คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชลอ ทองแย้ม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 406 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5469/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอคุ้มครองชั่วคราวต้องเป็นไปตามคำฟ้อง การขอคุ้มครองเกินคำฟ้องเป็นเหตุให้ศาลยกคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาททั้ง4แปลงให้กลับไปใช้โฉนดที่ดินเดิมเลขที่3472แต่ระบุเนื้อที่เพียง17ไร่เศษมิใช่18ไร่เศษตามเนื้อที่ในโฉนดเดิมเนื่องจากที่ดินถูกการทางพิเศษแห่งประเทศไทยเวนคืนแล้วจำนวน2ไร่เศษทั้งตามคำขอท้ายฟ้องก็มิได้เรียกให้จำเลยใช้ค่าเสียหายหรือให้จำเลยนำเงินค่าเวนคืนที่ดินจำนวน22,837,000บาทมาส่งมอบแก่โจทก์แต่อย่างใดเช่นนี้การที่โจทก์ขอคุ้มครองชั่วคราวโดยขอให้จำเลยนำเงินค่าเวนคืนที่ดินจำนวนดังกล่าวไปฝากธนาคารแล้วนำสมุดเงินฝากมาวางศาลจึงเป็นการขอคุ้มครองประโยชน์เกินกว่าคำขอในคำฟ้องของโจทก์แม้ผลแห่งคดีในที่สุดโจทก์ชนะศาลก็จะพิพากษาเพิกถอนการได้มาซึ่งที่โฉนดของจำเลยตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์เท่านั้นไม่มีผลบังคับไปถึงเงินค่าเวนคืนจำนวนดังกล่าวซึ่งจำเลยได้รับไปจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทยตามที่โจทก์ร้องขอคุ้มครองได้กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา254(2)และมาตรา264ที่โจทก์จะขอคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5438/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยนอกประเด็นอุทธรณ์และการเปลี่ยนแปลงข้อหาจากฆ่าเป็นพยายามฆ่าและพยานยามฆ่า
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ยิงผู้ตายผู้ตายถูกยิงล้มก่อนที่จำเลยจะได้รับปืนจากข. แสดงว่าข.พวกจำเลยยิงผู้ตายแต่จำเลยกับข.ร่วมกันมีสาเหตุกับผู้ตายจำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายตามฟ้องโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นส่วนจำเลยอุทธรณ์คำคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในประเด็นนี้ว่าจำเลยมิได้มีส่วนร่วมกับข. ในการกระทำผิดดังกล่าวดังนั้นข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้ยิงผู้ตายจึงเป็นยุติการที่ศาลอุทธรณ์นำคำให้การในชั้นสอบสวนของส.พยานโจทก์ที่ให้การว่าส. เห็นจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายล้มมารับฟังว่าจำเลยเป็นผู้ยิงผู้ตายนั้นจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่โต้เถียงกันในชั้นอุทธรณ์เป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5438/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยนอกประเด็นในชั้นอุทธรณ์: ศาลต้องวินิจฉัยเฉพาะประเด็นที่โต้เถียงกันเท่านั้น
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ยิงผู้ตาย ผู้ตายถูกยิงล้มก่อนที่จำเลยจะได้รับปืนจาก ข. แสดงว่าข.พวกจำเลยยิงผู้ตาย แต่จำเลยกับ ข.ร่วมกันมีสาเหตุกับผู้ตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายตามฟ้อง โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นส่วนจำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในประเด็นนี้ว่า จำเลยมิได้มีส่วนร่วมกับ ข.ในการกระทำผิดดังกล่าว ดังนั้นข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้ยิงผู้ตายจึงเป็นยุติ การที่ศาลอุทธรณ์นำคำให้การในชั้นสอบสวนของ ส.พยานโจทก์ที่ให้การว่า ส.เห็นจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายล้ม มารับฟังว่าจำเลยเป็นผู้ยิงผู้ตายนั้นจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่โต้เถียงกันในชั้นอุทธรณ์เป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5430/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมกระทำผิด: ร่วมกันออกติดตามและทำร้ายผู้ตาย
อ และจำเลยต่างออกตามหาผู้ตายและ อ. กับจำเลยออกมาพร้อมกันโดยต่างมีอาวุธ เมื่อมาพบผู้ตายระหว่างทาง อ. เป็นผู้เข้าทำร้ายผู้ตายแล้วจำเลยกับ อ. หลบหนีจากที่เกิดเหตุไปด้วยกัน ถือได้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกระทำผิดกับ อ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5423/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายเรียกโดยการประกาศและการนับระยะเวลาเพื่อการยื่นคำขอพิจารณาใหม่ในคดีล้มละลาย
จำเลยที่ 2 มีภูมิลำเนาไม่แน่นอน และโจทก์ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 2 มีภูมิลำเนาอยู่แห่งใด การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 2 ไม่สามารถจะทำได้ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 2 โดยการประกาศหนังสือพิมพ์ และปิดประกาศคำบังคับให้จำเลยที่ 2ทราบที่หน้าศาลได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคหนึ่ง
การปิดประกาศคำบังคับที่หน้าศาลมีผลใช้ได้เมื่อกำหนด 15 วันได้ล่วงพ้นไปแล้วตาม ป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคสอง
ศาลชั้นต้นปิดประกาศคำบังคับให้จำเลยทราบเมื่อวันที่ 9กันยายน 2534 ถือว่าได้ส่งคำบังคับให้จำเลยที่ 2 แล้วเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2534และเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีล้มละลายเนื่องจากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้ จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องด้วยตนเองเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2535 การที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่10 เมษายน 2535 จึงพ้นกำหนดสิบห้าวันนับจากวันที่ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาแก่จำเลยที่ 2 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 208 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5423/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งคำบังคับโดยการปิดประกาศและการนับกำหนดเวลาคำขอพิจารณาใหม่ในคดีที่จำเลยมีภูมิลำเนาไม่แน่นอน
จำเลยที่2มีภูมิลำเนาไม่แน่นอนและโจทก์ไม่ทราบว่าจำเลยที่2มีภูมิลำเนาอยู่แห่งใดการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่2ไม่สามารถจะทำได้ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่2โดยการประกาศหนังสือพิมพ์และปิดประกาศคำบังคับให้จำเลยที่2ทราบที่หน้าศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา79วรรคหนึ่ง การปิดประกาศคำบังคับที่หน้าศาลมีผลใช้ได้เมื่อกำหนด15วันได้ล่วงพ้นไปแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา79วรรคสอง ศาลชั้นต้นปิดประกาศคำบังคับให้จำเลยทราบเมื่อวันที่9กันยายน2534ถือว่าได้ส่งคำบังคับให้จำเลยที่2แล้วเมื่อวันที่24กันยายน2534และเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่2เป็นคดีล้มละลายเนื่องจากจำเลยที่2ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้จำเลยที่2เป็นผู้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องด้วยตนเองเมื่อวันที่5มีนาคม2535การที่จำเลยที่2ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่10เมษายน2535จึงพ้นกำหนดสิบห้าวันนับจากวันที่ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาแก่จำเลยที่2ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา208แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5411/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือสัญญาจำนองเป็นเอกสารมหาชน คู่ความต้องนำสืบหักล้างหากอ้างว่าไม่ถูกต้อง อำนาจฟ้องมีอยู่แล้ว
หนังสือสัญญาจำนองเป็นเอกสารราชการที่เจ้าพนักงานที่ดินได้ทำขึ้นและเป็นเอกสารมหาชน จึงต้องถือว่าข้อความถูกต้องตรงตามความเป็นจริงผู้ที่อ้างว่าไม่ถูกต้องจึงมีหน้าที่นำสืบหักล้างว่าเอกสารไม่ถูกต้องอย่างไร ตามป.วิ.พ. มาตรา 127
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่รับผิดต่อโจทก์ตามสัญญากู้ สัญญาค้ำประกัน และสัญญาจำนอง จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ทำสัญญากับโจทก์ตามฟ้อง ภายหลังวันชี้สองสถานและสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ไม่มีหนังสือมอบอำนาจของโจทก์จากสำนักงานใหญ่ให้ผู้จัดการสาขาของโจทก์ที่จังหวัดพิษณุโลกหรือพนักงานอื่นใดทำสัญญาดังกล่าวแทน จึงขอตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องทั้งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสี่จึงยื่นภายหลังวันชี้สองสถานได้ ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าตามฟ้องและพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสี่เป็นคู่สัญญากู้ สัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองกับโจทก์โดยตรง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยทั้งสี่ตามสัญญากู้ สัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองได้อยู่แล้ว แม้จำเลยทั้งสี่จะอ้างว่าข้อตัดฟ้องนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ตาม ก็ไม่ทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์ที่มีอยู่แล้วเสียไป ทั้งไม่ทำให้รูปคดีของจำเลยทั้งสี่ดีขึ้นแต่อย่างใด กรณีจึงไม่มีเหตุอนุญาตให้จำเลยทั้งสี่แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5399/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหักภาษีเงินได้กรณีขายลดตั๋วเงินข้ามประเทศ แม้ผู้จ่ายไม่ใช่ผู้กู้ยืมหรือขายลดเอง
ผู้ขายได้นำตั๋วเงินที่โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตผ่านธนาคารในประเทศจ่ายให้แก่ผู้ขายไปขายลดให้แก่ธนาคารในต่างประเทศก่อนที่จะถึงกำหนดจ่ายตามตั๋วเงินโดยโจทก์รับภาระชำระเงินส่วนหนึ่งให้แก่ธนาคารในต่างประเทศเนื่องจากการขายลดนั้นเงินที่โจทก์ส่งออกไปให้ธนาคารในต่างประเทศดังกล่าวแม้เดิมโจทก์จะเจตนาให้เป็นค่าสินค้าที่โจทก์ซื้อจากผู้ขายในต่างประเทศก็ตามแต่เมื่อผู้ขายได้นำตั๋วเงินที่โจทก์ต้องชำระไปขายลดให้แก่ธนาคารในต่างประเทศเสียแล้วธนาคารในต่างประเทศจึงเป็นผู้ที่จะได้รับเงินที่โจทก์จะต้องชำระนั้นต่อไปหาใช่ผู้ขายสินค้าอีกไม่เงินส่วนที่ธนาคารในต่างประเทศได้จากโจทก์เนื่องจากการขายลดตั๋วเงินของผู้ขายดังกล่าวจึงเป็นเงินได้ที่มีลักษณะทำนองเดียวกับดอกเบี้ยตามที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้ในมาตรา40(4)(ก)และเป็นเงินที่จ่ายจากประเทศไทยโจทก์ผู้จ่ายจึงต้องมีหน้าที่หักภาษีเงินได้นำส่งจำเลยตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา70วรรคแรกแม้โจทก์จะมิใช่เป็นผู้กู้ยืมเงินหรือผู้ขายลดตั๋วเงินให้ธนาคารในต่างประเทศก็ตามเพราะมาตรา70วรรคแรกหาได้บัญญัติว่าผู้จ่ายต้องเป็นผู้กู้ยืมเงินหรือผู้ขายลดตั๋วเงินด้วยไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5399/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหักภาษีเงินได้จากส่วนลดตั๋วเงินข้ามประเทศ: ภาระหน้าที่ของผู้จ่าย
ผู้ขายได้นำตั๋วเงินที่โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตผ่านธนาคารในประเทศจ่ายให้แก่ผู้ขายไปขายลดให้แก่ธนาคารในต่างประเทศก่อนที่จะถึงกำหนดจ่ายตามตั๋วเงินโดยโจทก์รับภาระชำระเงินส่วนหนึ่งให้แก่ธนาคารในต่างประเทศเนื่องจากการขายลดนั้น เงินที่โจทก์ส่งออกไปให้ธนาคารในต่างประเทศดังกล่าวแม้เดิมโจทก์จะเจตนาให้ให้เป็นค่าสินค้าที่โจทก์ซื้อจากผู้ขายในต่างประเทศก็ตามแต่เมื่อผู้ขายได้นำตั๋วเงินที่โจทก์ต้องชำระไปขายลดให้แก่ธนาคารในต่างประเทศเสียแล้ว ธนาคารในต่างประเทศจึงเป็นผู้ที่จะได้รับเงินที่โจทก์จะต้องชำระนั้นต่อไปหาใช่ผู้ขายสินค้าอีกไม่ เงินส่วนที่ธนาคารในต่างประเทศได้จากโจทก์เนื่องจากการขายลดตั๋วเงินของผู้ขายดังกล่าว จึงเป็นเงินได้ที่มีลักษณะทำนองเดียวกับดอกเบี้ยตามที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้ในมาตรา 40 (4) (ก) และเป็นเงินที่จ่ายจากประเทศไทย โจทก์ผู้จ่ายจึงต้องมีหน้าที่หักภาษีเงินได้นำส่งจำเลยตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 70 วรรคแรก แม้โจทก์จะมิใช่เป็นผู้กู้ยืมเงินหรือผู้ขายลดตั๋วเงินให้ธนาคารในต่างประเทศก็ตาม เพราะมาตรา 70 วรรคแรก หาได้บัญญัติว่าผู้จ่ายต้องเป็นผู้กู้ยืมเงินหรือผู้ขายลดตั๋วเงินด้วยไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5323/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สถานะรัฐวิสาหกิจขององค์การค้าคุรุสภา: ไม่เข้าข่ายตามกฎหมาย
องค์การค้าคุรุสภาไม่ใช่องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาลหรือกิจการของรัฐตามกฎหมายที่จัดตั้งกิจการนั้นและไม่ใช่หน่วยงานธุรกิจที่รัฐเป็นเจ้าขององค์การค้าคุรุสภาจึงไม่ใช่รัฐวิสาหกิจตามพระราชบัญญัติ พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พ.ศ.2534มาตรา4
of 41