คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชัยนาท พันตาวงศ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 295 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2553/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ต้องห้ามในคดีอาญา: คำสั่งระหว่างพิจารณาและผลกระทบต่อสิทธิในการฎีกา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ถือไม่ได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ให้ยกคำร้องเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งต่อไปว่าจำเลยไม่มาศาลตามกำหนดนัดให้ออกหมายจับ ให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความจับจำเลยได้เมื่อใดให้โจทก์แถลงต่อศาลเพื่อยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ก็เป็นเพียงคำสั่งให้จำหน่ายคดีชั่วคราวอันเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเช่นกัน ไม่ใช่กรณีศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในประเด็นสำคัญแล้ว ดังนั้นที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่นำส่งหมายเรียกตามคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นการทิ้งฟ้องจึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 196

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2553/2539 เวอร์ชัน 5 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งระหว่างพิจารณาไม่ใช่คำพิพากษา/คำสั่งในประเด็นสำคัญ ไม่อุทธรณ์ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 196
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ถือไม่ได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ให้ยกคำร้องเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งต่อไปว่าจำเลยไม่มาศาลตามกำหนดนัดให้ออกหมายจับ ให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ จับจำเลยได้เมื่อใดให้โจทก์แถลงต่อศาลเพื่อยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ก็เป็นเพียงคำสั่งให้จำหน่ายคดีชั่วคราวอันเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเช่นกัน ไม่ใช่กรณีศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในประเด็นสำคัญแล้ว ดังนั้นที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่นำส่งหมายเรียกตามคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นการทิ้งฟ้องจึงต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 196

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2460/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจปกครองบุตรหลังหย่า: บิดายังมีอำนาจ แม้มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ตราบใดที่ยังไม่มีการเพิกถอน
ผู้ร้องที่ 1 และที่ 3 เป็นบิดาและย่าของผู้เยาว์ทั้งสามได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลแต่งตั้งผู้ปกครองผู้เยาว์ทั้งสามเป็นการชั่วคราว ซึ่งตามป.พ.พ.มาตรา 1585 และ 1586 กำหนดให้บุคคลซึ่งกฎหมายระบุไว้อาจยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ปกครองให้ผู้เยาว์ได้เฉพาะกรณีที่ผู้เยาว์ไม่มีบิดามารดาหรือบิดามารดาถูกถอนอำนาจปกครอง แต่ข้อเท็จจริงตามคำร้อง ก่อนที่ผู้ร้องที่ 1 กับ ด.จดทะเบียนหย่าขาดกัน อำนาจปกครองผู้เยาว์อยู่ที่ผู้ร้องที่ 1 กับ ด.ตามมาตรา1566 เมื่อคนทั้งสองจดทะเบียนหย่าขาดกัน มาตรา 1520 วรรคหนึ่ง กฎหมายเปิดโอกาสให้ผู้ร้องที่ 1 และ ด.ทำความตกลงเป็นหนังสือว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง ถ้ามิได้ตกลงกันหรือตกลงกันไม่ได้ ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด แต่ตามบันทึกท้ายทะเบียนหย่า ผู้ร้องที่ 1 กับ ด.เพียงตกลงกันให้ ด.มีภาระหน้าที่ปกครองอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสามเท่านั้น ไม่มุ่งหมายถึงการใช้อำนาจปกครองและทั้งไม่มีการร้องขอให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด อำนาจการปกครองผู้เยาว์ทั้งสามคงอยู่กับผู้ร้องที่ 1 และ ด.ซึ่งเป็นบิดามารดาผู้เยาว์ทั้งสาม และเมื่อ ด.ตาย ป.พ.พ.มาตรา 1566 (1) ก็บัญญัติเป็นพิเศษอีกว่า ให้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ตกอยู่แก่ผู้ร้องที่ 1 โดยไม่คำนึงถึงว่าผู้ร้องที่ 1 ซึ่งเป็นบิดามีกิริยาความประพฤติไม่เหมาะสมเพราะต้องคำพิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิตฐานฆ่า ด.และพยายามฆ่า ส.โดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ ตราบใดที่ไม่มีการเพิกถอนอำนาจการปกครองเสียทั้งหมดหรือบางส่วนตามที่มาตรา 1582 บัญญัติไว้ ผู้ร้องที่ 1 ยังคงมีอำนาจการปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสามอยู่ กรณีจึงไม่อาจจัดให้มีผู้ปกครองผู้เยาว์ทั้งสามตาม ป.พ.พ.มาตรา 1585 ขึ้นอีกได้ เนื่องจากผู้ร้องที่ 1 ซึ่งเป็นบิดาของผู้เยาว์ทั้งสามยังมีชีวิตอยู่ ด้วยเหตุดังกล่าวผู้ร้องที่ 1 และที่ 3 จึงไม่มีสิทธิหรืออำนาจตามกฎหมายที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ปกครองหรือเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ทั้งสามซ้ำอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2460/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจปกครองบุตรหลังหย่าร้าง: บิดายังมีอำนาจ แม้มีประวัติอาชญากรรม การขอตั้งผู้ปกครองใหม่ไม่ชอบ
ผู้ร้องที่1และที่3เป็นบิดาและย่าของผู้เยาว์ทั้งสามได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลแต่งตั้งผู้ปกครองผู้เยาว์ทั้งสามเป็นการชั่วคราวซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1585และ1586กำหนดให้บุคคลซึ่งกฎหมายระบุไว้อาจยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ปกครองให้ผู้เยาว์ได้เฉพาะกรณีที่ผู้เยาว์ไม่มีบิดามารดาหรือบิดามารดาถูกถอนอำนาจปกครองแต่ข้อเท็จจริงตามคำร้องก่อนที่ผู้ร้องที่1กับด. จดทะเบียนหย่าขาดกันอำนาจปกครองผู้เยาว์อยู่ที่ผู้ร้องที่1กับด. ตามมาตรา1566เมื่อคนทั้งสองจดทะเบียนหย่าขาดกันมาตรา1520วรรคหนึ่งกฎหมายเปิดโอกาสให้ผู้ร้องที่1และด. ทำความตกลงเป็นหนังสือว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองถ้ามิได้ตกลงกันหรือตกลงกันไม่ได้ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาดแต่ตามบันทึกท้ายทะเบียนหย่าผู้ร้องที่1กับด. เพียงตกลงกันให้ด. มีภาระหน้าที่ปกครองอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสามเท่านั้นไม่มุ่งหมายถึงการใช้อำนาจปกครองและทั้งไม่มีการร้องขอให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาดอำนาจการปกครองผู้เยาว์ทั้งสามคงอยู่กับผู้ร้องที่1และด. ซึ่งเป็นบิดามารดาผู้เยาว์ทั้งสามและเมื่อด. ตายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1566(1)ก็บัญญัติเป็นพิเศษอีกว่าให้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ตกอยู่แก่ผู้ร้องที่1โดยไม่คำนึงถึงว่าผู้ร้องที่1ซึ่งเป็นบิดามีกิริยาความประพฤติไม่เหมาะสมเพราะต้องคำพิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิตฐานฆ่าด. และพยายามฆ่าส. โดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ตราบใดที่ไม่มีการเพิกถอนอำนาจการปกครองเสียทั้งหมดหรือบางส่วนตามที่มาตรา1582บัญญัติไว้ผู้ร้องที่1ยังคงมีอำนาจการปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสามอยู่กรณีจึงไม่อาจจัดให้มีผู้ปกครองผู้เยาว์ทั้งสามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1585ขึ้นอีกได้เนื่องจากผู้ร้องที่1ซึ่งเป็นบิดาของผู้เยาว์ทั้งสามยังมีชีวิตอยู่ด้วยเหตุดังกล่าวผู้ร้องที่1และที่3จึงไม่มีสิทธิหรืออำนาจตามกฎหมายที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ปกครองหรือเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ทั้งสามซ้ำอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2212/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษปรับรายวันกรณีการก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร
ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ.2522มาตรา65ได้บัญญัติให้ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา21ซึ่งก่อสร้างอาคารโดยมิได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นนอกจากต้องรับโทษฐานก่อสร้างอาคารโดยมิได้รับใบอนุญาตตามวรรคหนึ่งแล้วยังจะต้องรับโทษปรับอีกวันละไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามวรรคสองอีกด้วยทั้งนี้โดยไม่ต้องปรากฏว่าเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้มีคำสั่งให้ระงับการก่อสร้างอาคารดังกล่าวแล้วหรือไม่ดังนั้นการที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยฐานก่อสร้างอาคารโดยมิได้รับอนุญาตตามมาตรา65วรรคหนึ่งเพียงประการเดียวโดยมิได้ลงโทษตามมาตรา65วรรคสองด้วยจึงยังไม่ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2212/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษฐานก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต: ต้องลงโทษทั้งตามมาตรา 65 วรรคหนึ่งและวรรคสอง
ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 65ได้บัญญัติให้ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 21 ซึ่งก่อสร้างอาคารโดยมิได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น นอกจากต้องรับโทษฐานก่อสร้างอาคารโดยมิได้รับใบอนุญาตตามวรรคหนึ่งแล้ว ยังจะต้องรับโทษปรับอีกวันละไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามวรรคสองอีกด้วย ทั้งนี้โดยไม่ต้องปรากฏว่าเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้มีคำสั่งให้ระงับการก่อสร้างอาคารดังกล่าวแล้วหรือไม่ ดังนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยฐานก่อสร้างอาคารโดยมิได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 65 วรรคหนึ่ง เพียงประการเดียวโดยมิได้ลงโทษตามมาตรา 65 วรรคสอง ด้วยจึงยังไม่ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1980/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บุคคลภายนอกในบังคับคดี: การไม่ยื่นคำขอเพิกถอนภายในกำหนด ทำให้สิ้นสิทธิในการฟ้อง
การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์พิพาทซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับ ศ.จำเลยในคดีแพ่งเรื่องอื่นออกขายทอดตลาด โจทก์จึงเป็นบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี แต่โจทก์มิได้ยื่นคำขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดภายในกำหนดระยะเวลาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 296 วรรคสองโจทก์จึงไม่อาจขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดได้อีกต่อไป ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามคำฟ้องคดีนี้ว่า บ.เข้าประมูลซื้อทรัพย์พิพาทในคดีแพ่งเรื่องอื่นดังกล่าวในนามของตนเองโดยไม่ได้รับมอบฉันทะจากจำเลย ก็หาทำให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทกลับคืนมาเป็นของโจทก์ได้ไม่ การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1980/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบุคคลภายนอกในการบังคับคดีและการหมดสิทธิเรียกร้องเพิกถอนการขายทอดตลาด
การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์พิพาทซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับศ.จำเลยในคดีแพ่งเรื่องอื่นออกขายทอดตลาดโจทก์จึงเป็นบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีแต่โจทก์มิได้ยื่นคำขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดภายในกำหนดระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา296วรรคสองโจทก์จึงไม่อาจขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดได้อีกต่อไปดังนั้นแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามคำฟ้องคดีนี้ว่าบ.เข้าประมูลซื้อทรัพย์พิพาทในคดีแพ่งเรื่องอื่นดังกล่าวในนามของตนเองโดยไม่ได้รับมอบฉันทะจากจำเลยก็หาทำให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทกลับคืนมาเป็นของโจทก์ได้ไม่การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1775/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับของโจร: พยานหลักฐานโจทก์ขัดแย้ง ไม่สามารถพิสูจน์การกระทำผิดของจำเลยได้
จากการนำสืบของโจทก์ได้ความจากคำเบิกความของอ.ว่าอ. ได้ลักรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุมาให้จำเลยช่วยขายให้เพราะเคยรู้จักกันมาก่อนจำเลยไม่ยอมช่วยขายแต่บอกว่าท. เพื่อนของจำเลยต้องการจะได้อ. จึงตกลงขายให้ท.ในราคา1,500บาทและมอบรถจักรยานยนต์ให้แก่ท. ไปดังนี้อ. มิได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางจากอ. โดยจำเลยทราบว่ารถของกลางถูกลักมาแต่กลับได้ความว่าจำเลยไม่รับซื้อท. ซึ่งอยู่กับจำเลยด้วยในขณะนั้นจึงรับซื้อจากอ. โดยได้ขอยืมเงินจากจำเลยไปอีก800บาทการที่จำเลยให้ท. ยืมเงินไป800บาทนั้นถือไม่ได้ว่าเป็นการช่วยจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของกลางแต่อย่างใดเพราะท. ตกลงซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางจากอ. เองอยู่แล้วโดยไม่ต้องให้จำเลยช่วยขายนอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายกับต. และบ. ในทำนองเดียวกันอีกว่าเมื่อผู้เสียหายนำสิบตำรวจโทพ. ไปจับอ. ได้นั้นในตอนแรกอ. ได้บอกแก่สิบตำรวจโทพ. ทันทีว่าได้ลักรถจักรยานยนต์ของกลางไปขายเพียงคนเดียวและนำไปขายที่อำเภอท่ามะกาโดยไม่ได้ระบุว่าขายให้แก่ผู้ใดหากขายให้แก่จำเลยก็น่าจะระบุชื่อจำเลยทันทีเพราะรู้จักกันโดยไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องปิดบังไว้ประการสำคัญได้ความจากคำเบิกความของนายต. ว่าที่สถานีตำรวจจำเลยบอกว่าจำเลยไม่ได้ซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางแต่คนอื่นซื้อซึ่งเงินไม่พอต้องขอยืมจำเลยไปอีก800บาทตรงกับที่จำเลยนำสืบต่อสู้แม้โจทก์มีพนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความประกอบบันทึกคำให้การของอ. ว่าอ. นำรถจักรยานยนต์ของกลางไปขายให้แก่จำเลยก็ตามแต่คำให้การของอ. เป็นเพียงพยานบอกเล่ามิได้ทำต่อหน้าจำเลยซึ่งจำเลยไม่มีโอกาสถามค้านทั้งยังขัดแย้งกับคำเบิกความของอ. เองที่เบิกความว่าอ.ได้ขายรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่ท. เช่นนี้คำเบิกความของพนักงานสอบสวนจึงไม่มีน้ำหนักคดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธมาตั้งแต่ต้นและพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาไม่สอดคล้องต้องกันจึงไม่มีน้ำหนักพอฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจรตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1775/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รับของโจร - พยานหลักฐานไม่สอดคล้องกัน - จำเลยปฏิเสธ - ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ
จากการนำสืบของโจทก์ได้ความจากคำเบิกความของ อ.ว่าอ.ได้ลักรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุมาให้จำเลยช่วยขายให้เพราะเคยรู้จักกันมาก่อนจำเลยไม่ยอมช่วยขายแต่บอกว่า ท.เพื่อนของจำเลยต้องการจะได้ อ.จึงตกลงขายให้ ท.ในราคา 1,500 บาท และมอบรถจักรยานยนต์ให้แก่ ท.ไป ดังนี้ อ.มิได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางจาก อ.โดยจำเลยทราบว่ารถของกลางถูกลักมา แต่กลับได้ความว่าจำเลยไม่รับซื้อ ท.ซึ่งอยู่กับจำเลยด้วยในขณะนั้นจึงรับซื้อจาก อ.โดยได้ขอยืมเงินจากจำเลยไปอีก 800 บาท การที่จำเลยให้ ท.ยืมเงินไป 800 บาทนั้น ถือไม่ได้ว่าเป็นการช่วยจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของกลางแต่อย่างใด เพราะ ท.ตกลงซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางจาก อ.เองอยู่แล้วโดยไม่ต้องให้จำเลยช่วยขาย นอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหาย กับต.และ บ.ในทำนองเดียวกันอีกว่า เมื่อผู้เสียหายนำสิบตำรวจโท พ.ไปจับ อ.ได้นั้นในตอนแรก อ.ได้บอกแก่สิบตำรวจโท พ.ทันทีว่าได้ลักรถจักรยานยนต์ของกลางไปขายเพียงคนเดียว และนำไปขายที่อำเภอท่ามะกาโดยไม่ได้ระบุว่าขายให้แก่ผู้ใดหากขายให้แก่จำเลยก็น่าจะระบุชื่อจำเลยทันทีเพราะรู้จักกันโดยไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องปิดบังไว้ ประการสำคัญได้ความจากคำเบิกความของนาย ต.ว่า ที่สถานี-ตำรวจ จำเลยบอกว่าจำเลยไม่ได้ซื้อรถจักรยานยนต์ของกลาง แต่คนอื่นซื้อซึ่งเงินไม่พอต้องขอยืมจำเลยไปอีก 800 บาท ตรงกับที่จำเลยนำสืบต่อสู้ แม้โจทก์มีพนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความประกอบบันทึกคำให้การของ อ.ว่า อ.นำรถจักรยานยนต์ของกลางไปขายให้แก่จำเลยก็ตาม แต่คำให้การของ อ.เป็นเพียงพยานบอกเล่ามิได้ทำต่อหน้าจำเลย ซึ่งจำเลยไม่มีโอกาสถามค้าน ทั้งยังขัดแย้งกับคำเบิกความของ อ.เองที่เบิกความว่า อ.ได้ขายรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่ ท.เช่นนี้ คำเบิกความของพนักงานสอบสวนจึงไม่มีน้ำหนัก คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธมาตั้งแต่ต้นและพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาไม่สอดคล้องต้องกัน จึงไม่มีน้ำหนักพอฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจรตามฟ้อง
of 30