พบผลลัพธ์ทั้งหมด 295 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9216/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษจำคุกเป็นมาตรการอื่นและการจำกัดสิทธิในการฎีกาข้อเท็จจริงในคดีอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 288,80 ลดมาตราส่วนโทษแล้ว ลงโทษจำคุกจำเลย 6 ปี ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรมแทน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 295 ให้มอบตัวจำเลยแก่บิดามารดาจำเลยไปอบรมดูแลฯ ดังนี้ เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะบทลงโทษจำเลย เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และการให้ส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรมหรือมอบตัวจำเลยแก่บิดามารดาจำเลยไปอบรมดูแลฯถือได้ว่าเบากว่าโทษจำคุก จึงเป็นการให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534มาตรา 6 ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9216/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษจากจำคุกเป็นบำบัดรักษาในคดีเยาวชน และข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80 ลดมาตราส่วนโทษแล้วลงโทษจำคุกจำเลย 6 ปี ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรมแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295ให้มอบตัวจำเลยแก่บิดามารดาจำเลยไปอบรมดูแลฯ ดังนี้เป็นกรณี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เฉพาะบทลงโทษจำเลย เป็นการแก้ไข เล็กน้อยและการให้ส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรม หรือมอบตัวจำเลยแก่บิดามารดาจำเลยไปอบรมดูแลฯ ถือได้ว่า เบากว่าโทษจำคุก จึงเป็นการให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 6 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9216/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษจากจำคุกเป็นบำบัดและอบรมในคดีเยาวชน การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเป็นอุปสรรค
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288,80ลดมาตราส่วนโทษแล้วลงโทษจำคุกจำเลย6ปีให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรมแทนศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา295ให้มอบตัวจำเลยแก่บิดามารดาจำเลยไปอบรมดูแลดังนี้เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะบทลงโทษจำเลยเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและการให้ส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรมหรือมอบตัวจำเลยแก่บิดามารดาจำเลยไปอบรมดูแลฯถือได้ว่าเบากว่าโทษจำคุกจึงเป็นการให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวพ.ศ.2534มาตรา6ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218วรรคหนึ่งที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9152/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมต้องมีเหตุผลสมควร หากไม่มีเหตุผลและคู่ความฝ่ายตรงข้ามเสียเปรียบ ศาลชอบที่จะไม่อนุญาต
ประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีในชั้นผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองมีว่าจำเลยเป็นหนี้ผู้ร้องและจำนองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นประกันการชำระหนี้ตามคำร้องนั้นโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ซึ่งทั้งผู้ร้องและโจทก์ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อสนับสนุนข้ออ้างตามคำร้องและข้ออ้างตามคำคัดค้านของตนตามประเด็นแห่งคดีที่พิพาทกันดังนั้นการยื่นบัญชีระบุจึงต้องตกอยู่ในบังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา88ที่บังคับใช้ในขณะนั้นแต่ตามคำร้องโจทก์ที่ขอยื่นระบุพยานเพิ่มเติมระบุเพียงว่าเพื่อให้ครบถ้วนสมบูรณ์และเป็นพยานสำคัญเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมขอให้ศาลอนุญาตโดยมิได้แสดงเหตุอันสมควรว่าโจทก์ไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบเพื่อประโยชน์ของตนหรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานบางอย่างได้มีอยู่หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใดอีกทั้งหากจะอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานตามคำร้องขอดังกล่าวแล้วก็จะทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบเพราะผู้ร้องได้สืบพยานเสร็จสิ้นแล้วและไม่มีโอกาสนำสืบหักล้างได้ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9152/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมต้องแสดงเหตุอันสมควรและไม่ทำให้คู่ความเสียเปรียบ
ประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีในชั้นผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองมีว่า จำเลยเป็นหนี้ผู้ร้องและจำนองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นประกันการชำระหนี้ตามคำร้องนั้นโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งทั้งผู้ร้องและโจทก์ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อสนับสนุนข้ออ้างตามคำร้องและข้ออ้างตามคำคัดค้านของตนตามประเด็นแห่งคดีที่พิพาทกัน ดังนั้น การยื่นบัญชีระบุจึงต้องตกอยู่ในบังคับบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.มาตรา 88 ที่บังคับใช้ในขณะนั้น แต่ตามคำร้องโจทก์ที่ขอยื่นระบุพยานเพิ่มเติมระบุเพียงว่า เพื่อให้ครบถ้วนสมบูรณ์และเป็นพยานสำคัญ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมขอให้ศาลอนุญาต โดยมิได้แสดงเหตุอันสมควรว่าโจทก์ไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบเพื่อประโยชน์ของตน หรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานบางอย่างได้มีอยู่หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใด อีกทั้งหากจะอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานตามคำร้องขอดังกล่าวแล้ว ก็จะทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบ เพราะผู้ร้องได้สืบพยานเสร็จสิ้นแล้วและไม่มีโอกาสนำสืบหักล้างได้ ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7291/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งมอบรถจอดในที่รับฝาก ไม่ถือเป็นการฝากทรัพย์ หากไม่มีการส่งมอบกุญแจ จำเลยไม่ต้องรับผิด
ด.และห. นำรถยนต์เข้าไปจอดในบริเวณที่จอดรถที่จำเลยทั้งสองจัดให้มีขึ้นตามที่พนักงานของจำเลยทั้งสองบอกว่าข้างในมีที่จอด โดยได้ชำระเงินค่าจอดรถให้พนักงานของจำเลยทั้งสอง และได้รับใบรับซึ่งมีข้อความว่าบัตรจอดรถโดย ด.และห. ยังคงเก็บกุญแจรถไว้เองแล้วออกไปจากบริเวณที่จอดรถดังกล่าว ยังไม่พอฟังว่าเป็นการส่งมอบรถยนต์ให้แก่จำเลยทั้งสองอันจะทำให้จำเลยทั้งสองอยู่ในฐานะผู้รับฝากทรัพย์มีบำเหน็จ เมื่อรถยนต์ได้สูญหายไป จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7258/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายเวลาการยื่นฎีกา: เหตุสุดวิสัยและหน้าที่ของทนายความ
ทนายโจทก์ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตขยายเวลากำหนดยื่นฎีการวมสองครั้งแล้วต่อมาทนายโจทก์อ้างว่าต้องเดินทางไปจัดการแก้ปัญหาเรื่องที่ดินที่จังหวัดระนองเมื่อเสร็จธุรกิจแล้วเช้ามือของวันสุดท้ายที่จะต้องยื่นฎีกาทนายโจทก์ขับรถยนต์กลับกรุงเทพมหานครแต่รถยนต์ออกจากจังหวัดระนองไปได้ประมาณ20กิโลเมตรเศษก็เกิดอุบัติเหตุตกคูน้ำข้างถนนต้องนำรถยนต์ไปซ่อมทนายโจทก์นั่งรถยนต์โดยสารเข้ากรุงเทพมหานครทำฎีกาใหม่ไปยื่นต่อศาลหลังจากพ้นกำหนดเวลาที่ขอขยายไว้ดังนี้ถึงแม้ว่ารถยนต์ส่วนตัวของทนายโจทก์จะเกิดเสียหายในวันสุดท้ายที่จะต้องยื่นฎีกาแต่ทนายโจทก์มิได้ดำเนินการยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นที่ตนอยู่ในเขตศาลในขณะนั้นตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา10 เปิดโอกาสไว้หรือแจ้งต่อกรรมการโจทก์หรือผู้รับมอบอำนาจโจทก์เพื่อให้ตัวความไปร้องขอต่อศาลชั้นต้นเองฉะนั้นเหตุการณ์ตามที่ทนายโจทก์กล่าวอ้างจึงถือไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์พิเศษและมีเหตุสุดวิสัยที่ศาลจะขยายระยะเวลายื่นฎีกาให้แก่โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7258/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายเวลายื่นฎีกา: เหตุสุดวิสัยต้องแจ้งศาล/ผู้รับมอบอำนาจ หากไม่แจ้งถือมิได้เป็นเหตุพิเศษ
ทนายโจทก์ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตขยายเวลากำหนดยื่นฎีการวมสองครั้งแล้ว ต่อมาทนายโจทก์อ้างว่าต้องเดินทางไปจัดการปัญหาเรื่องที่ดินที่จังหวัดระนอง เมื่อเสร็จธุรกิจแล้ว เช้ามืดของวันสุดท้ายที่จะต้องยื่นฎีกาทนายโจทก์ขับรถยนต์กลับกรุงเทพมหานคร แต่รถยนต์ออกจากจังหวัดระนองไปได้ประมาณ 20 กิโลเมตรเศษ ก็เกิดอุบัติเหตุตกคูน้ำข้างถนนต้องนำรถยนต์ไปซ่อมทนายโจทก์นั่งรถยนต์โดยสารเข้ากรุงเทพมหานครทำฎีกาใหม่ไปยื่นต่อศาลหลังจากพ้นกำหนดเวลาที่ขอขยายไว้ ดังนี้ ถึงแม้ว่ารถยนต์ส่วนตัวของทนายโจทก์จะเกิดเสียหายในวันสุดท้ายที่จะต้องยื่นฎีกา แต่ทนายโจทก์มิได้ดำเนินการยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นที่ตนอยู่ในเขตศาลในขณะนั้นตามที่ ป.วิ.พ.มาตรา 10 เปิดโอกาสไว้หรือแจ้งต่อกรรมการโจทก์หรือผู้รับมอบอำนาจโจทก์เพื่อให้ตัวความไปร้องขอต่อศาลชั้นต้นเอง ฉะนั้นเหตุการณ์ตามที่ทนายโจทก์กล่าวอ้างจึงถือไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์พิเศษและมีเหตุสุดวิสัยที่ศาลจะขยายระยะเวลายื่นฎีกาให้แก่โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7127/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและข้อเท็จจริงจากพยานนอกคำให้การ: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยหากได้มาโดยไม่ชอบ
แม้ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ถึงจะมิได้เป็นข้อยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ ก็ชอบที่จะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ก็ตาม แต่ข้อกฎหมายนั้นจะต้องเป็นข้อกฎหมายที่ได้มาจาก ข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากพยานนอกคำให้การเป็นการได้มาโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7062/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้องจำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดการชี้สองสถานและงดสืบพยานศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์อ้างว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งไว้ดังนั้นการที่จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวโดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลซึ่งถือได้ว่าไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา234กำหนดไว้กรณีหากจำต้องให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกำหนดเวลาในจำเลยปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวก่อนไม่การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่ง