พบผลลัพธ์ทั้งหมด 295 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5034/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเงินกู้มีผลสมบูรณ์เมื่อมีมูลหนี้จากการเล่นแชร์ การนำสืบถึงที่มาของหนี้ไม่เป็นการนำสืบนอกฟ้อง
มูลหนี้ของสัญญาเงินกู้มาจากการเล่นแชร์อันเป็นมูลหนี้ที่ชอบด้วยกฎหมายและบังคับกันได้และกรณีเช่นนี้ไม่จำต้องมีการส่งมอบเงินให้แก่จำเลยอีกเพราะถือเสมียนหนึ่งว่าได้มีการส่งมอบเงินกู้ให้แก่จำเลยไปแล้วดังนั้นสัญญาเงินกู้จึงมีผลสมบูรณ์ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยเป็นหนี้ค่าเล่นแชร์ที่โจทก์ในฐานะนายวงแชร์ได้ใช้เงินแทนให้จำเลยไปแล้วจำเลยจึงได้ทำสัญญาเงินกู้ให้ไว้แก่โจทก์นั้นเป็นการนำสืบถึงที่มาแห่งมูลหนี้ของหนี้เงินกู้ตามฟ้องซึ่งโจทก์ชอบที่จะนำสืบได้มิใช่เป็นการนำสืบนอกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5029/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมให้ผู้อื่นจัดสรรที่ดินและทำนิติกรรมแทน ย่อมผูกพันเจ้าของที่ดิน
จำเลยที่ 1 มีวัตถุประสงค์ในการซื้อขายที่ดินจัดแบ่งที่ดินออกเป็นแปลงย่อยเพื่อจัดจำหน่ายทั้งปลูกสร้างอาคารและบ้านพักเพื่อให้เช่าหรือขายแก่บุคคลภายนอกเป็นผู้ขออนุญาตจัดสรรที่ดิน ได้ขอแบ่งแยกที่ดินออกเป็นแปลงย่อยได้4,992 แปลง การที่จำเลยที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 2 นำที่ดินของจำเลยที่ 1 ออกจัดสรรขายให้แก่บุคคลทั่วไป โดยจำเลยที่ 1 จะส่งพนักงานออกไปทำนิติกรรมโอนขายที่ดินและบ้านให้แก่ลูกค้าของจำเลยที่ 2 เท่ากับเป็นการยอมรับว่า สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและสัญญารับจ้างก่อสร้างบ้านบนที่ดินที่จำเลยที่ 2 ทำกับลูกค้านั้นมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เชิดจำเลยที่ 2 ออกแสดงเป็นตัวแทนของตน หรือรู้แล้วยอมให้จำเลยที่ 2 เชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดโอนที่ดินและบ้านแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5029/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมให้ผู้อื่นจัดสรรที่ดินและรับจ้างก่อสร้างบ้าน ถือเป็นการเชิดตัวแทน จำเลยต้องรับผิดชอบตามสัญญา
จำเลยที่1มีวัตถุประสงค์ในการซื้อขายที่ดินจัดแบ่งที่ดินออกเป็นแปลงย่อยเพื่อจัดจำหน่ายทั้งปลูกสร้างอาคารและบ้านพักเพื่อให้เช่าหรือขายแก่บุคคลภายนอกเป็นผู้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินได้ขอแบ่งแยกที่ดินออกเป็นแปลงย่อยได้4,992แปลงการที่จำเลยที่1ยินยอมให้จำเลยที่2นำที่่ดินของจำเลยที่1ออกจัดสรรขายให้แก่บุคคลทั่วไปโดยจำเลยที่1จะส่งพนักงานออกไปทำนิติกรรมโอนขายที่ดินและบ้านให้แก่ลูกค้าของจำเลยที่2เท่ากับเป็นการยอมรับว่าสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและสัญญารับจ้างก่อสร้างบ้านบนที่ดินที่จำเลยที่2ทำกับลูกจ้างนั้นมีผลผูกพันจำเลยที่1ถือได้ว่าจำเลยที่1ได้เชิดจำเลยที่2ออกแสดงเป็นตัวแทนของตนหรือรู้แล้วยอมให้จำเลยที่2เชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนจำเลยที่1จึงต้องรับผิดโอนที่ดินและบ้านแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4978/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดการพิจารณาคดีแพ่งรอผลคดีอาญาเกี่ยวกับการปลอมลายมือชื่อในเอกสารโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน
โจทก์ฟ้องว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของโจทก์โดยจำเลยทั้งสี่โอนให้เพื่อชำระหนี้จำนองจำเลยทั้งสี่ให้การต่อสู้ว่าจำเลยทั้งสี่เป็นเจ้าของโดยจำเลยทั้งสี่ได้ยื่นฟ้องโจทก์กับพวกเป็นคดีอาญาสินไหมว่าร่วมกันปลอมลายมือชื่อจำเลยที่4ในหนังสือมอบอำนาจและนำไปขอจดทะเบียนโอนที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของโจทก์และขอให้เพิกถอนการโอนประเด็นในคดีอาญามีว่าลายมือชื่อของจำเลยที่4ในหนังสือมอบอำนาจปลอมหรือไม่เช่นเดียวกับคดีนี้ซึ่งคำวินิจฉัยในคดีอาญาอาจทำให้การชี้ขาดตัดสินคดีนี้เปลี่ยนแปลงไปทั้งจำเลยทั้งสี่ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นงดการอ่านคำพิพากษาคดีนี้ไว้แล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา39เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งประทับฟ้องคดีอาญาแล้วจึงมีเหตุสมควรที่จะงดรอฟังข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวไว้ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4978/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาคดีอาญาต่อการพิจารณาคดีแพ่ง: ลายมือชื่อปลอมในหนังสือมอบอำนาจ
ประเด็นในคดีอาญามีว่าลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจของจำเลยที่ 4 เป็นลายมือชื่อปลอมหรือไม่ ซึ่งจะต้องวินิจฉัยอย่างเดียวกับคดีนี้ หากศาลในคดีอาญาวินิจฉัยว่า ลายมือชื่อของจำเลยที่ 4 ในหนังสือมอบอำนาจเป็นลายมือชื่อปลอม อาจทำให้การตัดสินคดีนี้เปลี่ยนแปลงไป จึงสมควรงดการพิจารณาคดีนี้ไว้รอฟังข้อเท็จจริงที่จะปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาก่อน
การจะรอฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล
การจะรอฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4918/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานแม้ไม่ได้แนบสำเนาบัญชีระบุพยาน เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานโดยไม่ได้แนบสำเนาบัญชีระบุพยานให้แก่จำเลยแต่พยานหลักฐานตามบัญชีระบุพยานดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลรับฟังพยานหลักฐานนั้นโดยให้โจกท์นำพยานเข้าสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา87(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4918/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานแม้ไม่ได้แนบสำเนาบัญชีระบุพยาน เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
พยานหลักฐานของโจทก์ตามบัญชีระบุพยานซึ่งไม่ได้แนบสำเนาให้แก่จำเลยด้วยล้วนเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลก็ชอบที่จะรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา87(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4779/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกัน ศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาอาญา
คดีแพ่งคู่ความตกลงกันให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีไปตามคำเบิกความของพยานในคดีอาญาโดยไม่มีการสืบพยานเมื่อปรากฎว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งตามที่ตกลงกันดังกล่าวศาลก็ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา46ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4779/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญา
คดีแพ่งคู่ความตกลงกันให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีไปตามคำเบิกความของพยานในคดีอาญาโดยไม่มีการสืบพยาน เมื่อปรากฏว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งตามที่ตกลงกันดังกล่าวศาลก็ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4702/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งข้อหาและการสอบสวนความผิดต่างกรรมกัน ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยได้ แม้ไม่ได้แจ้งข้อหาทุกกระทง
พนักงานสอบสวนไม่จำต้องแจ้งข้อหาทุกกระทงความผิดแม้เดิมตั้งข้อหาหนึ่งแต่เมื่อสอบสวนแล้วปรากฏว่าเป็นความผิดข้อหาอื่นด้วยก็เรียกว่ามีการสอบสวนในความผิดข้อหาหลังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา120และศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดข้อหานี้ได้