คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุชาติ ถาวรวงษ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 644 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5333/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเพโมลีนหลังประกาศเปลี่ยนประเภทวัตถุออกฤทธิ์ และการใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่ที่เป็นคุณต่อจำเลย
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 58(พ.ศ. 2532)เรื่องเปลี่ยนแปลงประเภทวัตถุออกฤทธิ์ ตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ย่อมมีผลบังคับเช่นกฎหมาย จำเลยครอบครองเพโมลีน โดยไม่ได้รับอนุญาตจำนวนเดียวกับที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วจึงไม่ต้องปรับบทลงโทษในความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก การมีเพโมลีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย มิใช่เป็นความผิดในตัวเอง แต่เป็นความผิดเพราะมีประกาศกระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ซึ่งแต่เดิมจัดอยู่ในวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ซึ่งจำเลยได้รับอนุญาตให้ขายได้ตามสภาพและพฤติการณ์จำเลยอาจไม่รู้ว่าการมีเพโมลีนไว้ในครอบครองเพื่อขายเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย และหากจำเลยสามารถนำพยานหลักฐานมีพิสูจน์เช่นว่านั้นได้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 64 พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2535 ให้ยกเลิกมาตรา 13 เดิมและใช้ความใหม่แทน และให้เพิ่มความเป็นมาตรา 13 ทวิ การกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา 13 ทวิ และมีโทษตามมาตรา ซึ่งมาตรา 89 ที่แก้ไขใหม่มีโทษเบากว่าโทษตามมาตรา 89 เดิม จึงต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 89 ที่แก้ไขใหม่เพราะเป็นกฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5333/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงประเภทวัตถุออกฤทธิ์และการลงโทษตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 58 (พ.ศ.2532) เรื่องเปลี่ยนแปลงประเภทวัตถุออกฤทธิ์ ตามความใน พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ย่อมมีผลบังคับเช่นกฎหมาย
จำเลยครอบครองเพโมลีนโดยไม่ได้รับอนุญาตจำนวนเดียวกับที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วจึงไม่ต้องปรับบทลงโทษในความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก
การมีเพโมลีนไว้ในความครอบครองเพื่อขาย มิใช่เป็นความผิดในตัวเอง แต่เป็นความผิดเพราะมีประกาศกระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ซึ่งแต่เดิมจัดอยู่ในวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ซึ่งจำเลยได้รับอนุญาตให้ขายได้ ตามสภาพและพฤติการณ์จำเลยอาจไม่รู้ว่าการมีเพโมลีนไว้ในครอบครองเพื่อขายเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย และหากจำเลยสามารถนำพยานหลักฐานมีพิสูจน์เช่นว่านั้นได้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดได้ตาม ป.อ.มาตรา 64
พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535ให้ยกเลิกมาตรา 13 เดิมและใช้ความใหม่แทน และให้เพิ่มความเป็นมาตรา 13 ทวิการกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา 13 ทวิ และมีโทษตามมาตรา 89ซึ่งมาตรา 89 ที่แก้ไขใหม่มีโทษเบากว่าโทษตามมาตรา 89 เดิม จึงต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 89 ที่แก้ไขใหม่เพราะเป็นกฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลย ตาม ป.อ.มาตรา 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5199/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ความเสียหายจากสัญญาเช่าซื้อเดิม ห้ามฟ้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมในประเด็นเดียวกัน
คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยมีข้ออ้างว่า จำเลยต้องรับผิดชำระค่าภาษีรถยนต์ที่โจทก์ได้ชำระแทนจำเลยตลอดระยะเวลาที่จำเลย ครอบครองอยู่จนถึงวันส่งคืนการครอบครองให้แก่โจทก์ตามสัญญา เช่าซื้อ ส่วนคดีก่อนข้ออ้างที่โจทก์กล่าวหาก็คือ เมื่อ ครบกำหนดสัญญาเช่าซื้อแล้ว จำเลยยังครอบครองรถยนต์ ที่เช่าซื้ออยู่ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ใช้ราคารถยนต์และ ค่าขาดประโยชน์ ข้อหาของโจทก์ทั้งสองคดีเป็นเรื่องเรียกค่าเสียหายอันเนื่องมาจากสัญญาเช่าซื้อฉบับเดียวกันแม้ฟ้องของโจทก์ในคดีเรื่องก่อนจะขอให้จำเลยรับผิดในค่าเสียหายที่จำเลยครอบครองรถยนต์แล้วไม่ยอมส่งมอบให้โจทก์หลังจากบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้ว ส่วนคดีนี้เป็น เรื่องเรียกให้จำเลยชดใช้ค่าภาษีรถยนต์ที่โจทก์ชำระแทนจำเลยไป แต่ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก็เนื่องมาจากมูลฐานเดียวกัน คือความเสียหายอันเกิดแต่สัญญาเช่าซื้อนั่นเอง ค่าภาษีรถยนต์ ที่จำเลยจะต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อนั้น เป็นหนี้ที่มีอยู่ ในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีเรื่องก่อนแล้ว โจทก์อาจฟ้องเรียก จากจำเลยได้ในคดีเรื่องก่อน แต่โจทก์ไม่ฟ้อง จึงเป็นฟ้องซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5199/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ห้ามคู่ความฟ้องประเด็นเดียวกันซ้ำหลังศาลวินิจฉัยแล้ว
โจทก์ฟ้องคดีเรื่องก่อนขอให้จำเลยรับผิดในค่าเสียหายที่จำเลยครอบครองรถยนต์ทั้งสองคันแล้วไม่ยอมส่งมอบให้โจทก์หลังจากบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้ว ส่วนคดีนี้เป็นเรื่องเรียกให้จำเลยชดใช้ค่าภาษีรถยนต์ที่โจทก์ชำระแทนจำเลยไป ประเด็นที่ต้องพิจารณาวินิจฉัยในคดีนี้ก็เนื่องมาจากมูลฐานเดียวกันคือความเสียหายอันเกิดแต่สัญญาเช่าซื้อ ค่าภาษีรถยนต์ทั้งสองคันที่จำเลยจะต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อนั้นเป็นหนี้ที่มีอยู่ในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีเรื่องก่อนแล้ว โจทก์อาจฟ้องเรียกจากจำเลยได้ในคดีเรื่องก่อน แต่หาฟ้องไม่ กรณีต้องด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 148ที่ห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องโจทก์คดีเรื่องก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5199/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ค่าภาษีรถยนต์จากสัญญาเช่าซื้อเดิม ศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม.148
คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยมีข้ออ้างว่าจำเลยต้องรับผิดชำระค่าภาษีรถยนต์ที่โจทก์ได้ชำระแทนจำเลยตลอดระยะเวลาที่จำเลยครอบครองอยู่จนถึงวันส่งคืนการครอบครองให้แก่โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ ส่วนคดีก่อนข้ออ้างที่โจทก์กล่าวหาก็คือเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าซื้อซื้อแล้วจำเลยยังครอบครองรถยนต์เช่าซื้ออยู่ทำให้โจทก์เสียหายขอให้ใช้ราคารถยนต์และค่าขาดประโยชน์ข้อหาของโจทก์ทั้งสองคดีเป็นเรื่องเรียกค่าเสียหายอันเนื่องมาจากสัญญาเช่าซื้อฉบับเดียวกันแม้ฟ้องของโจทก์ในคดีเรื่องก่อนจะขอให้จำเลยรับผิดในค่าเสียหายที่จำเลยครอบครองรถยนต์แล้วไม่ยอมส่งมอบให้โจทก์หลังจากบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้วส่วนคดีนี้เป็นเรื่องเรียกให้จำเลยชดใช้ค่าภาษีรถยนต์ที่โจทก์ชำระแทนจำเลยไปแต่ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก็เนื่องมาจากมูลฐานเดียวกันคือความเสียหายอันเกิดแต่สัญญาเช่าซื้อนั่นเองค่าภาษีรถยนต์ที่จำเลยจะต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อนั้นเป็นหนี้ที่อยู่ในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีเรื่องก่อนแล้วโจทก์อาจฟ้องเรียกจากจำเลยได้ในคดีเรื่องก่อนแต่โจทก์ไม่ฟ้องจึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5106/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลำดับการพิจารณาคดีแพ่งอาญาและการแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยเป็นไม่รอการลงโทษจำคุกให้นั้น เป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219
การที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งก่อนแล้วจึงพิจารณาพิพากษาคดีส่วนอาญา ไม่มีกฎหมายบัญญัติบังคับไว้ แต่ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 42 และ 46 มุ่งหมายที่จะให้ศาลที่พิจารณาคดีส่วนแพ่งรอฟังผลคดีส่วนอาญาก่อนแล้วจึงพิพากษาคดีส่วนแพ่งไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีส่วนอาญา ฉะนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีส่วนอาญาก่อนโดยไม่ฟังผลในคดีส่วนแพ่งจึงชอบแล้ว
ฎีกาของจำเลยที่ขอให้ศาลฎีกาพิจารณาคดีใหม่ ไม่ปรากฏว่าจำเลยโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริง จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5106/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีอาญาและแพ่งควบคู่กัน ศาลฎีกาชี้ว่าไม่จำเป็นต้องพิจารณาคดีแพ่งก่อน และการไม่รอการลงโทษจำคุกอาจไม่เหมาะสม
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน2ปีและให้รอการลงโทษจำคุกไว้ศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาแก้เป็นว่าไม่รอการลงโทษจำคุกเป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลยจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา219 ไม่มีกฎหมายบังคับให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งก่อนแล้วจึงพิจารณาพิพากษาคดีอาญาการที่ศาลมีคำพิพากษาคดีอาญาก่อนโดยไม่ฟังผลในคดีแพ่งจึงเป็นการชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5106/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลำดับการพิจารณาคดีแพ่งและอาญา และการโต้แย้งข้อเท็จจริงในฎีกา
ศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยเป็นไม่รอการลงโทษจำคุกให้นั้นเป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลยจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา219 การที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งก่อนแล้วจึงพิจารณาพิพากษาคดีส่วนอาญาไม่มีกฎหมายบัญญัติบังคับไว้แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา42และ46มุ่งหมายที่จะให้ศาลมีพิจารณาคดีส่วนแพ่งรอฟังผลคดีส่วนอาญาก่อนแล้วจึงพิพากษาคดีส่วนแพ่งไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎในคดีส่วนอาญาฉะนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาส่วนอาญาก่อนโดยไม่ฟังผลในคดีส่วนแพ่งจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ขอให้ศาลฎีกาพิจารณาคดีใหม่ไม่ปรากฎว่าจำเลยโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค2ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5064/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการวินิจฉัยประเด็นนอกประเด็นชี้สองสถาน หากเกิดจากการต่อสู้ของคู่ความ
แม้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทในชั้นชี้สองสถานไว้เพียงข้อเดียวว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินแปลงที่โจทก์ซื้อมาจาก ส. หรือไม่ก็ตาม แต่ประเด็นข้อนี้ย่อมครอบคลุมไปถึงปัญหาว่า โจทก์หรือจำเลยใครมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดีกว่ากัน ซึ่งเกิดจากคำฟ้องและคำให้การต่อสู้ของจำเลยทั้งสองศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ไม่เป็นนอกฟ้องนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5025/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความการเรียกร้องค่าเสียหายจากข้าวเปลือกสูญหาย เริ่มนับจากวันที่แจ้งหนี้ ไม่ใช่เรื่องการฝากทรัพย์
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินค่าข้าวเปลือกที่จำเลยรับฝากจากโจทก์แล้วสูญหายไป ไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวแก่การฝากทรัพย์ กรณีไม่ต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา 671 ทั้งการฟ้องให้ชำระเงินค่าข้าวเปลือกที่จำเลยรับฝากจากโจทก์แล้วสูญหายไปไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 164 เดิม (มาตรา 193/30ที่แก้ไขใหม่)
วันที่ 27 กรกฎาคม 2525 โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทราบจำนวนน้ำหนักข้าวเปลือกแต่ละชนิดที่จำเลยรับฝากไว้ได้สูญหายไปจากการรับฝากของจำเลยและให้จำเลยชดใช้ราคาแทนนั้น ถือได้ว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้แล้ว อายุความจึงเริ่มนับแต่วันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 31พฤษภาคม 2533 ยังไม่เกิน 10 ปี จึงไม่ขาดอายุความ
of 65