พบผลลัพธ์ทั้งหมด 644 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6313/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินพิพาท: ศาลไม่วินิจฉัยเกินเลยเมื่อจำเลยอ้างสิทธิของตนเอง
จำเลยให้การและนำสืบว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1แต่ผู้เดียว โจทก์และจำเลยที่ 2 อยู่โดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1ดังนี้ตามคำให้การและทางนำสืบของจำเลยทั้งสองแสดงว่าไม่อาจมีปัญหาเรื่องแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์แต่อย่างใดจึงไม่มีการอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น เมื่อจำเลยทั้งสองอ้างในคำให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ศาลก็ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นการวินิจฉัยขัดแย้งกับที่จำเลยทั้งสองให้การไว้ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่วินิจฉัยประเด็นที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยที่ 1 เกินกว่าหนึ่งปีชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6263/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในข้อเท็จจริงเนื่องจากจำนวนทุนทรัพย์พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด แม้จำเลยอ้างการโอนสิทธิครอบครอง
จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ขายที่ดินตามส.ค.1 และที่ดินที่ปกครองอีกประมาณ 50 ไร่ ให้แก่ ป.ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2531 สิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งแปลงรวมทั้งที่ดิน ส.ค.1 ดังกล่าวได้โอนไปยัง ป.แล้ว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอีกต่อไปนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยแล้วว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท แม้ฎีกาของจำเลยจะมีข้อความต่อมาว่า จำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2531 ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ฎีกาของจำเลยก็ยังเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6177/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้ใหม่ต้องมีสัญญาระหว่างลูกหนี้ใหม่กับเจ้าหนี้ การรับเช็คไม่ถือเป็นการแปลงหนี้
การที่ ส. สั่งจ่ายเช็คชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์แทนจำเลยไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่โดยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ เมื่อจำเลยเป็นผู้ทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวเป็นของโจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาโดยเฉพาะ ส. และจำเลยจะโอนสิทธิตามสัญญาให้แก่กันมิได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากโจทก์อย่างชัดแจ้ง หรือ ส. และจำเลยจะไปทำสัญญากับโจทก์โดยตรง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6177/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้เช่าซื้อแทนกัน สิทธิและหน้าที่ยังคงเป็นของคู่สัญญาเดิม
การที่ ส. สั่งจ่ายเช็คชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์แทนจำเลย ไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่โดยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ เมื่อจำเลยเป็นผู้ทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวเป็นของโจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาโดยเฉพาะส. และจำเลยจะโอนสิทธิตามสัญญาให้แก่กันมิได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากโจทก์อย่างชัดแจ้ง หรือ ส. และจำเลยจะไปทำสัญญากับโจทก์โดยตรง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5973/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานเรียกรับสินบนละเว้นการจับกุม ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจหน้าที่สืบสวนสอบสวนความผิดอาญา เมื่อได้พบและกล่าวหาว่าโจทก์ร่วมและนายสุเธียรมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอันมิใช่การแกล้งกล่าวหา การที่จำเลยที่ 1 ไม่จับกุมแต่กลับขู่เข็ญเรียกเงินแล้วละเว้นไม่จับกุมโจทก์ร่วมและนายสุเธียร จึงไม่ใช่ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 แต่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 เนื่องจากโจทก์มิได้ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 อันเป็นบทเฉพาะมาด้วย ก็ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อันเป็นบททั่วไปและเป็นบทที่โจทก์ฟ้องมาได้ สำหรับจำเลยที่ 2 มิใช่เจ้าพนักงานแต่ร่วมกระทำผิดฐานนี้ด้วย จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบมาตรา 86
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5953/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้โดยสารซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์: การฟ้องผิดฐานผู้ขับขี่
โจทก์บรรยายฟ้องว่า การที่จำเลยเป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์และเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์คันที่ชนโจทก์จนโจทก์ได้รับอันตรายบาดเจ็บสาหัสจากการทำละเมิดของจำเลย จำเลยจึงต้องตกอยู่ในฐานะเป็นบุคคลที่ควบคุมดูแลยานพาหนะซึ่งเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลนั้นเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยเพียงแต่เป็นผู้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์โดยไม่ได้เป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุชนโจทก์จึงจะให้จำเลยต้องรับผิดในฐานะผู้ครอบครองยานพาหนะอันเดินด้วยเครื่องจักรกลไม่ได้ เพราะเป็นการนอกฟ้อง เนื่องจากโจทก์มิได้ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้ครอบครองรถจักรยานยนต์คันที่ชนโจทก์ในขณะเกิดเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5953/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้โดยสารซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์: การฟ้องผิดฐานผู้ขับขี่
โจทก์บรรยายฟ้องว่า การที่จำเลยเป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์และเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์คันที่ชนโจทก์ จนโจทก์ได้รับอันตราย บาดเจ็บสาหัสจากการทำละเมิดของจำเลย จำเลยจึงต้องตกอยู่ ในฐานะเป็นบุคคลที่ควบคุมดูแลยานพาหนะซึ่งเดินด้วยกำลัง เครื่องจักรกลนั้น เมื่อจำเลยเพียงแต่เป็นผู้นั่งซ้อนท้าย รถจักรยานยนต์โดยไม่ได้เป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุ ชนโจทก์จึงจะให้จำเลยต้องรับผิดในฐานะผู้ครอบครองยานพาหนะ อันเดินด้วยเครื่องกำลังจักรกลไม่ได้เพราะเป็นการนอกฟ้อง เนื่องจากโจทก์มิได้ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้ครอบครอง รถจักรยานยนต์คันที่ชนโจทก์ในขณะเกิดเหตุ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5953/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดในฐานะผู้ครอบครองยานพาหนะ: จำเลยนั่งซ้อนท้ายรถ ไม่ใช่ผู้ขับขี่ ไม่ต้องรับผิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า การที่จำเลยเป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์และเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์คันที่ชนโจทก์จนโจทก์ได้รับอันตรายบาดเจ็บสาหัสจากการทำละเมิดของจำเลย จำเลยจึงต้องตกอยู่ในฐานะเป็นบุคคลที่ควบคุมดูแลยานพาหนะซึ่งเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลนั้น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยเพียงแต่เป็นผู้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์โดยไม่ได้เป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุชนโจทก์ จึงจะให้จำเลยต้องรับผิดในฐานะผู้ครอบครองยานพาหนะอันเดินด้วยเครื่องจักรกลไม่ได้ เพราะเป็นการนอกฟ้อง เนื่องจากโจทก์มิได้ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้ครอบครองรถจักรยานยนต์คันที่ชนโจทก์ในขณะเกิดเหตุตาม ป.พ.พ. มาตรา 437
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5863/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบต้องยื่นคำร้องภายใน 8 วันนับแต่วันที่ทราบเรื่อง
หลังจากศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2533 แล้ว ต่อมาวันที่ 26 กรกฎาคม 2533โจทก์ได้มาตรวจสำนวนและทราบว่ามีการแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ทราบและอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังแล้วโจทก์จึงขอคัดเอกสารที่เกี่ยวข้องไป หากจะฟังว่าการแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ทราบโดยการปิดประกาศที่หน้าศาลเป็นการไม่ชอบก็ถือได้ว่าโจทก์ได้ทราบเรื่องผิดระเบียบในวันดังกล่าวซึ่งหากโจทก์ประสงค์จะขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าว โจทก์ก็จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลภายในแปดวันนับแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2533 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ได้ทราบเรื่องผิดระเบียบนั้นตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 วรรคสอง ที่โจทก์มายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาดังกล่าวในวันที่ 9 สิงหาคม 2533จึงเกินกำหนดแปดวัน เป็นคำร้องที่ไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5623/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุไม่เกิน 17 ปี กระทำผิด พ.ร.ก.สารระเหย ศาลต้องว่ากล่าวตักเตือน ไม่ส่งสถานพินิจ
จำเลยสูดดมสารระเหยซึ่งเป็นความผิดตามพระราชกฤษฎีกาป้องกันการใช้สารระเหย มาตรา 17 และขณะกระทำผิดจำเลยอายุยังไม่เกิน 17 ปี จำเลยไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 24 แต่ให้ศาลมีอำนาจที่จะว่ากล่าวตักเตือนจำเลยแล้วปล่อยไป และถ้าศาลเห็นสมควรจะเรียกบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่ผู้กระทำผิดนั้นอาศัยอยู่มาตักเตือนด้วยก็ได้ตามมาตรา 26(1) ของกฎหมายดังกล่าว ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กจึงเป็นการมิชอบ แม้ปัญหานี้จำเลยจะไม่ได้ยกขึ้นในชั้นศาลอุทธรณ์ภาค 2 แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง,215,225 เมื่อปรากฏว่าขณะกระทำความผิดจำเลยอายุไม่เกิน 17 ปี พิจารณาถึงสถานะของจำเลยที่อยู่ในวัยเรียน ประกอบพฤติการณ์แห่งความผิดแล้ว เห็นสมควรลงโทษว่ากล่าวตักเตือนจำเลย