ปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนนั้นการกำหนดค่าเสียหายดังกล่าวเป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดได้เพราะมิฉะนั้นค่าขาดประโยชน์อาจเกินราคารถยนต์ที่เช่าซื้อประกอบกับต้องคำนึงว่าการใช้รถยนต์ที่เช่าซื้อจะใช้ไปได้นานอีกเท่าไรจึงไม่เป็นการพิพากษาเกินกว่าคำขอ ข้อความในสัญญาเช่าซื้อข้อ8ที่ระบุว่าในกรณีที่สัญญานี้ต้องสิ้นสุดลงเพราะผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อหรือเพราะประพฤติผิดสัญญาเช่าซื้อข้อใดก็ดีผู้เช่าซื้อจำต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างอยู่ทั้งหมดข้อสัญญาดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งซึ่งมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับไว้ล่วงหน้าอันเป็นการกำหนดความรับผิดของผู้เช่าซื้อนอกเหนือและแตกต่างไปจากความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา574วรรคแรกแต่มาตราดังกล่าวมิใช่กฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนและข้อกำหนดตามสัญญาเช่าซื้อข้อ8มิได้เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนจึงใช้บังคับได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7639/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายจากการเช่าซื้อผิดสัญญา: ดุลพินิจศาลและเบี้ยปรับล่วงหน้า
การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เป็นเวลา 1 ปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนนั้น การกำหนดค่าเสียหายดังกล่าวเป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดได้ เพราะมิฉะนั้นค่าขาดประโยชน์อาจเกินราคารถยนต์ที่เช่าซื้อ ประกอบกับต้องคำนึงว่าการใช้รถยนต์ที่เช่าซื้อจะใช้ไปได้นานอีกเท่าไร จึงไม่เป็นการพิพากษาเกินกว่าคำขอ
ข้อความในสัญญาเช่าซื้อข้อ 8 ที่ระบุว่า ในกรณีที่สัญญานี้ต้องสิ้นสุดลงเพราะผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อหรือเพราะประพฤติผิดสัญญาเช่าซื้อข้อใดก็ดี ผู้เช่าซื้อจำต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างอยู่ทั้งหมด ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งซึ่งมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับไว้ล่วงหน้าอันเป็นการกำหนดความรับผิดของผู้เช่าซื้อนอกเหนือและแตกต่างไปจากความรับผิดตามป.พ.พ. มาตรา 574 วรรคแรก แต่มาตราดังกล่าวมิใช่กฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และข้อกำหนดตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 8มิได้เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงใช้บังคับได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7536/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน: สัญญาซื้อขายฉบับเดียวกัน คดีเก่าอยู่ระหว่างพิจารณา ฟ้องคดีใหม่เป็นฟ้องซ้อนตามกฎหมาย
สัญญาซื้อขายที่โจทก์อาศัยเป็นมูลฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในคดีนี้เป็นฉบับเดียวกับที่โจทก์ได้เคยนำไปฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในคดีก่อนและมิใช่ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่โจทก์ฟ้องคดีก่อนจึงเป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นสืบเนื่องมาจากการผิดสัญญาของจำเลยตามสัญญาฉบับเดียวกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีก่อนซึ่งมีมูลเหตุอย่างเดียวกันเมื่อคดีก่อนยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีกจึงเป็นการฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา173วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7389/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเมทแอมเฟตามีนเกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด และการเปลี่ยนแปลงประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่ส่งผลต่อความผิด
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนปริมาณเกินกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตแต่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีการัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่92(พ.ศ.2538)ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่85(พ.ศ.2536)และกำหนดการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท1หรือประเภท2เมื่อคำนวณปริมาณเป็นสารบริสุทธิ์แล้วสำหรับเมทแอมเฟตามีนต้องไม่เกินปริมาณ0.500กรัมดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าวัตถุของกลางรวมน้ำหนัก0.98กรัมคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ประมาณเกินว่าที่รัฐมนตรีกำหนดหรือไม่จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯมาตรา106ทวิเพราะประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่92(พ.ศ.2538)เป็นคุณแก่จำเลยทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา3แต่เมื่อจำเลยทั้งสองนำสืบว่ามีเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2จำนวน16เม็ดไว้ในครอบครองจริงจำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯมาตรา62วรรคหนึ่ง,106วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7389/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเมทแอมเฟตามีนเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และการมีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนปริมาณเกินกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 92 (พ.ศ.2538) ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 85(พ.ศ.2536) และกำหนดการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 หรือประเภท 2 เมื่อคำนวณปริมาณเป็นสารบริสุทธิ์แล้ว สำหรับเมทแอมเฟตามีนต้องไม่เกินปริมาณ 0.500 กรัม ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าวัตถุของกลางรวมน้ำหนัก 0.98 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ประมาณเกินกว่าที่รัฐมนตรีกำหนดหรือไม่ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ฯ มาตรา 106 ทวิ เพราะประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 92 (พ.ศ.2538) เป็นคุณแก่จำเลย ทั้งนี้ตาม ป.อ. มาตรา 3แต่เมื่อจำเลยทั้งสองนำสืบว่า มีเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2จำนวน 16 เม็ด ไว้ในครอบครองจริง จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ฯ มาตรา 62 วรรคหนึ่ง, 106 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7317/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยต้องโอนที่ดินยักยอกคืนกองมรดก หากไม่สามารถโอนได้จึงต้องใช้ราคา แม้เจ้ามรดกเสียชีวิตแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ว่า"ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน4,974,987.50บาทแก่เจ้าของ"นั้นหมายความว่าจำเลยจะต้องโอนที่ดินของเจ้ามรดกที่ได้ยักยอกคืนแก่กองมรดกหากการโอนที่ดินไม่อาจกระทำได้จำเลยจึงต้องใช้ราคาหาใช่จำเลยมีสิทธิที่จะเลือกปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดได้ไม่ ที่จำเลยฎีกาว่าไม่สามารถโอนที่ดินกลับคืนแก่เจ้าของได้เพราะเจ้าของเดิมได้ตายไปแล้วและจะให้จำเลยโอนที่ดินคืนกองมรดกก็ไม่ได้เพราะกองมรดกมิใช่ตัวบุคคลหรือนิติบุคคลที่จะรับโอนได้จึงเป็นเหตุพ้นวิสัยที่จำเลยจะโอนที่ดินคืนให้ไปตามคำพิพากษาศาลฎีกานั้นกรณีดังกล่าวหาใช่ข้ออ้างที่จำเลยจะหยิบยกขึ้นปฏิเสธการโอนที่ดินมรดกคืนแก่กองมรดกไม่จำเลยจะต้องโอนที่ดินที่จำเลยยักยอกนั้นคืนกองมรดกโดยโอนให้แก่ผู้จัดการมรดก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7317/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคืนทรัพย์ยักยอกให้กองมรดก แม้เจ้าของเดิมเสียชีวิตแล้ว จำเลยต้องโอนทรัพย์หรือชำระราคา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ว่า "ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 4,974,987.50 บาท แก่เจ้าของ" นั้น หมายความว่าจำเลยจะต้องโอนที่ดินของเจ้ามรดกที่ได้ยักยอกคืนแก่กองมรดก หากการโอนที่ดินไม่อาจกระทำได้จำเลยจึงต้องใช้ราคา หาใช่จำเลยมีสิทธิที่จะเลือกปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดได้ไม่
ที่จำเลยฎีกาว่า ไม่สามารถโอนที่ดินกลับคืนแก่เจ้าของได้เพราะเจ้าของเดิมได้ตายไปแล้ว และจะให้จำเลยโอนที่ดินคืนกองมรดกก็ไม่ได้เพราะกองมรดกมิใช่ตัวบุคคลหรือนิติบุคคลที่จะรับโอนได้ จึงเป็นเหตุพ้นวิสัยที่จำเลยจะโอนที่ดินคืนให้ได้ตามคำพิพากษาศาลฎีกานั้น กรณีดังกล่าวหาใช่ข้ออ้างที่จำเลยจะหยิบยกขึ้นปฏิเสธการโอนที่ดินมรดกคืนแก่กองมรดกไม่ จำเลยจะต้องโอนที่ดินที่จำเลยยักยอกนั้นคืนกองมรดกโดยโอนให้แก่ผู้จัดการมรดก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7317/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยต้องคืนทรัพย์ที่ยักยอกให้กองมรดก หรือชดใช้ราคา หากโอนไม่ได้ แม้เจ้าของมรดกเสียชีวิตแล้ว
ศาลฎีกาพิพากษาว่า ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 4,974,987.50 บาท แก่เจ้าของ หมายความว่า จำเลยจะต้องโอนที่ดินของเจ้ามรดกที่ได้ยักยอกไปคืนแก่กองมรดกหากการโอนที่ดินไม่อาจกระทำได้ จำเลยจึงต้องใช้ราคาจำนวน4,974,987.50 บาท แก่กองมรดก ไม่ใช่จำเลยมีสิทธิที่จะเลือกปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดได้ และแม้เจ้าของที่ดินจะตายไปแล้ว จำเลยก็จะอ้างมาเป็นเหตุให้ปฏิเสธการโอนที่ดินมรดกคืนแก่กองมรดกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7026/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความระงับมูลหนี้ละเมิด นายจ้างหลุดพ้นความรับผิด
จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของโจทก์ โจทก์จำเลยที่ 1 ได้ตกลง กันซึ่งพนักงานสอบสวนได้บันทึกไว้มีใจความว่า จำเลยที่ 1ยอมรับผิดและยินยอมชดใช้ค่าเสียหาย โดยจะนำรถของโจทก์ไป ซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเดิมและใช้การได้ โดยจะนำไปซ่อมที่ อู่ ช. คู่กรณีตกลงและไม่ติดใจค่าเสียหายอื่นอีก โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน ข้อตกลง ดังกล่าวเป็นสัญญาซึ่งโจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงระงับข้อพิพาท ที่โจทก์จะเรียกค่าเสียหายในการซ่อมรถยนต์ของโจทก์ ค่าเสียหายอื่นอันเกิดจากการกระทำละเมิดซึ่งมีอยู่ในขณะนั้น จากจำเลยที่ 1 ให้เสร็จไปด้วยการผ่อนผันให้แก่กัน โดยโจทก์ ให้จำเลยที่ 1 นำรถไปซ่อมแซมที่อู่ ช. ให้อยู่ในสภาพเดิมแทนการเรียกค่าเสียหายเป็นตัวเงินและจำเลยที่ 1 ตกลงซ่อมแซม ให้ จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 มีผลให้มูลหนี้ละเมิดระงับสิ้นไป ทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญาตามมาตรา 852 จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อโจทก์ และเมื่อมูลหนี้ละเมิดระงับ จำเลยที่ 2 ผู้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จึงหลุดพ้นความรับผิดไปด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6703/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบของกลางรวมถึงอุปกรณ์ติดรถยนต์: เจตนาให้เป็นของใช้ประจำรถยนต์ ถือเป็นส่วนควบ
เครื่องเสียงพร้อมลำโพงและเครื่องปรับอากาศติดรถยนต์เป็นเครื่องอุปกรณ์ที่จำเลยมีเจตนาชัดแจ้งที่จะให้เป็นของใช้ประจำกับรถยนต์ของกลางเป็นอาจิณจึงถือว่าทรัพย์เหล่านี้เป็นอุปกรณ์ย่อมตกติดไปกับรถยนต์ของกลางที่เป็นประธานเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลางย่อมหมายความรวมถึงเครื่องเสียงพร้อมลำโพงและเครื่องปรับอากาศติดรถยนต์ด้วย
of 65