คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชัยนาท พันตาวงศ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 295 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 581/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการวินิจฉัยเรื่องระยะเวลาฟ้องคดีครอบครองปรปักษ์ แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้
ปัญหาว่าศาลชอบที่จะยกปัญหาเรื่องระยะเวลาการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินขึ้นวินิจฉัยหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 544/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายยาเสพติด: พยานหลักฐานจากคำรับสารภาพและพยานผู้เห็นเหตุการณ์เพียงพอพิสูจน์ความผิด
พฤติการณ์แห่งคดีไม่มีเหตุให้ระแวงว่าพันตำรวจตรี ศ.ซึ่งเป็น ประจักษ์พยานสำคัญของโจทก์จะกลั่นแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยเมื่อพยานเบิกความถึงบุคคลหรือสิ่งของใดก็มีบุคคลหรือสิ่งของที่อ้างถึงมาแสดงแม้ ช. จะเบิกความว่าในวันเกิดเหตุพยานมิได้มาซื้อเฮโรอีนจากจำเลยพยานเพียงแต่มาเอาเฮโรอีนซึ่งซุกซ่อนไว้ในบ้านของจำเลยก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่ ช. จะต้องให้ถ้อยคำปรักปรำจำเลยทั้งในชั้นจับกุมและสอบสวนว่าตนมาซื้อเฮโรอีนจากจำเลยการที่ ช. เบิกความบิดเบือนข้อเท็จจริงเช่นนั้นก็เพื่อช่วยเหลือจำเลยนั่นเองและนอกจากเจ้าพนักงานตำรวจจะจับกุมจำเลยได้พร้อมด้วยของกลางแล้วจำเลยก็ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวนด้วย พยานหลักฐานโจทก์ รับฟังประกอบกันได้ว่าจำเลย มีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและ จำหน่ายเฮโรอีนให้แก่ ช. จริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 528/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อเท็จจริงศาลอุทธรณ์ยุติ จำเลยผิดสัญญาซื้อขายที่ดิน แม้ฎีกาปัญหาข้อกฎหมาย
คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่จำเลยไม่ยอมรับแคชเชียร์เช็คแทนการชำระหนี้ด้วยเงินสดจากโจทก์ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2531จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหาได้ไม่นั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2531 โจทก์พร้อมที่จะชำระราคาที่ดินให้แก่จำเลยและรับโอนกรรมสิทธิ์ แต่จำเลยกลับเป็นฝ่ายที่ไม่พร้อมที่จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์เพราะที่ดินที่ขายติดจำนอง และจำเลยมิได้ติดต่อกับผู้รับจำนองเพื่อให้ผู้รับจำนองนำโฉนดที่ดินและเอกสารมาที่สำนักงานที่ดินเพื่อจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและโอนขายให้แก่โจทก์ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ดังนั้นไม่ว่าผลแห่งคำวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยจะออกมาในรูปใดก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังเป็นยุติแล้วได้ ผลแห่งคดีก็คงเป็นเช่นเดิมปัญหาข้อกฎหมายตามที่จำเลยฎีกา จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 528/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีซื้อขายที่ดิน: ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงยุติแล้ว แม้ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายก็ไม่กระทบผลคดี
คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งที่จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่าการที่จำเลยไม่ยอมรับแคชเชียร์เช็คแทนการชำระหนี้ด้วยเงินสดจากโจทก์ในวันที่16พฤศจิกายน2531จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหาได้ไม่นั้นเมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าในวันที่16พฤศจิกายน2531โจทก์พร้อมที่จะชำระราคาที่ดินให้แก่จำเลยและรับโอนกรรมสิทธิ์แต่จำเลยกลับเป็นฝ่ายที่ไม่พร้อมที่จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์เพราะที่ดินที่ขายติดจำนองและจำเลยมิได้ติดต่อกับผู้รับจำนองเพื่อให้ผู้รับจำนองนำโฉนดที่ดินและเอกสารมาที่สำนักงานที่ดินเพื่อจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและโอนขายให้แก่โจทก์จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาดังนั้นไม่ว่าผลแห่งคำวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฏีกาของจำเลยจะออกมาในรูปใดก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังเป็นยุติแล้วได้ผลแห่งคดีก็คงเป็นเช่นเดิมปัญหาข้อกฎหมายตามที่จำเลยฎีกาจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 510/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบมูลหนี้เดิมและการฟ้องเกินคำขอท้ายฟ้อง รวมถึงข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินไปจากโจทก์แต่โจทก์นำสืบว่าเดิมภริยาของจำเลยกู้เงินโจทก์ไปต่อมาจำเลยยอมทำสัญญากู้พิพาทให้โจทก์เป็นการนำสืบถึงมูลหนี้เดิมซึ่งเป็นรายละเอียดโจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายในฟ้องก็ได้การที่ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ก็ไม่เป็นการเกินคำขอท้ายฟ้อง จำเลยฎีกาว่ามีการนำดอกเบี้ยผิดกฎหมายรวมในสัญญากู้เป็นปัญหาข้อกฎหมายแต่การวินิจฉัยต้องอาศัยข้อเท็จจริงซึ่งศาลล่างฟังเป็นยุติแล้วว่าโจทก์เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้พิพาทเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่ฎีกาจึงมีผลเป็นอย่างเดียวกับการฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 510/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบข้อเท็จจริงต่างจากฟ้องไม่เกินคำขอท้ายฟ้อง หากเป็นรายละเอียดของมูลหนี้เดิม
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่1กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน51,000บาทและรับเงินไปในวันทำสัญญาแล้วการที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่1ไม่ได้รับเงินไปในวันทำสัญญาโดยเดิมภริยาของจำเลยที่1เคยกู้เงินยืมโจทก์ต่อมาโจทก์กับจำเลยที่1ได้ทำความตกลงหนี้ส่วนที่ภริยาของจำเลยที่1กู้ยืมเงินโจทก์ปรากฏว่าภริยาของจำเลยที่1เป็นหนี้โจทก์ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน51,000บาทจำเลยที่1จึงทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้โดยจำเลยที่2เข้าทำสัญญาค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าวเป็นการนำสืบถึงมูลหนี้เดิมก่อนที่จะนำเอามูลหนี้นั้นมาทำเป็นสัญญากู้ซึ่งเป็นรายละเอียดโจทก์ไม่จำต้องบรรยายถึงมูลหนี้เดิมมาในฟ้องก็ได้การนำสืบของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่เป็นการนำสืบแตกต่างกันหรือขัดแย้งกับคำฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 505-506/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ตัวการร่วมในความผิดพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร ต้องแสดงการร่วมกระทำในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ
การเข้าร่วมกระทำความผิดด้วยกันที่กฎหมายบัญญัติว่าเป็นตัวการจะต้องเป็นการเข้าร่วมในระหว่างที่มีการกระทำความผิดแต่เมื่อไม่ปรากฏว่าระหว่างที่ อ. กับ น. ไปรับผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์ออกมาจากบ้านจนถึงเวลาที่นำผู้เสียหายไปยังบ้านที่เกิดเหตุนั้นจำเลยทั้งสองได้มีส่วนร่วมรู้เห็นหรือร่วมกระทำการด้วยทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองร่วมคบคิดหรือนัดแนะกับ อ.และ น. อยู่ก่อนแล้วในการที่ อ. กับ น. จะพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารแม้จำเลยทั้งสองได้ตามไปยังบ้านที่เกิดเหตุและได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นตัวการร่วมกับ อ. และ น. พาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 505-506/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ต้องเป็นการเข้าร่วมขณะเกิดเหตุ หากไม่มีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น ไม่เป็นตัวการ
การเข้าร่วมกระทำความผิดด้วยกันที่กฎหมายบัญญัติว่าเป็นตัวการนั้นจะต้องเป็นการเข้าร่วมในระหว่างที่มีการกระทำความผิดเมื่อไม่ปรากฎว่าระหว่างที่ อ.กับ น. ไปรับผู้เสียหายออกมาจากบ้านจนถึงเวลาที่นำผู้เสียหายไปยังบ้านที่เกิดเหตุนั้นจำเลยทั้งสองได้มีส่วนร่วมรู้เห็นหรือร่วมกระทำการดังกล่าวด้วยแต่อย่างใดทั้งการที่ อ.กับ น.จะพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารก็ไม่ปรากฎว่าจำเลยทั้งสองร่วมคบคิดหรือนัดแนะกับ อ. และ น. อยู่ก่อนแล้วดังนี้แม้จำเลยทั้งสองได้ตามไปยังบ้านที่เกิดเหตุและได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายจริงก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นตัวการร่วมกับ อ. และ น. พาผู้เสียหายไปในคืนเกิดเหตุจำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 411/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดของลูกจ้างชั่วคราว: การไม่ร่วมประมาทเลินเล่อเมื่อไม่ได้ควบคุมดูแล
จำเลยที่ 1 กับ ป. มีหน้าที่ครอบครองและควบคุมดูแลรถยนต์รวมทั้งมีหน้าที่ขับรถยนต์ของโจทก์และต่างก็เป็นลูกจ้างชั่วคราวของโจทก์ด้วยกันหากจะถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้าคนงาน การสั่งให้ ป.ขับรถยนต์ไปบรรทุกหินก็เป็นการสั่งให้ ป.ไปปฏิบัติหน้าที่ในราชการของโจทก์ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1ร่วมประมาทเลินเล่อกับ ป.ด้วย เมื่อเหตุละเมิดครั้งนี้เกิดจากความประมาทเลิน-เล่อของ ป.แต่ผู้เดียวโดยที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ครอบครองหรือควบคุมดูแลรถยนต์คันเกิดเหตุในขณะเกิดเหตุตาม ป.พ.พ. มาตรา 437 จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับ ป.ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 411/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความรับผิดของลูกจ้างชั่วคราวต่อเหตุละเมิดจากการขับรถยนต์
จำเลยที่1กับ ป. มีหน้าที่ครอบครองและควบคุมดูแลรถยนต์รวมทั้งมีหน้าที่ขับรถยนต์ของโจทก์และต่างก็เป็นลูกจ้างชั่วคราวของโจทก์ด้วยกันหากจะถือว่าจำเลยที่1เป็นหัวหน้าคนงานการสั่งให้ป. ขับรถยนต์ไปบรรทุกหินก็เป็นการสั่งให้ ป. ไปปฏิบัติหน้าที่ในราชการของโจทก์ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่1ร่วมประมาทเลินเล่อกับ ป. ด้วยเมื่อเหตุละเมิดครั้งนี้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของ ป. แต่ผู้เดียวโดยที่จำเลยที่1ไม่ได้ครอบครองหรือควบคุมดูแลรถยนต์คันเกิดเหตุในขณะเกิดเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา437จำเลยที่1จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับ ป. ด้วย
of 30