คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
จรัญ หัตถกรรม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 800 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7625/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลคำพิพากษาคดีก่อนไม่ผูกพันโจทก์ในคดีต่อมา แม้มีมูลเหตุเดียวกัน หลักการบุคคลภายนอก
คดีที่จำเลยฟ้องขอให้บังคับ ภ. ชำระเงินค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่จำเลยนั้น เมื่อเป็นกรณีที่จำเลยฟ้องภ. ในฐานะเป็นเจ้าของและผู้ขับรถยนต์เก๋งคันเกิดเหตุมิใช่ฟ้อง ภ.ในฐานะผู้แทนของนิติบุคคลหรือผู้มีอำนาจ ทำการแทนนิติบุคคลซึ่งเป็นโจทก์คดีนี้ แม้ ภ. เป็นกรรมการโจทก์แต่เมื่อโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีฐานะแยกต่างหากจากผู้ถือหุ้นทั้งหลาย ถือว่าโจทก์คดีนี้จึงเป็นบุคคลภายนอกมิได้เป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลคดีดังกล่าวด้วยดังนี้ ผลแห่งคำพิพากษาคดีดังกล่าวย่อมผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีนั้น และหามีผลผูกพันหรือยันโจทก์คดี นี้ได้ไม่ ในการพิจารณาคดีแพ่งไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายให้ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีแพ่งอีกเรื่องหนึ่งที่ได้ชี้ขาดไว้มาเป็นหลักในการวินิจฉัย แม้ว่าคดีทั้งสองนั้นจะมีมูลกรณีเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกันก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7601/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าไม่ปรากฏหลักฐาน เพียงยิงปืนในหมู่บ้าน ความผิดฐานพยายามฆ่าไม่สำเร็จ
การที่จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นเบอร์ 12 ยิงผู้เสียหายในระยะห่างเพียง 15 เมตร หากจำเลยมีเจตนาฆ่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงก็น่าจะถูกผู้เสียหายหรือ ร. บ้างแต่ลูกกระสุนปืนก็หาได้ถูกผู้หนึ่งผู้ใดไม่ ไม่ปรากฏว่าวิถีกระสุนปืนไปในทิศทางที่ใกล้กับผู้เสียหายหรือไม่อย่างไรหลังจากที่ผู้เสียหายเดินไปเพื่อแจ้งให้บิดาทราบก็พบจำเลยยกปืนวิ่งมาทางผู้เสียหายห่าง 20 เมตร แต่จำเลยก็หาได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายไม่ทั้งที่มีโอกาสจะกระทำเช่นนั้นได้ประกอบกับหลังจากที่ ส. ได้ยินเสียงปืนหันมาดูตะโกนบอกจำเลยว่า ทำอย่างนี้ทำไมให้รีบไป และ ส. กลับไปทำอาหารต่อ แสดงว่า ส. ก็มิได้ให้ความสนใจต่อการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิง ผู้เสียหายกับจำเลยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันและเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน ไม่มีเหตุผลที่จำเลยจะใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า หลังเกิดเหตุจำเลยก็มิได้หลบหนีคงอยู่ที่บ้านมารดาจำเลยในหมู่บ้านเดียวกันกับผู้เสียหาย ต่อมาได้เข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานตำรวจและผู้เสียหายก็มิได้ไปแจ้งความในวันเกิดเหตุทั้งที่สถานีตำรวจอยู่ห่างเพียง 20 กิโลเมตร และบิดาผู้เสียหายเป็นผู้ใหญ่บ้านท้องที่ที่เกิดเหตุก็มิได้ไปสอบถามจำเลย ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงมีเหตุผลน่าเชื่อว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะทำร้ายหรือฆ่าผู้เสียหาย จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงในหมู่บ้าน จำเลยจึงมีความผิดฐานยิงปืนโดยใช่เหตุในหมู่บ้านตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7339/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงผลคดีอาญาเป็นข้อแพ้ชนะในคดีแพ่ง: ศาลแรงงานถือผลคำพิพากษาคดีอาญา
คดีนี้คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาเป็นข้อแพ้ชนะ โดยตกลงกันว่า หากคดีดังกล่าวศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 คดีนี้ไม่มีความผิดและยกฟ้อง ให้ถือว่าจำเลยทั้งสองในคดีนี้พ้นจากความรับผิด แต่หากศาลพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ในคดีนี้มีความผิดตามข้อกล่าวหา จำเลยทั้งสองจะต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินเต็มตามฟ้องแก่โจทก์ กรณีจึงเป็นเรื่องที่คู่ความตกลงกันในประเด็นแห่งคดีมาเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้ด้วยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 138 วรรคหนึ่งประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522มาตรา 31 หาใช่เป็นกรณีที่การวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตาม ป.วิ.อ.อาญา มาตรา 46 ไม่
คดีอาญาที่คู่ความท้ากัน ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังไม่มั่นคงเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้แสดงว่าตามคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยไม่มีความผิดดังนี้ การที่ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าคดีนี้ต้องถือเอาคำพิพากษาคดีอาญาของศาลในคดีดังกล่าวเป็นข้อแพ้ชนะ และฟังว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดในเงินที่สูญหายไปตามฟ้องตามคำท้านั้นชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7339/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงให้ผลคดีอาญาเป็นข้อแพ้ชนะในคดีแพ่ง: ศาลต้องถือตามข้อตกลง ไม่ใช่แค่ข้อเท็จจริงในคำพิพากษา
คดีนี้คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาเป็นข้อแพ้ชนะโดยตกลงกันว่า หากคดีดังกล่าวศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 คดีนี้ไม่มีความผิดและยกฟ้อง ให้ถือว่าจำเลยทั้งสองในคดีนี้พ้นจากความรับผิด แต่หากศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ในคดีนี้มีความผิดตามข้อกล่าวหา จำเลยทั้งสองจะต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินเต็มตามฟ้องแก่โจทก์ กรณีจึงเป็นเรื่องที่คู่ความตกลงกันในประเด็นแห่งคดีมาเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 หาใช่เป็นกรณีที่การวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ไม่
คดีอาญาที่คู่ความท้ากัน ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังไม่มั่นคงเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้แสดงว่าตามคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยไม่มีความผิด ดังนี้ การที่ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าคดีนี้ต้องถือเอาคำพิพากษาคดีอาญาของศาลในคดีดังกล่าวเป็นข้อแพ้ชนะ และฟังว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดในเงินที่สูญหายไปตามฟ้องตามคำท้านั้นชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7339/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงให้ผลคดีอาญาเป็นข้อแพ้ชนะในคดีแพ่ง ศาลต้องถือตามข้อตกลงหากคำพิพากษาคดีอาญาตรงกับข้อตกลง
คดีนี้คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาเป็นข้อแพ้ชนะโดยตกลงกันว่า หากคดีดังกล่าวศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 คดีนี้ไม่มีความผิดและยกฟ้อง ให้ถือว่าจำเลยทั้งสองในคดีนี้พ้นจากความรับผิด แต่หากศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ในคดีนี้มีความผิดตามข้อกล่าวหา จำเลยทั้งสองจะต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินเต็มตามฟ้องแก่โจทก์ กรณีจึงเป็นเรื่องที่คู่ความตกลงกันในประเด็นแห่งคดีมาเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 หาใช่เป็นกรณีที่การวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ไม่
คดีอาญาที่คู่ความท้ากัน ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังไม่มั่นคงเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้แสดงว่าตามคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยไม่มีความผิด ดังนี้ การที่ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าคดีนี้ต้องถือเอาคำพิพากษาคดีอาญาของศาลในคดีดังกล่าวเป็นข้อแพ้ชนะ และฟังว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดในเงินที่สูญหายไปตามฟ้องตามคำท้านั้นชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7196/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สำคัญผิดในทรัพย์สินสัญญาซื้อขายโมฆะ: การรับมอบและชำระค่าสินค้าโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมอันจะมีผลให้นิติกรรมเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 นั้น จะต้องเป็นการสำคัญผิดในทรัพย์สินที่จะต้องส่งมอบแก่กันตามสัญญาซื้อขาย โดยการทำสัญญาซื้อขายนั้นถือเอาตัวทรัพย์เป็นสาระสำคัญ ฟังได้ว่าโจทก์ขายเครื่องทำน้ำแข็งถ้วยและเครื่องกรองน้ำให้แก่จำเลย ในการส่งมอบและการติดตั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ทักท้วงถึงยี่ห้อของสินค้าว่ามิใช่ยี่ห้อนิวตั้น แต่กลับปรากฏว่าในระยะ 3 ถึง 4 เดือน ภายหลังติดตั้งเครื่องดังกล่าวใช้การได้ดี และเมื่อเครื่องทำงานขัดข้องโจทก์ก็จัดการซ่อมแซมให้พร้อมกับรับชำระค่าสินค้าเป็นประจำทุกเดือน จำเลยได้ชำระค่าสินค้าไปจนถึงงวดที่ 9หลังจากนั้นจำเลยติดต่อ ส. ไปซ่อมเครื่องทำน้ำแข็งถ้วยและเครื่องกรองน้ำถึง 3 ครั้งพฤติการณ์ที่จำเลยรับมอบเครื่องทำน้ำแข็งถ้วยและเครื่องกรองน้ำโดยมิได้โต้แย้งเกี่ยวกับยี่ห้อของสินค้าทั้งได้ครอบครองและใช้ประโยชน์ตลอดมา รวมทั้งได้ชำระค่าสินค้าจนถึงงวดที่ 9 จนกระทั่งโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ จำเลยจึงอ้างว่าเครื่องทำน้ำแข็งถ้วยและเครื่องกรองน้ำที่โจทก์ส่งมอบไม่ใช่ยี่ห้อนิวตั้นตามที่จำเลยตกลงซื้อ ข้อเท็จจริงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยตกลงซื้อเครื่องทำน้ำแข็งถ้วยและเครื่องกรองน้ำโดยสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมอันเป็นสาระสำคัญอันจะเป็นเหตุให้สัญญาซื้อขายตกเป็นโมฆะไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7085/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการบังคับคดีและการคุ้มครองสิทธิของผู้เช่าหลังคำพิพากษาถึงที่สุด
แม้ผู้ร้องที่ 1 จะมีสิทธิได้รับมรดกในที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 1 และผู้ร้องที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทในส่วนทางด้านทิศตะวันออกโดยผู้ร้องที่ 1มารดายกให้ก็ตาม แต่ในชั้นนี้เป็นชั้นบังคับคดีซึ่งโจทก์ขอให้บังคับแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับบริวาร เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 รื้อถอนโรงเรือนออกไปแล้ว คงเหลือเพียงบริวารซึ่งเป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 และปลูกสร้างโรงงานในที่ดินพิพาทมาแต่เดิมอันเป็นผู้ที่จะต้องถูกบังคับในคดีนี้ มิใช่ผู้ร้องทั้งสอง ส่วนที่ผู้เช่าทั้งสามดังกล่าวทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทจากผู้ร้องทั้งสองภายหลังที่ศาลฎีกาพิพากษาแล้วกรณีจะทำให้ผู้เช่าทั้งสามไม่ต้องรื้อถอนโรงงานออกไปหรือไม่เป็นเรื่องที่ ผู้เช่าทั้งสามจะต้องเป็นผู้มายื่นคำร้องเพื่อแสดงอำนาจพิเศษ ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296จัตวา (3) ส่วนที่ตามสัญญาเช่าซึ่งผู้ช่าทั้งสามยอมยกสิ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสองผู้ให้เช่านั้น เป็นเรื่องระหว่างผู้ร้องทั้งสองกับผู้เช่าที่จะต้องไปว่ากล่าวกันเอง ผู้ร้องทั้งสองไม่มีสิทธิมายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนประกาศของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้รื้อถอนโรงเรือนในที่ดินพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7047/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การขัดแย้งและไม่ชัดเจน ทำให้จำเลยไม่มีประเด็นนำสืบ แต่คดีมีประเด็นข้อพิพาท โจทก์ต้องนำสืบตามฟ้อง
คำให้การที่ขัดแย้งกันเองได้แก่คำให้การที่ยืนยันข้อเท็จจริงหลายทางไม่ชัดแจ้งว่าข้อเท็จจริงที่ให้การนั้นเป็นไปในทางหนึ่งทางใด ตอนแรกจำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยรู้จักหรือไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ จำเลยไม่ได้ลงชื่อในสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้อง ลายมือชื่อดังกล่าวเป็นลายมือชื่อปลอม จำเลยไม่เคยกู้เงินและไม่เคยรับเงินจากโจทก์ แต่ในตอนต่อมาจำเลยกลับให้การว่า สัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องเกิดจากภริยาจำเลยเคยกู้ยืมเงินจากโจทก์และภริยาจำเลยได้ชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ไม่ได้คืนสัญญากู้ยืมเงินที่จำเลยลงลายมือชื่อไว้โดยไม่ได้กรอกข้อความและให้โจทก์ยึดถือไว้ในการที่ภริยาจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ แล้วโจทก์กรอกข้อความในสัญญาดังกล่าวโดยที่ไม่มีมูลหนี้ต่อกันคำให้การดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ได้กู้เงินโจทก์และหนังสือสัญญากู้เป็นเอกสารปลอม แต่เหตุแห่งการปฏิเสธขัดแย้งกันไม่ชัดแจ้งว่าสัญญากู้ยืมเงินเป็นเอกสารปลอมเพราะเหตุใด คำให้การของจำเลยดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง
แม้จำเลยไม่มีประเด็นนำสืบตามคำให้การ แต่คดียังมีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ซึ่งโจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความตามฟ้อง จึงจะชนะคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7047/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การที่ขัดแย้งกันเองและประเด็นการปฏิเสธหนี้: ผลต่อการนำสืบพยาน
คำให้การที่ขัดแย้งกันเองได้แก่คำให้การที่ยืนยันข้อเท็จจริงหลายทาง ไม่ชัดแจ้งว่าข้อเท็จจริงที่ให้การนั้นเป็นไปในทางหนึ่งทางใด
คดีนี้ตอนแรกจำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยรู้จักหรือไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ จำเลยไม่ได้ลงชื่อในสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้อง ลายมือชื่อดังกล่าวเป็นลายมือชื่อปลอม จำเลยไม่เคยกู้เงินและไม่เคยรับเงินจำนวน 150,000 บาทจากโจทก์ แม้ตอนต่อมาจำเลยจะให้การว่า สัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีนี้เกิดจากภรรยาจำเลยเคยกู้ยืมเงินจากโจทก์เมื่อปี 2530 และภรรยาจำเลยได้ชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยคืนให้แก่โจทก์ครบถ้วนไปแล้ว หากแต่โจทก์ไม่ได้คืนต้นฉบับสัญญากู้ยืมเงินที่จำเลยลงลายมือชื่อไว้โดยไม่ได้กรอกข้อความและให้โจทก์ยึดถือไว้ในการที่ภรรยาจำเลยกู้ยืมเงิน โจทก์จึงกรอกข้อความในสัญญากู้ยืมเงินโดยที่ไม่มีมูลหนี้ต่อกันแล้วนำมาเป็นหลักฐานในการฟ้องคดีนี้ก็ตาม คำให้การของจำเลยดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์และหนังสือสัญญากู้ยืมเงินท้ายฟ้องที่โจทก์อ้างเป็นเอกสารปลอม เพียงแต่เหตุแห่งการปฏิเสธขัดแย้งกันไม่ชัดแจ้งว่า สัญญากู้ยืมเงินเป็นเอกสารปลอมเพราะเหตุใดเป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสอง จำเลยจึงไม่มีประเด็นนำสืบตามคำให้การ แต่คดียังมีประเด็นข้อพิพาทและโจทก์ต้องนำสืบให้ได้ความตามฟ้องโจทก์จึงจะชนะคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6980/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วางเพลิงเผาโรงเรือนจากความขัดแย้งในครอบครัว ศาลลดโทษเนื่องจากบันดาลโทสะ
ปัญหาว่าจำเลยกระทำผิดเพราะบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมหรือไม่ แม้จำเลยไม่ได้ยกเหตุนี้ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ แต่เมื่อกรณีมีเหตุอันควรลดหย่อนผ่อนโทษ ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ จำเลยรักใคร่ให้การอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่ผู้เสียหายในฐานะที่จำเลยเป็นมารดาอย่างดีจนสำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรี ระหว่างศึกษาผู้เสียหายมีท้องไม่มีพ่อเมื่อคลอดบุตรแล้วก็นำมาให้จำเลยเลี้ยงเมื่อผู้เสียหายสำเร็จการศึกษาและเข้ารับราชการครูได้สมรสกับ ถ.แต่อยู่กินกันได้เพียง1เดือนก็ถูกถ.ฟ้องหย่า ต่อมาผู้เสียหายลักลอบได้เสียกับโจทก์ร่วมและจะนำโจทก์ร่วมเข้ามาอยู่ในบ้าน จำเลยไม่ยอม ผู้เสียหายได้ขโมยไม้บางส่วนซึ่งเก็บไว้ที่บ้านจำเลยไปสร้างบ้านด้วยจำเลยบอกให้รื้อถอนออกไป ผู้เสียหายกลับโต้แย้งสิทธิว่า ยกให้โดยไม่เป็นความจริง เห็นได้ว่าผู้เสียหายได้สร้าง ความชอกช้ำระกำใจอับอายขายหน้าให้จำเลยผู้เป็นมารดามาโดยตลอดประกอบกับผู้เสียหายบุกรุกเข้ามาสร้างบ้านในที่ดินของจำเลยแล้วโต้เถียงสิทธิไม่ยอมออกไป ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยวางเพลิงเผาโรงเรือนดังกล่าวของผู้เสียหายและโจทก์ร่วมจึงเป็นการกระทำผิดโดยบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
of 80