คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชัยนาท พันตาวงศ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 295 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 650/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งกรรมสิทธิ์รวมตามแนวแผนที่พิพาท โดยคำนึงถึงการครอบครองพื้นที่เฉพาะตัวของผู้มีส่วนได้เสีย
เมื่อตามคำฟ้องโจทก์ประสงค์แบ่งกรรมสิทธิ์รวมตามแนวแผนที่พิพาท ซึ่งคู่ความรับกันว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่างมีบ้านพักปลูกอยู่บริเวณหมายเลข 1 และหมายเลข 3 ตามแผนที่พิพาท ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงการครอบครองเป็นส่วนสัดเฉพาะตัวบ้านอยู่แล้ว ส่วนโจทก์และจำเลยที่ 1 ยังฟังไม่ได้ว่าครอบครองที่ดินพิพาทในส่วนใด เช่นนี้ การที่ศาลล่างพิพากษาต้องกันให้ไปรังวัดแบ่งแยกอาณาเขตที่ดินตามส่วนในโฉนดที่ดิน และตามแนวแผนที่พิพาทโดยกันส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออก ส่วนที่เหลือให้แบ่งกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามที่กำหนดไว้ใน ป.พ.พ.มาตรา 1364 จึงเป็นการชอบแล้วหาเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 644/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับเนื่องจากข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง กรณีฟ้องขับไล่และค่าเสียหาย
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้จำเลยและจำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ให้ก่อสร้างบ้านในที่ดินดังกล่าวต่อมาจำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วแต่จำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินและบ้านของโจทก์จึงขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินและบ้านพิพาทพร้อมทั้งให้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาโจทก์จึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาส่วนบ้านพิพาทนั้นจำเลยได้ว่าจ้างบุคคลอื่นก่อสร้างโดยมิได้ฟ้องแย้งให้โจทก์โอนที่ดินพิพาทให้จำเลยด้วยดังนั้นแม้บ้านพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่ก็ปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทหากจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วจำเลยก็อยู่ในที่ดินพิพาทต่อไปอีกไม่ได้จึงเป็นการฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ2,000บาทโจทก์ไม่ฎีกาย่อมฟังได้ว่าในขณะที่ยื่นคำฟ้องนั้นที่ดินและบ้านพิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ2,000บาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 612/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีอาญาอาศัยพยานหลักฐานบุคคลและสภาพแวดล้อมในที่เกิดเหตุ เชื่อได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด
บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากไฟฟ้าที่หน้าร้านค้าและเสาไฟฟ้าสาธารณะซึ่งปักอยู่เป็นระยะๆน่าเชื่อว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างมากพอที่ผู้เสียหายที่1กับ ส. จะสามารถมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆได้ชัดเจนประกอบกับ ส. รู้จักจำเลยมาก่อนทั้งก่อนเกิดเหตุประมาณ1ชั่วโมงจำเลยขับรถจักรยานยนต์มีธ. นั่งซ้อนท้ายไปพบผู้เสียหายที่1กับ ส. และ ส.ได้พูดคุยกับจำเลยด้วยก่อนที่จะเกิดเหตุ ธ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสองโดยจำเลยเป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์ให้ ธ.นั่งซ้อนท้ายไปจึงเชื่อว่าผู้เสียหายที่1กับ ส. มีโอกาสเห็นและจำคนร้ายได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 274/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่าจากความสัมพันธ์ชู้สาวและการร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชา ไม่เป็นเหตุให้ฟ้องหย่าได้
การที่ภริยาร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของสามีเป็นการกระทำด้วยอารมณ์หึงหวงเนื่องจากถูกสามีทอดทิ้งและถูกทำร้ายทางจิตใจเพราะสามีไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นแม้ภริยาจะขอให้ผู้บังคับบัญชาลงโทษทางวินัยแก่สามีก็เป็นเพียงวิธีการที่จะให้สามีเลิกมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นและเหตุก็เกิดขึ้นจากความผิดของสามีเองการกระทำของภริยายังไม่เพียงพอที่จะถือว่าได้กระทำการให้สามีได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรงและได้รับความเสียหายเดือดร้อนเกินควรอันจะเป็นเหตุให้สามีฟ้องหย่าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 274/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่าจากความสัมพันธ์ชู้สาวและการร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชา ไม่ถือเป็นเหตุให้หย่าได้
การที่ภริยาร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของสามี เป็นการกระทำด้วยอารมณ์หึงหวง เนื่องจากถูกสามีทอดทิ้งและถูกทำร้ายทางจิตใจเพราะสามีไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่น แม้ภริยาจะขอให้ผู้บังคับบัญชาลงโทษทางวินัยแก่สามีก็เป็นเพียงวิธีการที่จะให้สามีเลิกมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่น และเหตุก็เกิดขึ้นจากความผิดของสามีเอง การกระทำของภริยายังไม่เพียงพอที่จะถือว่าได้กระทำการให้สามีได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง และได้รับความเสียหายเดือดร้อนเกินควร อันจะเป็นเหตุให้สามีฟ้องหย่าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 274/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร้องเรียนสามีต่อผู้บังคับบัญชาจากความหึงหวง ไม่เป็นเหตุฟ้องหย่า
การที่ภริยาร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของสามี เป็นการกระทำด้วยอารมณ์หึงหวง เนื่องจากถูกสามีทอดทิ้งและถูกทำร้ายทางจิตใจ เพราะสามีไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่น แม้ภริยาจะขอให้ผู้บังคับบัญชาลงโทษทางวินัยแก่สามีก็เป็นเพียงวิธีการที่จะให้สามีเลิกมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่น และเหตุก็เกิดขึ้นจากความผิดของสามีเอง การกระทำของภริยายังไม่เพียงพอที่จะถือว่าได้กระทำการให้สามีได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง และได้รับคสวามเสียหายเดือดร้อนเกินควร อันจะเป็นเหตุให้สามีฟ้องหย่าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 69/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บาดเจ็บสาหัส-บุกรุกเคหสถาน: ศาลฎีกาตัดสินกรณีทำร้ายร่างกายและบุกรุกพื้นที่หน้าบ้าน
ผู้เสียหายถูกจำเลยที่6ทำร้ายได้รับบาดเจ็บที่ดั้งจมูกแต่ผู้เสียหายมิได้รักษาโดยวิธีผ่าตัดตามความเห็นแพทย์คงเอายามากินที่บ้านตั้งแต่เกิดเหตุจนปัจจุบันเป็นเวลานานถึง10เดือนเศษแสดงว่าผู้เสียหายสามารถไปทำงานหรือทำธุรกิจอื่นได้แม้แพทย์ผู้ตรวจจะทำรายงานว่าต้องรักษาโดยวิธีผ่าตัดแล้วใช้เวลารักษาอย่างน้อย21วันจึงจะหายเป็นปกติก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของแพทย์ที่กะประมาณไว้ในขณะทำการตรวจซึ่งไม่แน่นอนว่าจะถูกต้องตามนั้นหรือไม่บาดแผลอาจจะหายเร็วกว่ากำหนดไว้นั้นก็ได้ด้วยเหตุนี้จึงยังไม่พอฟังว่าบาดแผลของผู้เสียหายดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้เสียหายป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า20วันอันจะเข้าลักษณะเป็นอันตรายสาหัส สนามหญ้าบริเวณที่เกิดเหตุแม้จะเป็นสนามหญ้าตลอดติดต่อเป็นผืนเดียวไม่มีรั้วล้อมรอบไม่มีเครื่องหมายแสดงให้ทราบว่าเป็นแนวเขตของบ้านพักก็ตามแต่ก็เป็นที่เห็นได้ว่าบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งเป็นสนามหญ้านั้นอยู่หน้าบ้านพักอันเป็นที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายจำเลยที่6เข้าไปในบริเวณดังกล่าวแล้วใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายจึงเป็นการเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายโดยไม่มีเหตุอันสมควรอันเป็นความผิดฐานบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 69/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บาดเจ็บสาหัส: การรักษาด้วยยา vs. ผ่าตัด และเขตเคหสถาน
ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บที่ดั้งจมูกและรักษาโดยกินยามาตั้งแต่วันเกิดเหตุจนปัจจุบันเป็นเวลานานถึง 10 เดือนเศษ การที่ผู้เสียหายมิได้รักษาโดยวิธีผ่าตัด คงเอายามากินที่บ้านจนปัจจุบัน แสดงว่าผู้เสียหายสามารถไปทำงานหรือทำธุรกิจอื่นได้ จึงยังไม่พอฟังว่าบาดแผลของผู้เสียหายดังกล่าว เป็นเหตุให้ผู้เสียหายป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน อันจะเข้าลักษณะเป็นอันตรายสาหัส
สถานที่เกิดเหตุแม้จะเป็นสนามหญ้าตลอดติดต่อเป็นผืนเดียวไม่มีรั้วล้อมรอบ ไม่มีเครื่องหมายแสดงให้ทราบว่าเป็นแนวเขตของบ้านพักก็ตามแต่ก็เป็นที่เห็นได้ว่าบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งเป็นสนามหญ้านั้นอยู่หน้าบ้านพัก ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของผู้เสียหาย ถือได้ว่าเป็นเคหสถานของผู้เสียหาย ตาม ป.อ. มาตรา1 (4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 69/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกเคหสถานและการพิจารณาความรุนแรงของบาดเจ็บที่ดั้งจมูกเพื่อประกอบการพิจารณาความผิดฐานทำร้ายร่างกาย
ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บที่ดั้งจมูกและรักษาโดยกินยามาตั้งแต่วันเกิดเหตุจนปัจจุบันเป็นเวลานานถึง10เดือนเศษการที่ผู้เสียหายมิได้รักษาโดยวิธีผ่าตัดคงเอายามากินที่บ้านจนปัจจุบันแสดงว่าผู้เสียหายสามารถไปทำงานหรือทำธุรกิจอื่นได้จึงยังไม่พอฟังว่าบาดแผลของผู้เสียหายดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้เสียหายป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันอันจะเข้าลักษณะเป็นอันตรายสาหัส สถานที่เกิดเหตุแม้จะเป็นสนามหญ้าตลอดติดต่อเป็นผืนเดียวไม่มีรั้วล้อมรอบไม่มีเครื่องหมายแสดงให้ทราบว่าเป็นแนวเขตของบ้านพักก็ตามแต่ก็เป็นที่เห็นได้ว่าบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งเป็นสนามหญ้านั้นอยู่หน้าบ้านพักซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายถือได้ว่าเป็นเคหสถานของผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา1(4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9342/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์คืนของหมั้นสินสอดต้องห้ามตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความแพ่ง
อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามที่ว่าศาลชั้นต้นพิพากษาให้คืนของหมั้นและสินสอดแก่โจทก์ไม่ถูกต้อง เพราะว่าไม่มีการหมั้น อีกทั้งไม่มีเหตุที่ต้องคืนสินสอดให้แก่โจทก์ตามกฎหมาย จำเลยทั้งสามจึงไม่ได้ผิดสัญญาและไม่ต้องคืนของหมั้นและสินสอดเป็นเงินรวม 41,250 บาท แก่โจทก์เป็นการ โต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังมาว่ามีการหมั้น และ จำเลยทั้งสามเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นต้องคืนของหมั้นและสินสอด แก่โจทก์ จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและทุนทรัพย์ที่พิพาทกัน ในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท อีกทั้งมิได้เป็นคดีที่ เกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามจึงต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
of 30