พบผลลัพธ์ทั้งหมด 295 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1140/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมีทุนทรัพย์เกินสองแสนบาท จึงห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่ออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่าที่ดินเฉพาะส่วนที่พิพาทเป็นของจำเลย จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์แม้จะไม่ปรากฏว่าราคาที่ดินพิพาท แต่ก็ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์โดยจำเลยมิได้โต้แย้งว่าที่ดินมีเนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 25 ตารางวาโจทก์ซื้อมาในราคา 61,093.75 บาท แต่ที่ดินพิพาทเป็นเพียงส่วนหนึ่งของที่ดินที่โจทก์ซื้อมา มีเนื้อที่เพียง 75 ตารางวา ย่อมมีราคาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1140/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีมีทุนทรัพย์เมื่อราคาที่ดินพิพาทไม่ชัดเจน
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่ออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่า ที่ดินเฉพาะส่วนที่พิพาทเป็นของจำเลย จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ แม้จะไม่ปรากฏราคาที่ดินพิพาท แต่ก็ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์โดยจำเลยมิได้โต้แย้งว่าที่ดินมีเนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 25 ตารางวา โจทก์ซื้อมาในราคา 61,093.75 บาทแต่ที่ดินพิพาทเป็นเพียงส่วนหนึ่งของที่ดินที่โจทก์ซื้อมา มีเนื้อที่เพียง 75 ตารางวาย่อมมีราคาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1041/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องรื้อถอนอาคารผิดกฎหมาย: อำนาจฟ้อง, การก่อสร้างผิดแบบ, และอายุความที่ไม่ใช่ละเมิด
โจทก์กล่าวไว้ในฟ้องว่าโจทก์มอบอำนาจของโจทก์ไว้ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 จำเลยได้รับสำเนาเอกสารดังกล่าวไปพร้อมฟ้องแล้วไม่ได้โต้แย้งคัดค้านการนำเอกสารมาสืบก่อนวันสืบพยานว่าไม่มีต้นฉบับหรือว่าต้นฉบับปลอมทั้งฉบับหรือบางส่วน สำเนานั้นไม่ถูกต้องกับต้นฉบับและไม่ได้ขออนุญาตคัดค้านในภายหลัง ถือได้ว่าจำเลยยอมรับถึงการมีอยู่ของต้นฉบับและความถูกต้องแท้จริงของต้นฉบับเอกสารนั้นรวมทั้งยอมรับว่าสำเนานั้นตรงกับต้นฉบับ ศาลมีอำนาจรับฟังสำเนาเอกสารนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 125 ตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ข้อ 72 วรรคสาม บัญญัติให้แนวอาคารที่ปลูกสร้างริมทางสาธารณะที่มีความกว้างตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไปให้ร่นแนวอาคารห่างจากแนวถนนอย่างน้อย 1 ใน 10 ของความกว้างของแนวถนนนั้น คำว่า "แนวถนน" หมายความว่ารวมความกว้างของถนนและทางเท้าเข้าด้วยกัน ความผิดฐานก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายมิใช่ความผิดละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์จึงฟ้องขอให้รื้อถอนได้เสมอตราบที่อาคารซึ่งฝ่าฝืนกฎหมายยังคงอยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1030/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและการโต้แย้งสิทธิ: โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหากยังไม่มีการโต้แย้งสิทธิการครอบครองที่ชัดเจน
การที่จำเลยอ้างกับโจทก์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยไม่เคยขายให้โจทก์ ขอให้โจทก์ออกไปจากที่ดินพิพาท ทั้งคำฟ้องของโจทก์ก็มิได้ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ตามสัญญาซื้อขายเพียงแต่ขอให้ศาลพิพากษาแสดงสิทธิว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองและเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทเท่านั้น ยังไม่มีการกระทำสิ่งใดอันจะถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)ประกอบมาตรา 246 แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 863/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเจรจาให้เงินเพื่อออกจากที่ดินสาธารณะ ไม่ถือเป็นการข่มขู่หรือข่มเหง
ก่อนเกิดเหตุ ท.ได้ให้ผู้ตายไปบอกจำเลยให้ขนย้ายบริวารออกไปจากที่ดินป่าซายเลนซึ่งเป็นที่ดินของทางราชการที่จำเลยปลูกบ้านอยู่ และที่ดินแปลงดังกล่าวทางราชการได้ให้บุคคลอื่นเช่าไปแล้ว โดยเสนอให้เงินจำเลยจำนวน 60,000 บาท โดยมี พ.กับนายดาบตำรวจ บ.ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจไปด้วย และบุคคลทั้งสามไม่มีอาวุธปืนติดตัว ผู้ตายยืนพูดกับจำเลยบริเวณหน้า-ประตูบ้านจำเลย ส่วน พ.และนายดาบตำรวจ บ.ยืนห่างผู้ตายประมาณ 10 เมตรซึ่งเป็นบริเวณนอกบ้านจำเลย ที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านอยู่ก็มีบุคคลอื่นเช่าแล้วจำเลยจึงอยู่อาศัยในที่ดินแปลงดังกล่าวโดยไม่มีสิทธิโดยชอบ การพูดจาระหว่างจำเลยกับผู้ตายน่าจะพูดถึงเงินจำนวน 60,000 บาท ที่เสนอให้ด้วย และการที่พ.กับนายดาบตำรวจ บ.ไปด้วยก็เป็นการไปเป็นเพื่อด้วยเท่านั้น ดังนั้น จึงถือได้ว่าเป็นกรณีที่กระทำไปโดยสมควร ไม่มีลักษณะเป็นการข่มขู่แต่อย่างใดจึงไม่ถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 863/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยิงผู้อื่นเสียชีวิต: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการเสนอเงินให้ย้ายออก ไม่ใช่การข่มขู่จนถึงขั้นบันดาลโทสะ
ก่อนเกิดเหตุ น. ได้ให้ผู้ตายไปบอกแก่จำเลยให้ขนย้ายบริวารออกไปจากที่ดินป่าชายเลนที่จำเลยปลูกบ้านอยู่ โดยเสนอให้เงินจำนวน 60,000 บาท เนื่องจากที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ดินของทางราชการอยู่ในความดูแลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดซึ่งได้ให้บุคคลอื่นเช่าไปแล้ว จำเลยจึงเช่าไม่ได้ โดยมี พ. กับนายดาบตำรวจบ. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจไปด้วย ทั้งนี้บุคคลทั้งสามไม่มีอาวุธปืนติดตัว ผู้ตายไปถึงก่อนและยืนพูดกับจำเลยบริเวณหน้าประตูบ้านจำเลย พ. กับนายดาบตำรวจ บ. ตามมาไล่ ๆ กันเพื่อจะเป็นเพื่อนผู้ตาย และยืนอยู่ด้วยกันห่างผู้ตายประมาณ10 เมตร ซึ่งเป็นบริเวณนอกบ้านจำเลย การพูดจาระหว่างผู้ตายกับจำเลยมีการพูดถึงเงิน 60,000 บาท ที่เสนอให้ด้วย เช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นกรณีที่กระทำไปโดยสมควร ไม่น่าจะมีลักษณะเป็นการข่มขู่แต่อย่างใด จึงไม่ถือว่าเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยเข้าไปในบ้านหยิบเอาอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยว มายิงผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 863/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ: การเสนอเงินเพื่อขอที่ดิน และการไม่มีลักษณะข่มขู่
ก่อนเกิดเหตุ ท.ได้ให้ผู้ตายไปบอกจำเลยให้ขนย้ายบริวารออกไปจากที่ดินป่าชายเลนซึ่งเป็นที่ดินของทางราชการที่จำเลยปลูกบ้านอยู่ และที่ดินแปลงดังกล่าวทางราชการได้ให้บุคคลอื่นเช่าไปแล้ว โดยเสนอให้เงินจำเลยจำนวน 60,000 บาท โดยมี พ.กับนายดาบตำรวจ บ. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจไปด้วย และบุคคลทั้งสามไม่มีอาวุธปืนติดตัว ผู้ตายยืนพูดกับจำเลยบริเวณหน้าประตูบ้านจำเลย ส่วน พ.และนายดาบตำรวจ บ. ยืนห่างผู้ตายประมาณ 10 เมตร ซึ่งเป็นบริเวณนอกบ้านจำเลย ที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านอยู่ก็มีบุคคลอื่นเช่าแล้ว จำเลยจึงอยู่อาศัยในที่ดินแปลงดังกล่าวโดยไม่มีสิทธิโดยชอบ การพูดจาระหว่างจำเลยกับผู้ตายน่าจะพูดถึงเงินจำนวน 60,000 บาท ที่เสนอให้ด้วย และการที่ พ.กับนายดาบตำรวจ บ. ไปด้วยก็เป็นการไปเป็นเพื่อนด้วยเท่านั้นดังนั้น จึงถือได้ว่าเป็นกรณีที่กระทำไปโดยสมควร ไม่มีลักษณะเป็นการข่มขู่แต่อย่างใด จึงไม่ถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 818/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าที่ดินทำสวนผลไม้ไม่เข้าข่ายการเช่านาตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524
จำเลยเช่าที่พิพาททำสวนปลูกฝรั่ง-พันธุ์เวียดนาม มะม่วงและมะพร้าวซึ่งล้วนแต่เป็นพืชต้องการน้ำมากและอายุยืนไม่ถือว่าเป็นพืชไร่ ตามนัยแห่งมาตรา 21พระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 กรณีมิใช่เป็นการเช่าที่ดินเพื่อทำนา จึงไม่สามารถอ้างอายุการเช่ามีกำหนดเวลา 6 ปี ตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวขึ้นต่อสู้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 818/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าที่ดินเพื่อทำการเกษตร: การพิจารณาประเภทพืชไร่ตาม พ.ร.บ.เช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 21 บัญญัติว่า "ทำนา" หมายความว่าการเพาะปลูกข้าวหรือพืชไร่ "พืชไร่" หมายความว่าพืชซึ่งต้องการน้ำน้อยและอายุสั้น หรือสามารถเก็บเกี่ยวครั้งแรกได้ภายในสิบสองเดือน เมื่อจำเลยเช่า ที่ดินทำสวนปลูกฝรั่ง พันธุ์เวียตนาม มะม่วง และมะพร้าวโดยส่วนใหญ่ ปลูกฝรั่ง พันธุ์เวียตนามซึ่งเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก ฉะนั้น แม้ฝรั่ง พันธุ์เวียตนามจะเก็บเกี่ยวผลครั้งแรกได้ภายใน 8 เดือน ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นพืชไร่ ส่วนมะม่วง มะพร้าว เป็นไม้ยืนต้น มีอายุยืนนานไม่เป็นพืชไร่เช่นกัน จึงไม่เป็นการเช่าที่ดินที่ได้รับ ความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2424
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 786/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเวนคืนที่ดิน: ราคาประเมิน, สิ่งปลูกสร้างหลังเวนคืน, และขอบเขตค่าทดแทนตามกฎหมาย
พ.ร.บ.เวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกฯ (พ.ศ.2526) มิได้บัญญัติเรื่องเงินค่าทดแทนไว้เป็นพิเศษ กรณีจึงต้องเป็นไปตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 76 (2) คือ เงินค่าทดแทนจะต้องกำหนดเท่าราคาของทรัพย์สินตามราคาของทรัพย์สินตามธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันที่ พ.ร.ฎ. กำหนดแนวทางที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษก ตอนแขวงบางซื่อ - แขวงลาดยาว พ.ศ.2517 ใช้บังคับ คือ วันที่ 29 พฤษภาคม 2517แต่โจทก์มิได้นำสืบว่าในวันเวลาดังกล่าวที่ดินของโจทก์มีราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดจำนวนเท่าใด ที่ดินของโจทก์ทั้งแปลงมีเนื้อที่ 7 ไร่ 2 งาน 80 ตารางวาโจทก์ซื้อมาตั้งแต่ พ.ศ.2521 ในราคา 11 ล้านบาทเศษ ถูกเวนคืนเพียง 3 ไร่2 งาน 48 ตารางวา การที่จำเลยนำบัญชีกำหนดจำนวนราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซึ่งมีผลใช้บังคับใน พ.ศ.2524 มาเป็นเกณฑ์ในการคำนวณเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์เป็นเงิน 8,140,337 บาท อันเป็นจำนวนเงินที่ใกล้เคียงกับราคาที่ดินทั้งแปลงที่โจทก์ซื้อมา จำนวนเงินค่าทดแทนดังกล่าวจึงน่าจะไม่ต่ำกว่าราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันที่ พ.ร.ฎ.ดังกล่าวใช้บังคับ ค่าทดแทนที่จำเลยกำหนดจึงชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมแก่โจทก์แล้ว
การปรับปรุงที่ดิน การทำถนนและอาคารโครงเหล็กตามที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องค่าทดแทนล้วนแล้วแต่ได้กระทำขึ้นภายหลังวันที่ พ.ร.ฎ.กำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกตอนแขวงบางซื่อ - แขวงลาดยาว พ.ศ.2517 ใช้บังคับ โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์การที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ทำถนนจากกรมทางหลวงก็ดี และได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารจากผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ก็ดี ผู้ออกใบอนุญาตเช่นว่านั้น หาได้กระทำไปในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์หรือได้รับมอบหมายจากบุคคลดังกล่าวตามเงื่อนไขที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 74 (2)กำหนดไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว
การปรับปรุงที่ดิน การทำถนนและอาคารโครงเหล็กตามที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องค่าทดแทนล้วนแล้วแต่ได้กระทำขึ้นภายหลังวันที่ พ.ร.ฎ.กำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกตอนแขวงบางซื่อ - แขวงลาดยาว พ.ศ.2517 ใช้บังคับ โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์การที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ทำถนนจากกรมทางหลวงก็ดี และได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารจากผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ก็ดี ผู้ออกใบอนุญาตเช่นว่านั้น หาได้กระทำไปในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์หรือได้รับมอบหมายจากบุคคลดังกล่าวตามเงื่อนไขที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 74 (2)กำหนดไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว