คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชลอ ทองแย้ม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 406 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1009/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในคดีทุนทรัพย์น้อยกว่าสองแสนบาท และประเด็นฟ้องเคลือบคลุม
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยให้การว่าหนังสือมอบอำนาจกระทำขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจไม่ใช่ลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจไม่ใช่ลายมือชื่อของโจทก์ที่ 1 ศาลต้องหยิบยกประเด็นเรื่องหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ที่ 1 กระทำขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีตัวโจทก์ที่ 1 มาเบิกความยืนยันว่าได้มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 2 ฟ้องคดีแทน โดยยืนยันว่าลายมือชื่อในช่องผู้มอบอำนาจเป็นลายมือชื่อของโจทก์ที่ 1 จริงโดยจำเลยไม่นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 2 ฟ้องคดีแทนเช่นนี้ถือได้ว่าศาลอุทธรณ์ได้ยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยให้แล้ว โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ขับรถยนต์ไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารของจำเลย ลูกจ้างของจำเลยรับรถยนต์ ของโจทก์ไปจอดยังที่จำเลยจัดไว้เป็นการบรรยายว่า จำเลยได้รับฝากรถยนต์ของโจทก์ และบรรยายฟ้องต่อไปว่า ลูกจ้างของจำเลยได้ย้ายรถยนต์ของโจทก์จากบริเวณหน้าห้องอาหารซึ่งมีพนักงานของจำเลยเฝ้าดูแลไปจอดยังริมถนนฝั่งตรงข้ามไม่มีพนักงานของจำเลยเฝ้าดูแลรถยนต์ของโจทก์จึงหายไปอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ฟ้องของโจทก์จึงไม่ขัดกันไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1009/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือมอบอำนาจ & การฟ้องละเมิด: ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นหนังสือมอบอำนาจแล้ว การบรรยายฟ้องไม่ขัดแย้ง
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยให้การว่าหนังสือมอบอำนาจกระทำขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจไม่ใช่ลายมือชื่อของโจทก์ที่ 1ศาลต้องหยิบยกประเด็นเรื่องหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ที่ 1 กระทำขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีตัวโจทก์ที่ 1 มาเบิกความยืนยันว่าได้มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 2 ฟ้องคดีแทน โดยยืนยันว่าลายมือชื่อในช่องผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจเป็นลายมือชื่อของโจทก์ที่ 1 จริง โดยจำเลยไม่นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 2ฟ้องคดีแทน เช่นนี้ถือได้ว่าศาลอุทธรณ์ได้ยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยให้แล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ขับรถยนต์ไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารของจำเลย ลูกจ้างของจำเลยรับรถยนต์ของโจทก์ไปจอดยังที่จำเลยจัดไว้เป็นการบรรยายว่าจำเลยได้รับฝากรถยนต์ของโจทก์ และบรรยายฟ้องต่อไปว่าลูกจ้างของจำเลยได้ย้ายรถยนต์ของโจทก์จากบริเวณหน้าห้องอาหารซึ่งมีพนักงานของจำเลยเฝ้าดูแลไปจอดยังริมถนนฝั่งตรงข้าม ไม่มีพนักงานของจำเลยเฝ้าดูแลรถยนต์ของโจทก์จึงหายไป อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ฟ้องของโจทก์จึงไม่ขัดกัน ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 927/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกสัญญาสื่อสารโดยปริยายและการคืนเงินมัดจำ
สัญญาซื้อขายมิได้ระบุแจ้งชัดว่า หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดนัดแล้วสัญญาเป็นอันเลิกกันทันที ทั้งวัตถุประสงค์แห่งสัญญาก็เห็นได้ว่าโดยสภาพหรือโดยเจตนาที่คู่สัญญาแสดงไว้ มิใช่ว่าจะเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ ณ เวลาที่กำหนด การที่โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาท โดยกำหนดโอนที่ดินภายในเดือนมกราคม 2533 แต่เมื่อครบกำหนดตามสัญญา ไม่ปรากฏว่าทั้งโจทก์และจำเลยได้บอกกล่าวหรือเตรียมการใด ๆ ที่จะทำการโอนที่ดินตามสัญญา ทั้งได้เจรจาตกลงราคาที่พิพาทกันใหม่ แต่ไม่เป็นที่ตกลงกัน ถือได้ว่าโจทก์จำเลยตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายโดยปริยายแล้ว การที่จำเลยมีหนังสือบอกเลิกสัญญา หรือโจทก์มีหนังสือให้ไปโอนที่พิพาทในภายหลัง หามีผลว่าเป็นการยึดถือตามสัญญาเดิม อันจะทำให้สัญญาเดิมมีผลผูกพันแต่ประการใดไม่
แม้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่า จำเลยผิดสัญญาหรือไม่ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมิได้ผิดสัญญา แต่เป็นกรณีที่โจทก์จำเลยตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายโดยปริยาย โจทก์จำเลยจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะที่เป็นอยู่เดิม โดยจำเลยต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 หาได้ขัดต่อสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 927/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เลิกสัญญาซื้อขายโดยปริยาย: การเจรจาใหม่แสดงเจตนาไม่ผูกพันตามสัญญาเดิม
สัญญาซื้อขายมิได้ระบุแจ้งชัดว่าหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดนัดแล้วสัญญาเป็นอันเลิกกันทันทีทั้งวัตถุประสงค์แห่งสัญญาก็เห็นได้ว่าโดยสภาพหรือโดยเจตนาที่คู่สัญญาแสดงไว้มิใช่ว่าจะเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ณเวลาที่กำหนดการที่โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทโดยกำหนดโอนที่ดินภายในเดือนมกราคม2533แต่เมื่อครบกำหนดตามสัญญาไม่ปรากฏว่าทั้งโจทก์และจำเลยได้บอกกล่าวหรือเตรียมการใดๆที่จะทำการโอนที่ดินตามสัญญาทั้งได้เจรจาตกลงราคาที่พิพาทกันใหม่แต่ไม่เป็นที่ตกลงกันถือได้ว่าโจทก์จำเลยตกลง เลิกสัญญาจะซื้อขายโดยปริยายแล้วการที่จำเลยมีหนังสือบอกเลิกสัญญาหรือโจทก์มีหนังสือให้ไปโอนที่พิพาทในภายหลังหามีผลว่าเป็นการยึดถือตามสัญญาเดิมอันจะทำให้สัญญาเดิมมีผลผูกพันแต่ประการใดไม่ แม้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าจำเลยผิดสัญญาหรือไม่แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมิได้ผิดสัญญาแต่เป็นกรณีที่โจทก์จำเลยตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายโดยปริยายโจทก์จำเลยจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะที่เป็นอยู่เดิมโดยจำเลยต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา391หาได้ขัดต่อสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 878/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากความผิดร้ายแรง: การกระด้างกระเดื่องและทำร้ายร่างกายผู้บังคับบัญชา
ธ. และโจทก์ต่างเป็นลูกจ้างจำเลยโดย ธ. เป็นผู้บังคับบัญชาและเป็นผู้รับใบลาของโจทก์ ธ. ย่อมมีอำนาจที่จะสอบถามถึงการป่วยของโจทก์ได้แต่เมื่อถูกถามโจทก์กลับท้าทายให้ธ. ออกไปต่อสู้กับโจทก์นอกที่ทำการบริษัทจำเลยจึงเป็นการกระด้างกระเดื่องต่อผู้บังคับบัญชาโจทก์คว้าคอเสื้อ ธ. ในขณะที่อีกมือหนึ่งถือไม้หน้าสามเพื่อจะตีทำร้ายแม้จะเป็นการกระทำนอกบริษัทจำเลยแต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันไปจากภายในบริษัทจำเลยถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์เดียวกันเป็นการกระทำโดยจงใจทำให้บริษัทจำเลยได้รับความเสียหายเป็นความผิดวินัยร้ายแรงจำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 847/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดินในช่วงจัดรูปที่ดินเป็นโมฆะตามกฎหมาย
พระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2517มาตรา26และมาตรา44วรรคแรกได้บัญญัติห้ามมิให้เจ้าของที่ดินที่อยู่ในเขตโครงการจัดรูปที่ดินซึ่งได้มีพระราชกฤษฎีกาออกใช้บังคับตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา24,25แล้วจำหน่ายจ่ายโอนนับตั้งแต่วันที่ได้มีประกาศของรัฐมนตรีจนถึงวันครบกำหนดห้าปีนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินการที่โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองตกลงทำ สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทและได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่กันในระหว่างระยะเวลาดังกล่าวจึงเป็นการทำสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย สัญญาจะซื้อจะขายหรือ สัญญา วางมัดจำเอกสารหมายจ.1จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา113เดิม(มาตรา150ที่แก้ไขใหม่)โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองต้อง กลับคืนสู่ฐานะเดิมไม่มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญากันอีกต่อไปจำเลยทั้งสองจึงไม่มีหน้าที่จะต้องไปยื่นคำร้องขออนุญาตโอนที่ดินเป็นหนังสือจากคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางแต่อย่างใดการที่จำเลยทั้งสองไม่ไปยื่นคำร้องขออนุญาตดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 847/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดินในช่วงระยะเวลาห้ามโอนตาม พ.ร.บ.จัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เป็นโมฆะ
พระราชบัญญัติ จัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2517มาตรา26,44ห้ามมิให้เจ้าของที่ดินที่อยู่ในเขตโครงการจัดรูปที่ดินซึ่งได้มีพ.ร.ฎ.ออกใช้บังคับตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา24,25แล้วจำหน่ายจ่ายโอนสิทธิในที่ดินนับตั้งแต่วันที่ได้มีประกาศของรัฐมนตรีจนถึงวันครบกำหนดห้าปีนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทและได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่กันในระหว่างระยะเวลาดังกล่าวเป็นการทำสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายจึงเป็นโมฆะโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมจำเลยทั้งสองไม่มีหน้าที่จะต้องไปยื่นคำร้องขออนุญาตโอนที่ดินเป็นหนังสือจาก คณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางการที่จำเลยทั้งสองไม่ไปยื่นคำร้องขออนุญาตดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 817/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์โดยประมาทเลินเล่อทำให้เจ้าของสิทธิได้รับความเสียหาย เจ้าหนี้ต้องรับผิดตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3)จำเลยโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงนำยึดที่ดินดังกล่าวขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่ตนเองอ้างว่าเป็นที่ดินของ พ. ลูกหนี้จำเลยโดยไม่ได้ตรวจสอบว่าที่ดินดังกล่าวมีหนังสือสำคัญแล้วหรือไม่และเป็นที่ดินของลูกหนี้ของตนหรือไม่เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยให้การเพียงว่าขณะที่จำเลยนำยึดที่ดินพิพาทมีเพียงใบภ.บ.ท.5ไม่มีหลักฐานเอกสารสิทธิอย่างอื่นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์เป็นเอกสารปลอมจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยยึดที่ดินพิพาทโดยประมาทเลินเล่ออันเป็นการยึดและขายทรัพย์สินโดยมิชอบหรือไม่การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยยึดที่พิพาทโดยสุจริตหรือไม่จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142วรรคหนึ่งประกอบด้วยมาตรา183วรรคสองอันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามมาตรา142(5)ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาไปตามประเด็นที่ถูกต้องได้ โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยจดทะเบียนรับโอนด้วยการซื้อจาก พ. ได้รับความเสียหายอันเกิดจากการยึดและขายทรัพย์สินของจำเลยผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของ พ. โดยมิชอบจำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ผู้เป็นบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา284วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 797/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผิดสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิต, อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา, และขอบเขตการบังคับคดีตามคำฟ้อง
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา196วรรคสองการเปลี่ยนเงินให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินณสถานที่และในเวลาที่ใช้เงินอัตราแลกเปลี่ยนเงินหมายถึงอัตราแลกเปลี่ยนกันโดยเสรีซึ่งคิดโดยเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ที่ขายเงินตราของต่างประเทศเป็นเงินตราของประเทศในกรุงเทพฯเป็นเกณฑ์และเพื่อความสะดวกแก่การบังคับคดีจึงให้คิดในวันที่มีคำพิพากษาของศาลถ้าไม่มีอัตราการขายในวันดังกล่าวก็ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราการขายนั้นก่อนวันพิพากษาแต่ทั้งนี้โจทก์ก็ไม่อาจรับชำระเงินจากจำเลยเกินกว่าจำนวนเงินตามคำขอท้ายฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 775/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินไม่เป็นหนังสือและจดทะเบียน: ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยประเด็นใหม่ที่มิได้ยกขึ้นว่ากัน
ฎีกาของจำเลยที่ว่า การซื้อขายที่ดินพิพาทมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 นั้นความข้อนี้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงไม่มีประเด็น และเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่สำหรับคดีนี้ศาลฎีกายังไม่เห็นสมควรที่จะยกขึ้นวินิจฉัยให้ จึงไม่ยกขึ้นวินิจฉัยตามนัยแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)ประกอบมาตรา 246 และ 247
of 41