คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุชาติ ถาวรวงษ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 644 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4774/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลมิได้พิจารณาคำร้องขอเลื่อนคดีก่อนสั่งขาดนัด ถือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ในวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 23 พฤศจิกายน 2533 ผู้รับมอบฉันทะทนายจำเลยที่ 1 มาศาลและยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าติดว่าความที่ศาลอื่นซึ่งได้นัดไว้ก่อนแล้ว ส่วนโจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่มาการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องขอเลื่อนคดีว่า "สั่งในรายงาน"แล้วมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาว่า ทนายจำเลยที่ 1 มอบฉันทะให้เสมียนทนายยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีแสดงว่าตั้งใจที่จะให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201จึงมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ให้นัดสืบพยานจำเลยที่ 1 ต่อไปในวันที่ 20 ธันวาคม 2533 เวลา 13.30 นาฬิกา และให้จำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความจึงไม่ถูกต้อง เนื่องจากศาลชั้นต้นยังมิได้พิจารณาคำร้อง ขอเลื่อนคดีของทนายจำเลยที่ 1เลยว่าทนายจำเลยที่ 1 มาศาลไม่ได้เพราะติดว่าความที่ศาลอื่นจริงหรือไม่ หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำร้องก็ถือได้ว่ามีเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงได้ชอบที่จะสั่งอนุญาตให้เลื่อนคดีไว้ และวันที่23 พฤศจิกายน 2533 ก็มิใช่วันที่ศาลเริ่มต้นทำการสืบพยานอีกต่อไปแม้โจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่มาศาลในวันดังกล่าว กรณีก็ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยการพิจารณาโดยขาดนัด การที่ศาลชั้นต้นมิได้พิจารณาสั่งคำร้องขอเลื่อนคดีของทนายจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40แต่กลับก้าวล่วงไปสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและให้จำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ เป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยการพิจารณา ซึ่งปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยโดยให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่ชอบนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(2),247 ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่โดยไม่ถูกต้อง เนื่องจากศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำพิพากษา ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3681/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการแบ่งมรดกและฟ้องแย้งขอแบ่งทรัพย์สินร่วมกัน แม้คดีหลักยังไม่สิ้นสุด
จำเลยได้ครองครองที่ดินและตึกพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งร่วมกันกับโจทก์ จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องแย้งขอแบ่งที่ดินและตึกพิพาทซึ่งตนเป็นเจ้าของร่วมได้ จะนำอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 มาใช้บังคับไม่ได้ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่ขาดอายุความ คดีนี้เป็นคดีตามฟ้องแย้งของจำเลยซึ่งถูกแยกพิจารณาคดีต่างหากจากคดีตามฟ้องเดิมของโจทก์ การพิจารณาและวินิจฉัยคดีตามฟ้องเดิมกับคดีตามฟ้องแย้งจะต้องแยกต่างหากจากกัน แม้คดีตามฟ้องเดิมของโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี แต่คดีตามฟ้องเดิมยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ฉะนั้นจะฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีตามฟ้องเดิมยังไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3681/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฟ้องแย้งแบ่งมรดกไม่ขาดอายุความ แม้คดีเดิมยังไม่สิ้นสุด
จำเลยได้ครอบครองที่ดินและตึกพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งร่วมกันกับโจทก์ จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องแย้งขอแบ่งที่ดินและตึกพิพาทซึ่งตนเป็นเจ้าของร่วมได้ จะนำอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 มาใช้บังคับไม่ได้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่ขาดอายุความ
คดีนี้เป็นคดีตามฟ้องแย้งของจำเลยซึ่งถูกแยกพิจารณาคดีต่างหากจากคดีตามฟ้องเดิมของโจทก์ การพิจารณาและวินิจฉัยคดีตามฟ้องเดิมกับคดีตามฟ้องแย้งจะต้องแยกต่างหากจากกัน แม้คดีตามฟ้องเดิมของโจทก์ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี แต่คดีตามฟ้องเดิมยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ฉะนั้น จะฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีตามฟ้องเดิมยังไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3586/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแลกเปลี่ยนที่ดินมือเปล่ามีผลผูกพันตามกฎหมาย แม้ไม่ได้ทำเป็นหนังสือจดทะเบียน
การแลกเปลี่ยนที่ดินมือเปล่า เพียงแต่สละสิทธิครอบครองให้แก่กันก็มีผลสมบูรณ์ใช้ยันคู่กรณีได้โดยชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3511/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาลาไปฝึกอบรมต่างประเทศ: การชดใช้ทุนด้วยการรับราชการที่หน่วยงานอื่นเป็นไปตามสัญญา
ตามสัญญาลาไปฝึกอบรมที่ต่างประเทศ ข้อ 3 มีใจความว่าเมื่อจำเลยที่ 1 สำเร็จการฝึกอบรมหรือไม่สำเร็จการฝึกอบรมก็ตามจำเลยที่ 1 จะรับราชการต่อไปที่กรมโจทก์หรือในกระทรวงทบวงกรมอื่นตามที่ทางราชการเห็นสมควรเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองเท่าของเวลาที่ได้รับทุน และสัญญาข้อ 4 มีใจความว่า หากจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาในข้อ 3 หรือจำเลยที่ 1 ไม่กลับมารับราชการด้วยเหตุใด ๆ ก็ดี จำเลยที่ 1 ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายพร้อมเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ตามที่กำหนดไว้นั้น ตามข้อสัญญาดังกล่าวมีความหมายว่า ภายหลังจากการฝึกอบรมแล้วจำเลยที่ 1 จะต้องกลับมารับราชการที่กรมโจทก์หรือที่กระทรวงทบวงกรมอื่นตามที่ทางราชการเห็นสมควรก็ได้ เพียงแต่จำเลยที่ 1 จะต้องปฏิบัติราชการให้ครบระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ตามสัญญาเท่านั้นมิได้หมายความว่า จำเลยที่ 1 จะต้องกลับมารับราชการเฉพาะที่กรมโจทก์จึงจะถือว่าเป็นการชดใช้ทุนคืนตามสัญญา เพราะการที่จำเลยที่ 1 ไปรับราชการที่กระทรวงทบวงกรมอื่น จำเลยที่ 1 ก็ย่อมจะใช้ความรู้ที่ไปฝึกอบรมมาสร้างความเจริญให้แก่หน่วยงานที่ตนไปรับราชการและผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นก็จะตกอยู่กับประเทศชาติเช่นเดียวกัน หากโจทก์ประสงค์ให้ผู้ลาไปฝึกอบรมต้องกลับมารับราชการใช้ทุนเฉพาะที่กรมโจทก์หรือหน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการซึ่งโจทก์สังกัดอยู่ โจทก์สามารถทำได้โดยกำหนดเงื่อนไขของสัญญาให้มีข้อความผูกพันมัดคู่สัญญาไว้ให้ชัดแจ้งเช่นนั้น แต่โจทก์หาได้กระทำไม่ และจำเลยที่ 1 ก็ยังรับราชการอยู่ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมตลอดมา คิดเป็นเวลาที่จำเลยที่ 1 รับราชการต่อจากที่กรมโจทก์เกินกว่าระยะเวลาที่จำเลยที่ 1 จะต้องชดใช้ทุนตามระยะเวลาในสัญญา ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติผิดสัญญา จำเลยที่ 1 และที่ 3 ผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3456/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยหลังวันฟ้องไม่นับเป็นทุนทรัพย์ในชั้นฎีกา ทำให้คดีต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 248
ดอกเบี้ยหลังวันฟ้องไม่นำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3427/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความลาภมิควรได้: การเบิกจ่ายเงินสมนาคุณผิดระเบียบและสิทธิในการเรียกคืน
จำเลยให้การว่า โจทก์ทราบข้อทักท้วงของกระทรวงการคลังแล้วไม่ฟ้องภายใน 1 ปี คดีจึงขาดอายุความ เป็นคำให้การที่ชัดแจ้งและแสดงเหตุแห่งการขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง แล้ว ส่วนอายุความที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้จะต้องด้วยบทกฎหมายลักษณะใด เป็นหน้าที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเอง โจทก์เบิกเงินจากคลังจ่ายสมนาคุณแก่จำเลยโดยผิดระเบียบราชการเงินจำนวนดังกล่าวโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายให้จำเลย และจำเลยไม่มีสิทธิรับเงินจำนวนนี้ การที่จำเลยรับเงินไปเป็นการได้มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบเงินจำนวนดังกล่าวจึงเป็นลาภมิควรได้ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด1 ปี นับแต่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืน คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3427/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องเรียกคืนเงินสมนาคุณที่จ่ายโดยผิดระเบียบ และเหตุลาภมิควรได้
จำเลยใก้การว่า โจทก์ทราบข้อทักท้วงของกระทรวงการคลังแล้วไม่ฟ้องภายใน 1 ปี คดีจึงขาดอายุความ เป็นคำให้การที่ชัดแจ้งและแสดงเหตุแห่งการขาดอายุความ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสอง แล้ว ส่วนอายุความที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ จะต้องด้วยบทกฎหมายลักษณะใด เป็นหน้าที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเอง
โจทก์เบิกเงินจากคลังจ่ายสมนาคุณแก่จำเลยโดยผิดระเบียบราชการเงินจำนวนดังกล่าวโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายให้จำเลย และจำเลยไม่มีสิทธิรับเงินจำนวนนี้ การที่จำเลยรับเงินไปเป็นการได้มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ เงินจำนวนดังกล่าวจึงเป็นลาภมิควรได้ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืน คดีโจทก์จึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 41

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3365/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต้องผ่านศาลอุทธรณ์ก่อน ไม่อาจอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาโดยตรง
การอุทธรณ์คำพิพากษา หรือคำสั่งศาลชั้นต้นในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายมีบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคแรกแล้วว่าให้อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ จึงจะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ มาอนุโลมบังคับใช้หาได้ไม่ การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์คำสั่งยกฟ้องของศาลชั้นต้นโดยตรงมายังศาลฎีกาจึงเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3365/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต้องผ่านศาลอุทธรณ์ก่อน ไม่สามารถอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกาโดยตรงได้
การอุทธรณ์คำพิพากษา หรือคำสั่งศาลชั้นต้นในข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายมีบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๓ วรรคแรก แล้วว่าให้อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ จึงจะนำ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๓ ทวิ มาอนุโลม บังคับใช้หาได้ไม่ การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ยกฟ้องของศาลชั้นต้นโดยตรงมายังศาลฎีกาจึงเป็นการไม่ชอบ
of 65