คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชลอ ทองแย้ม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 406 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4985/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัว สิ้นสุดเมื่อผู้เช่าเสียชีวิต ไม่ตกทอดถึงทายาท
สิทธิการเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัว เมื่อผู้เช่าตาย สิทธิการเช่าย่อมระงับไม่ตกทอดไปยังทายาท คำพิพากษาในคดีอื่นที่วินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิการเช่ามิใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2) จึงไม่อาจใช้ยันโจทก์และโจทก์ร่วมซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4985/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเช่าระงับเมื่อผู้เช่าเสียชีวิต ไม่ตกทอดถึงทายาท คำพิพากษาในคดีเช่าไม่ผูกพันบุคคลภายนอก
สิทธิการเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัว เมื่อผู้เช่าตาย สิทธิการเช่าย่อมระงับไม่ตกทอดไปยังทายาท
คำพิพากษาในคดีอื่นที่วินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิการเช่ามิใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 (2) จึงไม่อาจใช้ยันโจทก์และโจทก์ร่วมซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4985/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัว สิ้นสุดเมื่อผู้เช่าเสียชีวิต การโอนสิทธิโดยไม่สุจริตไม่ผูกพันเจ้าของกรรมสิทธิ์
แม้ บ. มีสิทธิเช่าอาคารพิพาทจากโจทก์ร่วม แต่สิทธิดังกล่าวเป็นสิทธิเฉพาะตัว เมื่อ บ. ตายสิทธิการเช่าย่อมระงับหรือสิ้นสุดลงไม่ตกทอดไปยังจำเลยซึ่งเป็นทายาท ส่วนคำพิพากษาของศาลอีกคดีหนึ่งที่วินิจฉัยว่า ฮ. ลงชื่อเป็นผู้เช่าอาคารพิพาทของโจทก์ร่วมแทน บ. ในคดีระหว่าง ฮ. กับ บ. นั้นเป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิการเช่าอาคาร มิใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145(2) จึงไม่อาจใช้ยันโจทก์และโจทก์ร่วมซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดี เมื่อ ฮ. ผู้เช่าเดิมได้โอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทแก่โจทก์และโจทก์ร่วมยินยอมและจัดให้โจทก์ทำสัญญาเช่ากับโจทก์ร่วมแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิใช้อาคารพิพาท จำเลยอยู่ในอาคารพิพาทโดยไม่มีสิทธิเป็นการละเมิดโต้แย้งสิทธิโจทก์และโจทก์ร่วมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4858/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของคำพิพากษาคดีอาญาต่อคำท้าในคดีแพ่ง: ศาลต้องรับฟังพยานหลักฐานต่อไปหากคำพิพากษาไม่ชี้ขาดตามคำท้า
โจทก์จำเลยท้ากันว่า หากคดีอาญาซึ่งจำเลยถูกฟ้องเป็นจำเลยศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง จำเลยยอมแพ้ แต่หากศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยไม่มีความผิด โจทก์ยอมแพ้ และคู่ความแถลงไม่ติดใจสืบพยาน เมื่อคดีอาญาดังกล่าวได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องเพราะฟ้องโจทก์ขาดอายุความเท่ากับศาลมิได้พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดหรือไม่มีความผิดตามฟ้อง ศาลก็ไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะหรือแพ้คดีตามคำท้าได้ ชอบที่ศาลจะต้องรับฟังพยานหลักฐานอื่นของโจทก์จำเลยต่อไป แม้ข้อความคำท้าตามรายงานกระบวนพิจารณาจะระบุว่าคู่ความไม่ติดใจสืบพยาน ก็มีความหมายเพียงว่าหากคำพิพากษาถึงที่สุดอย่างหนึ่งอย่างใดตามคำท้าแล้วคู่ความจะไม่ติดใจสืบพยาน จะถือว่าในกรณีที่คำพิพากษาถึงที่สุดไม่ชี้ขาดว่าจำเลยมีความผิดหรือไม่ คู่ความก็ไม่ติดใจสืบพยานหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4858/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของคำท้าทางศาลเมื่อคำพิพากษาคดีอาญาไม่ชี้ขาดความผิด-ไม่ผิด การพิจารณาคดีแพ่งต้องดำเนินต่อไป
คู่ความตกลงท้ากันว่าหากมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญาซึ่งจำเลยคดีนี้ถูกฟ้องเป็นจำเลยมีความผิดตามฟ้อง จำเลยคดีนี้ยอมแพ้หากคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยไม่มีความผิดตามฟ้อง โจทก์คดีนี้ยอมแพ้ คู่ความแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ปรากฏว่าในคดีอาญามีคำพิพากษาถึงที่สุดโดยศาลฎีกายกฟ้องโจทก์เพราะฟ้องโจทก์ขาดอายุความ โดยไม่ได้พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดหรือไม่ดังคำท้า ศาลไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะหรือแพ้คดีตามคำท้า ต้องรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยต่อไป แม้ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจดบันทึกคำท้าไว้ว่าคู่ความไม่ติดใจสืบพยาน ก็มีความหมายเพียงว่าหากคำพิพากษาคดีอาญาถึงที่สุดอย่างหนึ่งอย่างใดตามคำท้าแล้วคู่ความจะไม่ติดใจสืบพยาน จะถือว่าในกรณีคำพิพากษาคดีอาญาอันถึงที่สุดไม่ชี้ขาดว่าจำเลยมีความผิดหรือไม่คู่ความก็ไม่ติดใจสืบพยานหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4736/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พิจารณาจากเหตุผลเลิกจ้าง มิใช่กระบวนการสอบสวน
การที่จะพิจารณาว่าการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่นั้นต้องพิจารณาที่เหตุแห่งการเลิกจ้างว่ามีเหตุจริงหรือไม่และเหตุนั้นเป็นเหตุที่สมควรที่นายจ้างจะเลิกจ้างหรือไม่ ส่วนกรณีที่จะต้องมีการสอบสวนถึงเหตุนั้นก่อนหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งจะนำมาเป็นหลักในการพิจารณาว่าถ้าไม่มีการสอบสวนตามระเบียบแล้วย่อมเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหาได้ไม่ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชามีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริต ทำให้จำเลยไม่อาจไว้วางใจโจทก์อีกต่อไป จำเลยจึงมีเหตุอันสมควรที่จะเลิกจ้างโจทก์ได้มิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้กระทำการอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4736/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรายงานเท็จในการทำงานเป็นเหตุเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องบอกกล่าว
โจทก์รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจบริหารสูงสุดของจำเลยในเรื่องที่เกี่ยวกับงานในหน้าที่ของโจทก์ ถือได้ว่าเป็นการกระทำอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยชอบและโจทก์ก็มิได้ทำงานกับจำเลยจนเกษียณอายุโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องสิทธิประโยชน์ในเรื่องบัตรโดยสารเครื่องบิน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4736/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างที่รายงานเท็จและกระทำการทุจริต สิทธิในการเรียกร้องค่าชดเชยและสิทธิประโยชน์หลังเกษียณ
โจทก์รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจบริหารสูงสุดของจำเลยในเรื่องที่เกี่ยวกับงานในหน้าที่ของโจทก์ ถือได้ว่าเป็นการกระทำอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยชอบและโจทก์ก็มิได้ทำงานกับจำเลยจนเกษียณอายุโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องสิทธิประโยชน์ในเรื่องบัตรโดยสารเครื่องบิน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3854/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดสิทธิฎีกาในข้อเท็จจริงหลังศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น และประเด็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ข้อหา พา อาวุธปืน ศาลชั้นต้น จำคุก 6 เดือน ข้อหา วางเพลิง เผาทรัพย์ และ ทำลาย ศพ เพื่อ ปิดบัง การ ตาย ศาลชั้นต้น ลงโทษ ฐาน วางเพลิงเผา ทรัพย์ ซึ่ง เป็น กฎหมาย บท ที่ มี โทษ หนัก ที่สุด ให้ จำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลย จึง ต้องห้าม มิให้ ฎีกา ใน ปัญหา ข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ที่ จำเลย ฎีกา ว่าพยาน หลักฐาน โจทก์ ยัง มี ข้อสงสัย เชื่อ ไม่ได้ ว่า จำเลย เป็น คนร้าย ผู้กระทำผิด คดี นี้ เป็น ฎีกา ใน ปัญหา ข้อเท็จจริง ความผิด ทั้ง สาม ข้อหา ดังกล่าวจึง ต้องห้าม มิให้ จำเลย ฎีกา ศาลฎีกา ไม่รับ วินิจฉัย การ ที่ จำเลย กับ ผ. มี เรื่อง ทะเลาะ วิวาท และ เรื่อง ยุติ กัน ไปแล้ว จำเลย ขับ รถ ตาม ไป ยัง ผ. เช่นนี้ การ ทะเลาะ วิวาท ได้ ขาดตอนไป แล้ว จำเลย มี เวลา คิด ไตร่ตรอง ที่ จะ ฆ่า ผ. และ ติดตาม ไป ฆ่าการ กระทำ ของ จำเลย จึง เป็น การ ฆ่า ผ. โดย ไตร่ตรอง ไว้ ก่อน แต่ที่ จำเลย ฆ่า ม. และ ว. ด้วย นั้น ไม่ปรากฏ ว่า จำเลย กับ ม. และว. ทะเลาะ วิวาท กัน จน ถึง กับ จำเลย จะ ต้อง คิด ฆ่า บุคคล ทั้งสอง การที่ จำเลย ฆ่า บุคคล ทั้งสอง ก็ เพราะ บุคคล ทั้งสอง นั่ง รถ มา กับ ส.จำเลย จึง ฆ่า เพื่อ ปกปิด การ กระทำ ความผิด ของ จำเลย แต่ โจทก์ มิได้ฟ้อง จำเลย ใน ข้อหา ฆ่า ม. และ ว. เพื่อ ปกปิด การ กระทำ ความผิดจึง ลงโทษ จำเลย ใน ข้อหา นี้ ไม่ได้ คง ลงโทษ ได้ เพียง ฐาน ฆ่า บุคคลทั้งสอง ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3817/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจากข้อกล่าวหาแจ้งเท็จเรื่องเวลาทำงาน ผู้พิพากษาสมทบ และการอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า การมาปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาสมทบศาลแรงงานกลางของโจทก์ บางวันโจทก์มาปฏิบัติหน้าที่ช่วงเช้า บางวันมาปฏิบัติหน้าที่ช่วงบ่ายแต่โจทก์รายงานต่อจำเลยและผู้บังคับบัญชาว่า ปฏิบัติหน้าที่ทั้งวันเป็นประจำและเป็นเช่นนี้ตลอดทั้ง ๆ ที่มิได้มาปฏิบัติงานทั้งวัน ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า แม้โจทก์จะมิได้มาปฏิบัติหน้าที่ทั้งวัน แต่โจทก์ก็ไม่มีหน้าที่ต้องกลับไปปฏิบัติงานให้แก่จำเลยในช่วงเวลาส่วนที่เหลือหลังจากเสร็จการพิจารณาคดี กรณีจึงไม่เป็นการละทิ้งหน้าที่ โดยโจทก์ยกเอามติคณะรัฐมนตรีและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ขึ้นมาสนับสนุน ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่โจทก์ยกขึ้นมานั้น มิได้มีหรือบัญญัติไว้ดังที่โจทก์อ้างหรืออาจแปลความเช่นนั้นได้ เป็นเรื่องที่โจทก์เข้าใจและถือเอาเองจึงเป็นการอุทธรณ์ในสิ่งที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่ามีกฎหมายบัญญัติไว้ อันจะนำไปสู่ข้อโต้แย้งว่าโจทก์มิได้ละทิ้งหน้าที่การงานอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
of 41