พบผลลัพธ์ทั้งหมด 295 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 504/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีเช็ค, การใช้กฎหมายใหม่ที่เป็นคุณแก่จำเลย, และการรอการลงโทษ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาตามรูปคดีต่อไป ดังนี้ ปัญหาเรื่องคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยว่าคดีไม่ขาดอายุความ จำเลยฎีกาว่า ศาลฎีกานำคำพยานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องมารับฟังเป็นผลร้ายแก่จำเลยประกอบคำเบิกความของพยานโจทก์ในชั้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยไม่เห็นด้วยนั้น เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 496/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คมีมูลหนี้ผิดกฎหมายจากดอกเบี้ยเกินอัตรา: จำเลยไม่ต้องรับผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
จำนวนเงินต้นในสัญญากู้ยืมเงิน ได้รวมดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย การที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้ดังกล่าว จึงเป็นเช็คที่มีมูลหนี้ผิดกฎหมายไม่อาจบังคับชำระได้รวมอยู่ด้วย แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น จำเลยก็ไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 มาตรา 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 374/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบิกความเท็จเพื่อประโยชน์ในการจัดการมรดก: ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
จำเลยเป็นน้อง ส. ขณะจำเลยเบิกความในคดีที่จำเลยร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ ส.นั้น จำเลยรู้อยู่แล้วว่า ส.ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้โจทก์และผู้อื่นแล้ว จำเลยจึงเป็นผู้ถูกตัดมิให้รับมรดก และไม่มีฐานะเป็นทายาทที่จะร้องขอให้ศาลตั้งเป็นผู้จัดการมรดก การที่จำเลยเบิกความในคดีดังกล่าวว่าส.มิได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้ผู้ใด และมิได้ตั้งผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดก เป็นเหตุให้ศาลเชื่อตามคำเบิกความของจำเลย และตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของ ส.คำเบิกความของจำเลยจึงเป็นข้อสำคัญในคดี การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 177
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 374/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบิกความเท็จต่อศาลเพื่อประโยชน์ในการจัดการมรดกเข้าข่ายความผิดฐานให้การเท็จ
จำเลยเป็นน้อง ส. ขณะจำเลยเบิกความในคดีที่จำเลยร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ ส. นั้น จำเลยรู้อยู่แล้วว่าส. ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้โจทก์และผู้อื่นแล้ว จำเลยจึงเป็นผู้ถูกตัดมิให้รับมรดก และไม่มีฐานะเป็นทายาทที่จะร้องขอให้ศาลตั้งเป็นผู้จัดการมรดก การที่จำเลยเบิกความในคดีดังกล่าวว่า ส. มิได้ทำพินัยกรรมทรัพย์มรดกให้ผู้ใด และมิได้ตั้งผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดก เป็นเหตุให้ศาลเชื่อตามคำเบิกความของจำเลย และตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของ ส. คำเบิกความของจำเลยจึงเป็นข้อสำคัญในคดี การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 297/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเวนคืนที่ดิน: การกำหนดค่าทดแทนที่ดินต้องเป็นราคาตลาดในวันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ
คำฟ้องของโจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างแต่เพียงว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งสองบางส่วนอยู่ในเขตทางหลวงเทศบาลที่จะต้องถูกเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกตอนแขวงวัดท่าพระ-แขวงสามเสนนอก พ.ศ. 2524เท่านั้น ไม่ได้กล่าวอ้างว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสองถูกเวนคืนตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์หรืออาศัยพระราชบัญญัติดังกล่าวและเมื่อกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว มอบอำนาจให้ผู้ว่าการทางพิเศษแห่งประเทศไทยเป็นผู้มีอำนาจเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างและขยายทางหลวงตลอดจนดำเนินการเจรจาทำความตกลงเรื่องเงินค่าทดแทนแล้ว หากโจทก์เห็นว่าจำนวนเงินค่าทดแทนที่โจทก์ทั้งสองได้รับมีจำนวนน้อยไม่เหมาะสมและไม่เป็นธรรม โจทก์ทั้งสองย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกค่าทดแทนเพิ่มจากจำเลยที่ 1 ได้ พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกตอนแขวงวัดท่าพระ-แขวงสามเสนนอก พ.ศ. 2524 ออกมาบังคับใช้แทนประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 23 เนื่องจากประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 23 จะหมดอายุใช้บังคับ การกำหนดค่าทดแทนจึงต้องกำหนดเท่ากับราคาขายที่ดินตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันที่พระราชกฤษฎีกาข้างต้นใช้บังคับ โดยเป็นไปตามความในข้อ 76 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น การที่จำเลยที่ 1 กำหนดค่าทดแทนให้โจทก์ทั้งสองโดยถือตามบัญชีกำหนดจำนวนราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมพ.ศ. 2524 ซึ่งเป็นราคาคงที่อยู่ตลอดเวลาที่ยังคงใช้บัญชีดังกล่าวจึงมิใช่ราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาด ที่ดินของโจทก์ที่ 1อีกสองแปลงซึ่งติดอยู่กับที่ดินพิพาทซึ่งก็ถูกกำหนดให้อยู่ในเขตทางหลวง โดยสองแปลงหลังนี้ได้รับค่าทดแทนเป็นเงินตารางวาละ6,000 บาท โจทก์ทั้งสองจึงควรได้รับค่าทดแทนที่ดินพิพาทในอัตราเท่ากันจึงจะเป็นค่าทดแทนที่สมควร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 182/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิโดยไม่สุจริตของผู้ให้เช่าซื้อในการขอคืนรถยนต์ของกลาง แม้เป็นเจ้าของ
จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ของกลางไปกระทำความผิดมาครั้งหนึ่งแล้วซึ่งผู้ร้องเคยติดต่อขอรถยนต์ของกลางคืนจากพนักงานสอบสวน แสดงว่าผู้ร้องทราบเรื่องแล้ว แต่หาได้บอกเลิกสัญญาและติดตามยึดรถยนต์ของกลางคืนทันทีไม่กลับปล่อยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับรถยนต์ของกลางกลับไปครอบครองใช้สอยและรับเงินค่าเช่าซื้อจากจำเลยที่ 1ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้นำรถยนต์ของกลางมา กระทำความผิดคดีนี้อีกซึ่งความข้อนี้อาจเป็นเพราะว่าตามสัญญาเช่าซื้อมีกำหนดให้จำเลยที่ 1ต้องรับผิดต่อผู้ร้องในทุกกรณีอยู่แล้วนั่นเอง ผู้ร้องจึงมิได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยที่ 1 พฤติการณ์แสดงว่าแม้จำเลยที่ 1 จะนำรถยนต์ของกลางไปใช้กระทำความผิดผู้ร้องก็ไม่ประสงค์จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อการที่ผู้ร้องมาร้องขอคืนของกลาง จึงเป็นการกระทำไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ไม่มีอำนาจที่จะร้องขอคืนของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินบำเหน็จตกทอดได้รับการคุ้มครองจากการบังคับคดี เนื่องจากมีลักษณะทางกฎหมายคล้ายคลึงกับเงินบำนาญ
บำเหน็จตกทอดที่จำเลยมีสิทธิได้รับจากกองเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญกรมการเงินกลาโหม กระทรวงกลาโหม นั้น โดยเจตนารมณ์ ของกฎหมายแล้วเป็นเงินประเภทเดียวกันกับเงินบำนาญที่รัฐบาลได้จ่ายให้แก่คู่สมรสหรือญาติที่ยังมีชีวิตของบุคคลเหล่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 286(2) จึงไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินบำเหน็จตกทอดและบำนาญตกทอดเป็นเงินประเภทเดียวกัน ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
เงินบำนาญตกทอดและเงินบำเหน็จตกทอดเป็นเงินที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน และเป็นเจตนารมณ์ อย่างเดียวกันของรัฐที่ต้องการให้คู่สมรสหรือญาติของข้าราชการหรือลูกจ้างรัฐบาลได้มีเงินเลี้ยงชีพต่อไป เมื่อข้าราชการหรือลูกจ้างถึงแก่กรรมไปแล้ว จะแตกต่างกันก็เพียงแต่วิธีการจ่ายเท่านั้น ฉะนั้นเงินบำเหน็จตกทอดที่จำเลยจะมีสิทธิได้รับเนื่องจากสามีของจำเลยถึงแก่กรรม จึงไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 286(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บำเหน็จตกทอดไม่ใช่ทรัพย์สินที่ถูกบังคับคดี
บำเหน็จตกทอดที่จำเลยมีสิทธิได้รับจากกองเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญกรมการเงินกลาโหม กระทรวงกลาโหม นั้น โดยเจตนารมณ์ของกฎหมายแล้วเป็นเงินประเภทเดียวกันกับเงินบำนาญที่รัฐบาลได้จ่ายให้แก่คู่สมรสหรือญาติที่ยังมีชีวิตของบุคคลเหล่านั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 286 (2) จึงไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 107/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวเป็นดุลพินิจศาลระหว่างพิจารณาคดี ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์หลังศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัย
แม้คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 4 จะไม่ถึงที่สุดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 119 ทวิ วรรคสาม ตามที่จำเลยที่ 4 ฎีกาก็ตาม แต่คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 4เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นเห็นว่า การปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 4 อาจก่อให้เกิดภัยอันตรายแก่พยานและเกิดความเสียหายแก่การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล ซึ่งเป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่พิจารณาโดยอาศัยหลักเกณฑ์แห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 108 เพื่อให้การดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นไปโดยไม่เกิดความเสียหายแก่คดีในระหว่างพิจารณาจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวน กรณีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 196 ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4 มาจึงเป็นการไม่ถูกต้อง ไม่มีผลให้จำเลยที่ 4 มีสิทธิฎีกา