คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
จรัญ หัตถกรรม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 800 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6487/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการขอคืนรถยนต์เช่าซื้อ: การใช้สิทธิโดยสุจริตของผู้ให้เช่าซื้อและผลกระทบต่อการรู้เห็นเป็นใจ
ผู้ร้องเป็นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์ การให้เช่าซื้อเป็นวัตถุประสงค์ข้อหนึ่งในหลายข้อของผู้ร้อง ดังนั้น การที่ผู้ร้องให้เช่าซื้อรถยนต์คันของกลางจึงเป็นการประกอบธุรกิจตามวัตถุประสงค์ของผู้ร้อง หาใช่เป็นเรื่องที่ผู้ร้องมุ่งประสงค์แต่เพียงผลกำไรจากการขายสินค้าและราคาเช่าซื้อเป็นสำคัญไม่ ที่ผู้ร้องมิได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อหรือร้องขอคืนรถยนต์ของกลางในชั้นสอบสวนก็ได้ความว่าเมื่อ พ. ผู้เช่าซื้อไม่ชำระค่าเช่าซื้อ 4 งวดติดต่อกัน ผู้ร้องได้ให้พนักงานติดตามจึงทราบว่ารถยนต์คันของกลางถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดไว้ที่สถานีตำรวจ ทั้งปรากฏว่าขณะนั้นพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องเป็นคดีแล้ว ที่ผู้ร้องมิได้ร้องขอคืนรถยนต์ของกลางในชั้นสอบสวนจึงมิใช่เป็นข้อพิรุธแต่ประการใด แม้สัญญาเช่าซื้อมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าซื้ออยู่ตลอดไปจนกว่าจะครบและรับผิดชอบบรรดาค่าเสียหายทั้งปวงในการใช้รถยนต์ก็ตาม เมื่อปรากฏว่า พ. ยังจะต้องชำระค่าเช่าซื้ออีกหลายแสนบาท การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางที่แท้จริงยื่นคำร้องขอคืนในคดีนี้ จึงเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของผู้ร้องโดยแท้ หาใช่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่นหรือพ. ผู้เช่าซื้อไม่ จึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6402/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีที่ไม่บริบูรณ์ก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ทำให้ใช้ยันต่อ จ.พ.ท. ไม่ได้
การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจัดทำบัญชีแสดงการรับจ่ายเงินแล้วเสร็จ และได้โอนเงินของจำเลยที่เหลือ ตามที่โจทก์ในคดีนี้ขออายัดมาไว้ในคดีนี้เมื่อภายหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 เด็ดขาดและเพิ่งมีการส่งทรัพย์สินตามที่อายัดไว้เมื่อเวลาภายหลังที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2แล้ว ดังนี้ เมื่อการบังคับคดีแพ่งเรื่องนี้ยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 จึงใช้ยันแก่ จ.พ.ท.ของจำเลยที่ 2 ไม่ได้ ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 110 จ.พ.ท.จึงมีอำนาจจัดการเงินที่เหลือดังกล่าวรวมเข้าไปไว้ในกองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้ โจทก์คดีนี้จะขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีสั่งให้โอนเงินที่ส่งมาตามที่อายัดไปไว้ในกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ในคดีล้มละลายหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6402/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการคุ้มครองทรัพย์สินในคดีล้มละลาย: สิทธิของเจ้าหนี้เมื่อคดีบังคับคดียังไม่บริบูรณ์
การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจัดทำบัญชีแสดงการรับจ่ายเงินแล้วเสร็จ และได้โอนเงินของจำเลยที่เหลือ ตามที่โจทก์ในคดีนี้ขออายัดมาไว้ในคดีนี้เมื่อภายหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 เด็ดขาดและเพิ่งมีการส่งทรัพย์สินตามที่อายัดไว้เมื่อเวลาภายหลังที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 แล้ว ดังนี้ เมื่อการบังคับคดีแพ่งเรื่องนี้ยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2จึงใช้ยันแก่ จ.พ.ท.ของจำเลยที่ 2 ไม่ได้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 110 จ.พ.ท.จึงมีอำนาจจัดการเงินที่เหลือดังกล่าวรวมเข้าไปไว้ในกองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้ โจทก์คดีนี้จะขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีสั่งให้โอนเงินที่ส่งมาตามที่อายัดไปไว้ในกองทรัพย์สิน ของจำเลยที่ 2 ในคดีล้มละลายหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6368/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อขายที่ดิน: สิทธิการครอบครองและการบอกเลิกสัญญา
โจทก์มีชื่อเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 80 ตารางวา และโจทก์ได้ทำหนังสือสัญญาขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยในราคา 140,000 บาทวางมัดจำในวันทำสัญญาเป็นเงิน 20,000 บาท ส่วนที่เหลือ 120,000 บาท จะผ่อนชำระเป็น 2 งวด งวดแรกเป็นเงิน 50,000 บาท งวดที่ 2 เป็นเงิน70,000 บาท หลังจากโจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขาย และวางเงินมัดจำแล้ว โจทก์ได้มอบการครอบครองให้จำเลยเข้าทำประโยชน์โดยขุดดินเพื่อทำเป็นนากุ้ง แต่การที่โจทก์ส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยเข้าครอบครองและทำประโยชน์นั้นโจทก์ยังคงยึดถือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เสียภาษีบำรุงท้องที่ตามใบเสร็จรับเงิน และดำเนินการขอออกโฉนดที่ดิน อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าโจทก์มิได้มีเจตนาสละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย หากแต่โจทก์จำเลยมีเจตนาที่จะไปดำเนินการโอนทางทะเบียนหลังจากจำเลยชำระค่าที่ดินครบถ้วนแล้วดังนี้ สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทจึงมิใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด หากแต่เป็นสัญญาจะซื้อขายอันมีผลผูกพันให้คู่สัญญาจะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญา
การที่จำเลยเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก็โดยอาศัยสิทธิของโจทก์ตามสัญญาจะซื้อขาย จำเลยจึงไม่ได้สิทธิครอบครอง เมื่อจำเลยไม่ชำระเงินค่างวดให้แก่โจทก์ตามที่ตกลงกันไว้ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6368/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อขายที่ดิน: การไม่ชำระค่างวดทำให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและฟ้องขับไล่ได้
โจทก์มีชื่อเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เนื้อที่ 7 ไร่3 งาน 80 ตารางวา และโจทก์ได้ทำหนังสือสัญญาขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยในราคา 140,000 บาท วางมัดจำในวันทำสัญญาเป็นเงิน 20,000 บาท ส่วนที่เหลือ 120,000 บาทจะผ่อนชำระเป็น 2 งวด งวดแรกเป็นเงิน 50,000 บาท งวดที่ 2เป็นเงิน 70,000 บาท หลังจากโจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายและวางเงินมัดจำแล้ว โจทก์ได้มอบการครอบครองให้จำเลยเข้าทำประโยชน์โดยขุดดินเพื่อทำเป็นนากุ้ง แต่การที่โจทก์ส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยเข้าครอบครองและทำประโยชน์นั้นโจทก์ยังคงยึดถือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เสียภาษีบำรุงท้องที่ตามใบเสร็จรับเงิน และดำเนินการขอออกโฉนดที่ดิน อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าโจทก์มิได้มีเจตนาสละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย หากแต่โจทก์จำเลยมีเจตนาที่จะไปดำเนินการโอนทางทะเบียนหลังจากจำเลยชำระ ค่าที่ดินครบถ้วนแล้ว ดังนี้ สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทจึงมิใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด หากแต่เป็นสัญญาจะซื้อขายอันมีผลผูกพันให้คู่สัญญาจะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญา การที่จำเลยเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก็โดยอาศัยสิทธิของโจทก์ตามสัญญาจะซื้อขาย จำเลยจึงไม่ได้สิทธิครอบครอง เมื่อจำเลยไม่ชำระเงินค่างวดให้แก่โจทก์ตามที่ตกลงกันไว้ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6342/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเพิกถอนขายทอดตลาด เหตุจำเลยมิได้ยกเหตุลายมือชื่อต่างกันในศาลชั้นต้น และคำร้องฉ้อฉลไม่ชัดเจน
จำเลยที่ 2 ได้ระบุในคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดว่าในการส่งประกาศขายทอดตลาด พบจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 1 รับประกาศแล้วไม่ได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบ จำเลยที่ 2 ไม่ได้รับประกาศด้วยตนเองดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ได้ยกปัญหาเรื่องลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 ในใบรับหมายมีลักษณะแตกต่างกับลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 ในสัญญาประนีประนอมยอมความตามฎีกาจำเลยที่ 2จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 2อ้างเพียงว่า ผู้ซื้อทรัพย์ตกลงราคากับโจทก์ก่อนเข้าซื้อทรัพย์เป็นการฉ้อฉลจำเลยที่ 2 ทำให้ราคาที่ขายต่ำกว่าราคาที่แท้จริง มิได้กล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง คำร้องของจำเลยที่ 2จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 วรรคสอง จำเลยที่ 2 จะขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งอนุญาตให้ขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 และให้ศาลมีคำสั่งให้ขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ใหม่ โดยอ้างว่าโจทก์และผู้ซื้อทรัพย์ร่วมกันฉ้อฉลและราคาที่ขายต่ำกว่าราคาแท้จริงดังกล่าวหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6342/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์การขายทอดตลาด: เหตุผลที่ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเรื่องลายมือชื่อและเหตุฉ้อฉล
จำเลยที่ 2 ได้ระบุในคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดว่าในการส่งประกาศขายทอดตลาด พบจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 1 รับประกาศแล้วไม่ได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบ จำเลยที่ 2 ไม่ได้รับประกาศด้วยตนเอง ดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ได้ยกปัญหาเรื่องลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 ในใบรับหมายมีลักษณะแตกต่างกับลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 ในสัญญาประนีประนอมยอมความตามฎีกาจำเลยที่ 2 จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 2อ้างเพียงว่า ผู้ซื้อทรัพย์ตกลงราคากับโจทก์ก่อนเข้าซื้อทรัพย์เป็นการฉ้อฉลจำเลยที่ 2 ทำให้ราคาที่ขายต่ำกว่าราคาที่แท้จริง มิได้กล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตาม ป.วิ.พ. คำร้องของจำเลยที่ 2 จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา296 วรรคสอง จำเลยที่ 2 จะขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งอนุญาตให้ขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 และให้ศาลมีคำสั่งให้ขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ใหม่ โดยอ้างว่าว่าโจทก์และผู้ซื้อทรัพย์ร่วมกันฉ้อฉลและราคาที่ขายต่ำกว่าราคาแท้จริงดังกล่าวหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6135/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดในสัญญาและการชำระค่าจ้างตามควรค่าแห่งงาน
แม้ผู้ได้รับอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารพิพาท คือบริษัท ค. ซึ่งจำเลยเป็นกรรมการผู้จัดการ และมีการปลูกสร้างอาคารดังกล่าวบนที่ดินซึ่งเป็นของบริษัท ค.เองก็ตาม แต่เมื่อจำเลยเป็นผู้ติดต่อว่าจ้างโจทก์ให้ออกแบบตกแต่งภายในโดยไม่ได้แจ้งว่ากระทำการในฐานะเป็นผู้แทนบริษัทเจ้าของอาคาร ดังนี้จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัวตามสัญญานั้น
จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ให้ออกแบบตกแต่งภายในอาคารบ้านพักส่วนตัวของจำเลย แล้วจำเลยนำแบบแปลนไฟฟ้าของโจทก์ไปใช้เพียงบางส่วน แต่แบบตกแต่งในกระดาษไขซึ่งเป็นแบบที่ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่มีรายละเอียดของวัสดุที่จะใช้รวมทั้งระยะต่าง ๆ เป็นเพียงแบบเสนอ และยังไม่ได้รับอนุมัติจากจำเลย จึงยังไม่มีการนำแบบไปใช้ตกแต่ง ดังนี้ต้องถือว่าโจทก์ทำงานยังไม่แล้วเสร็จ เมื่อโจทก์ไม่เขียนแบบต่อไปและมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระค่าจ้าง จำเลยก็ไม่ได้ชำระค่าจ้าง ทั้งโจทก์จำเลยปล่อยให้ระยะเวลาล่วงเลยมาโดยมิได้จัดการอย่างหนึ่งอย่างใด พฤติการณ์ของโจทก์จำเลยแสดงให้เห็นว่า โจทก์จำเลยต่างมีเจตนาเลิกสัญญาต่อกันแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม ป.วิ.พ.มาตรา 391 โดยจำเลยต้องใช้เงินให้แก่โจทก์ตามควรค่าแห่งการงานของโจทก์
แม้โจทก์จะฟ้องเรียกค่าว่าจ้างทำของ แต่เมื่อศาลเห็นว่าโจทก์สมควรได้เป็นค่าแห่งการงานที่ได้กระทำให้แก่จำเลย ศาลก็มีอำนาจกำหนดให้โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6135/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาออกแบบตกแต่งภายใน: ความรับผิดส่วนตัวของผู้ว่าจ้าง แม้จะไม่ได้ระบุฐานะตัวแทนบริษัท
แม้ผู้ได้รับอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารพิพาท คือบริษัทค. ซึ่งจำเลยเป็นกรรมการผู้จัดการ และมีการปลูกสร้างอาคารดังกล่าวบนที่ดินซึ่งเป็นของบริษัท ค. เองก็ตาม แต่เมื่อจำเลยเป็นผู้ติดต่อว่าจ้างโจทก์ให้ออกแบบตกแต่งภายในโดยไม่ได้แจ้งว่ากระทำการในฐานะเป็นผู้แทนบริษัทเจ้าของอาคาร ดังนี้จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัวตามสัญญานั้น จำเลยได้ว่าจ้างให้ออกแบบตกแต่งภายในอาคารบ้านพักส่วนตัวของจำเลย แล้วจำเลยนำแบบแปลนไฟฟ้าของโจทก์ไปใช้เพียงบางส่วน แต่แบบตกแต่งในกระดาษไขซึ่งเป็นแบบที่ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่มีรายละเอียดของวัสดุที่จะใช้รวมทั้งระยะต่าง ๆ เป็นเพียงแบบเสนอและยังไม่ได้รบอนุมัติจากจำเลย จึงยังไม่มีการนำแบบไปใช้ตกแต่ง ดังนี้ต้องถือว่าโจทก์ทำงานยังไม่แล้วเสร็จเมื่อโจทก์ไม่เขียนแบบต่อไปและมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระค่าจ้าง จำเลยก็ไม่ได้ชำระค่าจ้าง ทั้งโจทก์จำเลยปล่อยให้ระยะเวลาล่วงเลยมาโดยมิได้จัดการอย่างหนึ่งอย่างใดพฤติการณ์ของโจทก์จำเลยแสดงให้เห็นว่า โจทก์จำเลยต่างมีเจตนาเลิกสัญญาต่อกันแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 391 โดยจำเลยต้องใช้เงินให้แก่โจทก์ตามควรค่าแห่งการงานของโจทก์ แม้โจทก์จะฟ้องเรียกค่าว่าจ้างทำของ แต่เมื่อศาลเห็นว่าโจทก์สมควรได้เป็นค่าแห่งการงานที่ได้กระทำให้แก่จำเลย ศาลก็มีอำนาจ กำหนดให้โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6117/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีเพิ่มเติมหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุด และการเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความ
แม้ที่ดินตามแผนที่พิพาทเส้นสีเขียวเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์และเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่พิพาทกันในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1278/2532 ของศาลชั้นต้น และคดีดังกล่าวศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดว่า โจทก์มีสิทธิดีกว่าจำเลยทั้งสองให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนแนวรั้วออกไปจากที่ดินพิพาทและส่งมอบที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ต่อมาในชั้นบังคับคดีปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ทำการรื้อถอนรั้วออกไป แต่ยังส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในสภาพไม่เรียบร้อย เนื่องจากระหว่างพิจารณาคดีจำเลยทั้งสองได้ขุดดินออกไปจากที่ดินพิพาท รวมทั้งปลูกสร้างอาคารรุกล้ำเข้ามาในที่ดินพิพาทบางส่วน ดังนี้ การที่จำเลยทั้งสองขุดดินออกไปจากที่ดินพิพาทและปลูกสร้างอาคารรุกล้ำเข้ามาในที่ดินพิพาทบางส่วนในระหว่างพิจารณาคดีก่อน มูลคดีนี้จึงเกิดภายหลังโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีดังกล่าวซึ่งโจทก์ไม่สามารถฟ้องมาในคราวเดียวกันได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 148 วรรคหนึ่ง
การที่จะเรียกบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความเข้ามาในคดีนั้นจะต้องแสดงเหตุว่า ตนอาจถูกฟ้องหรือถูกคู่ความเช่นว่านั้นฟ้องตนได้เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ย หรือเพื่อใช้ค่าทดแทน ถ้าหากศาลพิจารณาให้คู่ความเช่นว่านั้นแพ้คดีตามป.วิ.พ.มาตรา 57 (3) วรรคสี่ แต่ตามคำร้องของจำเลยที่ขอให้เรียกนายอำเภอเข้ามาเป็นคู่ความร่วมกับจำเลยนั้น ได้ความแต่เพียงว่านายอำเภอเป็นผู้สอบสวนข้อเท็จจริงและห้ามโจทก์กับจำเลยถือสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเท่านั้น กรณีจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะเรียกนายอำเภอเข้ามาเป็นคู่ความในคดี
of 80