คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชลอ ทองแย้ม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 406 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3453/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสัญญาขายลดเช็คและค้ำประกัน: การนับอายุความเริ่มต้นเมื่อเช็คถูกปฏิเสธ
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญาขายลดเช็คมิได้ฟ้องบังคับให้ใช้เงินตามเช็ค และให้จำเลยที่ 2รับผิดตามสัญญาค้ำประกันสัญญาขายลดเช็ค ต้องนำอายุความตามสัญญาขายลดเช็คและสัญญาค้ำประกันมาใช้บังคับ ซึ่งกฎหมายมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงอยู่ในอายุความทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 มีกำหนด 10 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3453/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสัญญาขายลดเช็คและสัญญาค้ำประกัน: กำหนด 10 ปีนับจากวันเช็คถูกปฏิเสธ
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่1รับผิดตามสัญญาขายลดเช็คมิได้ฟ้องบังคับให้ใช้เงินตามเช็คและให้จำเลยที่2รับผิดตามสัญญาค้ำประกันสัญญาขายลดเช็คต้องนำอายุความสัญญาขายลดเช็คและสัญญาค้ำประกันมาใช้บังคับซึ่งกฎหมายมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะจึงอยู่ในอายุความทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/30มีกำหนด10ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3096/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิซื้อก่อนตามสัญญาเช่า & การเพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินเมื่อผู้ซื้อไม่ทราบข้อตกลง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1เพื่อทำสวน โดยมีข้อสัญญาว่าเมื่อจำเลยที่ 1 ประสงค์จะขายที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1ต้องบอกโจทก์ก่อน เพื่อโจทก์จะได้มีโอกาสซื้อเมื่อเห็นว่าเป็นราคาสมควร แต่ในระหว่างสัญญาเช่าจำเลยที่ 1 นำที่ดินพิพาทไปขายให้แก่จำเลยที่ 2 ในการทำสัญญาขายที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกันหลอกลวงแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานที่ดินว่าไม่มีสิ่งปลูกสร้างในที่ดิน ไม่มีค้างชำระภาษีไม่มีผู้เช่า เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินรับจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2โดยจำเลยที่ 1 มิได้แจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้า อันเป็นการผิดสัญญา โจทก์ไม่มีโอกาสซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนสัญญาขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าขณะที่ทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 2 ได้รู้อยู่ก่อนแล้วว่ามีข้อตกลงระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ที่ให้โอกาสโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทได้ก่อนบุคคลอื่นและจำเลยที่ 2รู้ถึงข้อตกลงดังกล่าวด้วย ดังนี้ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องยังไม่อาจเพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองตามคำขอบังคับของโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3096/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดิน: จำเลยที่ 2 ต้องรู้ข้อตกลงสิทธิซื้อก่อนของโจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสัญญาขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่1กับจำเลยที่2โดยมิได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าขณะที่ทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่1กับจำเลยที่2นั้นจำเลยที่2ได้รู้อยู่ก่อนแล้วว่ามีข้อตกลงระหว่างจำเลยที่1กับโจทก์ที่ให้โอกาสโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทได้ก่อนบุคคลอื่นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา237ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องจึงยังไม่อาจเพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3042/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินราคาศุลกากร: ราคาที่แท้จริงในท้องตลาดต้องเป็นปัจจุบันและสอดคล้องกับหลักฐานการซื้อขายจริง
สินค้าพิพาทโจทก์สั่งซื้อได้ชำระราคาโดยเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตไว้กับธนาคาร และธนาคารได้หักบัญชีค่าสินค้าจากโจทก์ส่งให้ผู้ขาย มีจำนวนเงินตรงกับใบกำกับสินค้า และตรงกับที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้า อีกทั้งจำเลยทั้งสองก็มิได้นำสืบปฏิเสธในเรื่องนี้ ย่อมมีเหตุผลรับฟังได้ว่า โจทก์ได้สั่งซื้อและชำระราคาสินค้าไปตามที่ได้สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าจริง จึงพอฟังได้ในเบื้องต้นว่าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด
จำเลยทั้งสองได้ประเมินราคาสินค้าพิพาทโดยเทียบเคียงกับบัตรราคาซึ่งเป็นไปตามคำสั่งทั่วไปของจำเลยที่ 1 ที่ 24/2517 บางรายการต้องอาศัยการเทียบเคียงกับบัตรราคาที่ใกล้เคียงและตามประกาศกองตีราคาที่ 1/2517ที่ 3/2517 และตามรายงานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับราคาศุลกากรครั้งที่ 5 หลักเกณฑ์ตามคำสั่งทั่วไปและการเทียบเคียงตามประกาศการตีราคาดังกล่าวเป็นแนวปฏิบัติเพื่อหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเท่านั้น หาเป็นกฎเกณฑ์ตายตัวว่าราคาของสินค้าที่นำเข้าจะต้องเป็นจริงตามนั้นไม่ คำสั่งและประกาศดังกล่าวมีมานานแล้วตั้งแต่ปี 2517 มีระยะเวลาก่อนที่โจทก์จะนำสินค้าพิพาทเข้ามาถึง 10 ปีอีกทั้งบัตรราคานั้น แม้ว่ากองวิเคราะห์และประเมินราคาร่วมกันกำหนดขึ้น แต่ก็ไม่ได้ความว่าราคาในบัตรนั้นกำหนดขึ้นโดยมีหลักเกณฑ์อย่างใด และไม่ปรากฏว่าราคาในบัตรนั้นเป็นราคาของสินค้าในปีใด อีกทั้งแม้จะปรากฏว่าบัตรพิพาทได้กำหนดขึ้นตั้งแต่ปี 2523 และ 2524 ก็เป็นระยะเวลาห่างไกลกับระยะเวลาที่โจทก์นำสินค้าพิพาทเข้ามา จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าราคาที่จำเลยที่ 1 นำมาเทียบเคียงนั้นเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด
แม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องจะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสองยกขึ้นอุทธรณ์ได้แม้จะไม่ได้ยกขึ้นกล่าวในศาลภาษีอากรกลางก็ตาม แต่การจะวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนี้ได้จะต้องได้ข้อเท็จจริงอันเป็นยุติด้วยว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินดังกล่าว ปรากฏในคดีสำนวนแรกแม้จำเลยที่ 1 จะให้การไว้ด้วยว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์การประเมิน แต่ในคดีสำนวนหลัง โจทก์ก็ได้ให้การต่อสู้ไว้ด้วยว่าได้อุทธรณ์การประเมินแล้ว ศาลภาษี-อากรกลางหาได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทให้ทั้งสองฝ่ายนำสืบถึงข้อเท็จจริงส่วนนี้ไม่ อีกทั้งในการสืบพยานของโจทก์ก็ไม่มีพยานโจทก์คนใดเบิกความยอมรับว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินดังกล่าว จึงไม่มีข้อเท็จจริงในกระบวนพิจารณาโดยชอบที่จะใช้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวได้ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3042/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินราคาศุลกากรและอำนาจฟ้องคดีภาษี: การเทียบราคาตามบัตรราคาต้องมีหลักเกณฑ์ที่น่าเชื่อถือ และศาลต้องมีข้อเท็จจริงยุติเกี่ยวกับอำนาจฟ้อง
สินค้าพิพาทโจทก์สั่งซื้อได้ชำระราคาโดยเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตไว้กับธนาคาร และธนาคารได้หักบัญชีค่าสินค้าจากโจทก์ส่งให้ผู้ขาย มีจำนวนเงินตรงกับใบกำกับสินค้า และตรงกับที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้า อีกทั้งจำเลยทั้งสองก็มิได้นำสืบปฏิเสธในเรื่องนี้ ย่อมมีเหตุผลรับฟังได้ว่า โจทก์ได้สั่งซื้อ และชำระราคาสินค้าไปตามที่ได้สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าจริงจึงพอฟังได้ในเบื้องต้นว่าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด จำเลยทั้งสองได้ประเมินราคาสินค้าพิพาทโดยเทียบเคียงกับบัตรราคาซึ่งเป็นไปตามคำสั่งทั่วไปของจำเลยที่ 1ที่ 24/2517 บางรายการต้องอาศัยการเทียบเคียงกับบัตรราคาที่ใกล้เคียงและตามประกาศกองตีราคาที่ 1/2517 ที่ 3/2517 และตามรายงานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับราคาศุลกากรครั้งที่ 5 หลักเกณฑ์ตามคำสั่งทั่วไปและการเทียบเคียงตามประกาศการตีราคาดังกล่าวเป็นแนวปฏิบัติเพื่อหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเท่านั้น หาเป็นกฎเกณฑ์ตายตัวว่าราคาของสินค้าที่นำเข้าจะต้องเป็นจริงตามนั้นไม่ คำสั่งและประกาศดังกล่าวมีมานานแล้วตั้งแต่ปี 2517 มีระยะเวลาก่อนที่โจทก์จะนำสินค้าพิพาทเข้ามาถึง 10 ปี อีกทั้งบัตรราคานั้น แม้ว่ากองวิเคราะห์และประเมินราคาร่วมกันกำหนดขึ้นแต่ก็ไม่ได้ความว่าราคาในบัตรนั้นกำหนดขึ้นโดยมีหลักเกณฑ์อย่างใด และไม่ปรากฏว่าราคาในบัตรนั้นเป็นราคาของสินค้าในปีใด อีกทั้งแม้จะปรากฏว่าบัตรพิพาทได้กำหนดขึ้นตั้งแต่ปี 2523 และ 2524 ก็เป็นระยะเวลาห่างไกลกับระยะเวลาที่โจทก์นำสินค้าพิพาทเข้ามา จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าราคาที่จำเลยที่ 1 นำมาเทียบเคียงนั้นเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด แม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องจะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสองยกขึ้นอุทธรณ์ได้แม้จะไม่ได้ยกขึ้นกล่าวในศาลภาษีอากรกลางก็ตามแต่การจะวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนี้ได้จะต้องได้ข้อเท็จจริงอันเป็นยุติด้วยว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินดังกล่าว ปรากฏในคดีสำนวนแรกแม้จำเลยที่ 1 จะให้การไว้ด้วยว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์การประเมิน แต่ในคดีสำนวนหลัง โจทก์ก็ได้ให้การต่อสู้ไว้ด้วยว่าได้อุทธรณ์การประเมินแล้ว ศาลภาษีอากรกลางหาได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทให้ทั้งสองฝ่ายนำสืบถึงข้อเท็จจริงส่วนนี้ไม่ อีกทั้งในการสืบพยานของโจทก์ก็ไม่มีพยานโจทก์คนใดเบิกความยอมรับว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินดังกล่าว จึงไม่มีข้อเท็จจริงในกระบวนพิจารณาโดยชอบที่จะใช้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวได้ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3032/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างและการจ่ายค่าชดเชย: ศาลแรงงานวินิจฉัยการรับฟังพยานหลักฐานเกี่ยวกับความทุจริตของลูกจ้าง
ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบมาฟังไม่ได้ว่าโจทก์กระทำโดยทุจริตต่อหน้าที่จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์จำเลยอุทธรณ์ว่าที่ศาลแรงงานนำผลคำพิพากษาแห่งคดีอาญาซึ่งพิพากษายกฟ้องโจทก์ในคดีข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรมาขึ้นวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ทุจริตต่อหน้าที่เพราะจำเลยซึ่งเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาดังกล่าวไม่มีพยานหลักฐานอันจะฟังได้ว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่จำเลยไม่อาจเห็นพ้องด้วยการที่โจทก์ซึ่งมีหน้าที่ในการขับรถและดูแลรักษารวมถึงการตรวจตราเครื่องยนต์ประจำรถยนต์คันเกิดเหตุจึงต้องมีวิสัยในการดูแลรถยนต์คันที่ตนเองรับผิดชอบให้เรียบร้อยปราศจากสิ่งของอื่นใดซึ่งไม่เคยมีมาก่อนพฤติการณ์ที่จำเลยไม่ดูแลรถยนต์คันที่ตนเองรับผิดชอบดังกล่าวถือได้แล้วว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์นั้นเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานอันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา54วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3032/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ดุลพินิจศาลแรงงานเกี่ยวกับความทุจริตต่อหน้าที่และการจ่ายค่าชดเชย
ศาลแรงงานวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบมาฟังไม่ได้ว่าโจทก์กระทำโดยทุจริตต่อหน้าที่ จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์จำเลยอุทธรณ์ว่า ที่ศาลแรงงานนำผลคำพิพากษาแห่งคดีอาญาซึ่งพิพากษายกฟ้องโจทก์ในคดีข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรมาขึ้นวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ทุจริตต่อหน้าที่เพราะจำเลยซึ่งเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาดังกล่าวไม่มีพยานหลักฐานอันจะฟังได้ว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่จำเลยไม่อาจเห็นพ้องด้วย การที่โจทก์ซึ่งมีหน้าที่ในการขับรถและดูแลรักษารวมถึงการตรวจตราเครื่องยนต์ประจำรถยนต์คันเกิดเหตุ จึงต้องมีวิสัยในการดูแลรถยนต์คันที่ตนเองรับผิดชอบให้เรียบร้อยปราศจากสิ่งของอื่นใดซึ่งไม่เคยมีมาก่อน พฤติการณ์ที่จำเลยไม่ดูแลรถยนต์คันที่ตนเองรับผิดชอบดังกล่าวถือได้แล้วว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์นั้นเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานอันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3014-3018/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สวัสดิการเงินตอบแทนพิเศษ: มติคณะกรรมการไม่ใช่เงื่อนไขการจ่าย แต่เป็นวิธีดำเนินการ นายจ้างต้องจ่ายเมื่อลูกจ้างไม่ผิดวินัย
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างระบุว่า"บริษัทให้เงินตอบแทนพิเศษแก่พนักงานที่ทำงานครบ5ปีแล้วลาออกให้เงินตอบแทน50วันของค่าแรงขณะนั้นทำงานเกิน10ปีแล้วลาออกให้เงินตอบแทนไม่น้อยกว่า300วันของค่าแรงขณะนั้นแต่ต้องผ่านมติของคณะกรรมการผู้ที่ทำผิดถูกไล่ออกเงินตอบแทนนี้ไม่จ่ายให้เลย"การจ่ายเงินตอบแทนพิเศษนี้เป็นสวัสดิการประเภทหนึ่งซึ่งนายจ้างจัดให้แก่ลูกจ้างทุกคนอันถือว่าเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างด้วยตามถ้อยคำนายจ้างประสงค์จะให้สวัสดิการอันมีลักษณะเป็นการจูงใจพนักงานให้ทำงานอยู่กับบริษัทของนายจ้างเป็นเวลานานปีและหากพนักงานดังกล่าวได้ทำงานครบห้าปีหรือครบสิบปีแล้วลาออกจากงานก็จะได้เงินตอบแทนพิเศษตามอัตราที่กำหนดไว้ทุกคนนายจ้างจะไม่จ่ายเงินตอบแทนพิเศษดังกล่าวให้เฉพาะพนักงานที่กระทำผิดและถูกไล่ออกเท่านั้นสำหรับถ้อยคำที่นายจ้างกำหนดไว้ว่าแต่ต้องผ่านมติของคณะกรรมการนั้นเป็นเพียงวิธีดำเนินการของนายจ้างฝ่ายเดียวเท่านั้นมิใช่เป็นเงื่อนไขในการจ่ายเงินตอบแทนพิเศษเพราะหากเป็นเงื่อนไขก็จะทำให้การจ่ายเงินดังกล่าวเป็นไปตามความพอใจของนายจ้างหรือการพิจารณาของคณะกรรมการเป็นรายๆไปอันเป็นช่องทางก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมขึ้นได้เมื่อไม่ปรากฏว่าลูกจ้างทำผิดถูกไล่ออกตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้างต้นนายจ้างก็ต้องจ่ายเงินตอบแทนพิเศษให้แก่ลูกจ้างนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2985/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละสิทธิครอบครองที่ดินหลังเจ้ามรดกเสียชีวิต และอายุความฟ้องร้อง
โจทก์ตกลงยินยอมให้จำเลยเป็นผู้รับมรดกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 1016 เพราะจำเลยเป็นผู้ออกเงินไถ่ถอนจำนองที่ดินจากธนาคาร แม้ข้อตกลงดังกล่าวมิใช่เป็นเรื่องการสละมรดก เพราะการสละมรดกต้องแสดงเจตนาชัดแจ้งเป็นหนังสือมอบให้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือต้องทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1612 ก็ตามเมื่อโจทก์ได้แสดงความประสงค์ตามบันทึกถ้อยคำให้จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินแต่เพียงผู้เดียว ถือได้ว่าโจทก์ได้แสดงเจตนาสละสิทธิครอบครองในที่ดินให้แก่จำเลยและจำเลยตกลงรับเอาแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอแบ่งที่ดินในฐานะที่เป็นทรัพย์มรดกอีก
ข้อเท็จจริงได้ความแต่เพียงว่า โจทก์เก็บมะขามและน้อยหน่าในที่ดิน การที่จำเลยมิได้หวงห้ามยังไม่อาจถือว่าจำเลยยอมรับว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินร่วมด้วย ที่จำเลยอ้างว่าเจ้ามรดกยกที่ดินให้จำเลยแล้ว แสดงให้เห็นว่าจำเลยครอบครองที่ดินเพื่อตนเอง หาใช่ครอบครองแทนโจทก์ไม่ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย คดีโจทก์สำหรับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 900 และ 1246 จึงขาดอายุความฟ้องร้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754
of 41