คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมชาย รังสิกรรพุม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 118 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4936/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินพิพาท: ศาลฎีกายกประเด็นการแย่งการครอบครองที่ไม่สอดคล้องกับคำให้การ และส่งคืนสำนวนเพื่อวินิจฉัยกรรมสิทธิ์
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและให้รื้อขนำของจำเลยที่ปลูกสร้างลงในที่พิพาท ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่โจทก์ซื้อมา จำเลยให้การต่อสู้ว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของบิดาจำเลยซึ่งยกให้แก่จำเลยครอบครองและทำประโยชน์ตลอดมา ดังนี้ ตามคำให้การของจำเลยไม่มีปัญหาเรื่องการแย่งการครอบครองที่ดินที่จำเลยปลูกขนำอยู่จากโจทก์จึงไม่มีการอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 วรรคสอง เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น เมื่อจำเลยอ้างในคำให้การว่าจำเลยครอบครองที่ดินของจำเลยเอง ศาลจึงไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นการวินิจฉัยขัดแย้งกับประเด็นที่จำเลยต่อสู้ไว้ในคำให้การทั้งไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลจึงยกขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้ ปัญหาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ ปัญหาข้อนี้ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัย และเมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว คดีอาจต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(2) ประกอบมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4936/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยประเด็นแย่งการครอบครองที่ดิน ศาลต้องพิจารณาตามประเด็นที่จำเลยต่อสู้ ไม่ใช่ปัญหาความสงบเรียบร้อยของประชาชน
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและให้รื้อขนำของจำเลยที่ปลูกอยู่ในที่ดินที่โจทก์ซื้อมา จำเลยให้การต่อสู้ว่าเดิมที่ดินพิพาทเป็นของบิดาจำเลยที่ 2 ซึ่งยกให้แก่จำเลยทั้งสองครอบครองและทำประโยชน์ตลอดมา ตามคำให้การของจำเลยไม่อาจมีปัญหาเรื่องการแย่งการครอบครองที่ดินที่จำเลยปลูกขนำอยู่จากโจทก์ จึงไม่มีการอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสองเพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น เมื่อจำเลยอ้างในคำให้การว่าจำเลยครอบครองที่ดินของจำเลยเอง ศาลจึงไม่อาจยกการแย่งการครอบครองขึ้นวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4892/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องขอตั้งผู้จัดการมรดกสงวนไว้เฉพาะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกเท่านั้น
ทายาทที่จะร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดก หมายถึง ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกเท่านั้น ไม่หมายถึงผู้ที่อยู่ในลำดับทายาททุกลำดับตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 โจทก์เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ตาย แต่ขณะยื่นฟ้องปรากฏว่ายังมีศ.เป็นบุตรของผู้ตายซึ่งเป็นทายาทลำดับ 1 โจทก์จึงไม่เป็นทายาทผู้มีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตาย และถือไม่ได้ว่าโจทก์มีส่วนได้เสียในกองมรดกของผู้ตาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4866/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวแทนเชิดทำสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ต้องมีหลักฐานการตั้งตัวแทนเป็นหนังสือ
บันทึกข้อตกลงเรื่องค่าเสียหายที่สามีโจทก์ทำไว้กับจำเลยมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือการตั้งตัวแทนเพื่อไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความก็จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798แต่ปรากฏว่าในการไปทำบันทึกข้อตกลงเรื่องค่าเสียหายดังกล่าวโจทก์ได้แสดงออกหรือยอมให้สามีโจทก์แสดงออกว่าเป็นตัวแทนโจทก์ไปทำบันทึกข้อตกลงเรื่องค่าเสียหายกับจำเลย อันเป็นเรื่องตัวแทนเชิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821 ไม่อยู่ในบังคับมาตรา 798 ที่จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ แม้โจทก์มิได้มีหนังสือตั้งให้สามีโจทก์ไปทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวกับจำเลย โจทก์ในฐานะตัวการก็ต้องผูกพันรับผิดต่อจำเลยตามข้อตกลงนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4832/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการใช้สิทธิเอาคืนทรัพย์สิน: ทรัพย์สินที่ตกเป็นของโจทก์แล้วไม่อยู่ในอำนาจบังคับคดี
เมื่อบ้านพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการขายฝากบ้านพิพาทจึงมิใช่ทรัพย์สินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาการที่โจทก์ขอให้บังคับคดี และเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการให้โจทก์เข้าครอบครองบ้านพิพาทนั้น เป็นการใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของโจทก์จากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดไว้ มิใช่เป็นการบังคับคดีหรือบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา จึงไม่เข้าเกณฑ์ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อันที่ผู้ร้องจะขอกันส่วนบ้านพิพาทในคดีนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4832/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการบังคับคดีและการกันส่วนทรัพย์สิน: ทรัพย์สินที่ไม่ได้เป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา
บ้านพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการขายฝาก จึงมิใช่ทรัพย์สินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา การที่โจทก์ขอให้บังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการให้โจทก์เข้าครอบครองบ้านพิพาทนั้นเป็นการใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของโจทก์จากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิที่จะยึดไว้มิใช่เป็นการบังคับคดี หรือบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาจึงไม่เข้าเกณฑ์ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในอันที่ผู้ร้องจะขอกันส่วนบ้านพิพาทได้ ทั้งนี้ เพราะการร้องขอกันส่วนได้แก่การที่บุคคลภายนอกผู้เป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิหรือสิทธิอื่น ๆ ร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่มีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินนั้น หรือขอให้เอาเงินที่ได้จากการขายหรือจำหน่ายทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษามาชำระหนี้ของตนก่อนเจ้าหนี้อื่น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287หรือ 289 แล้วแต่กรณี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4673/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาลักทรัพย์-ปล้นทรัพย์: การทำร้ายร่างกายและทิ้งรถผู้เสียหาย ไม่ถึงเจตนาปล้นทรัพย์ เพิ่มโทษซ้ำ
จำเลยทั้งสี่ชักชวนกันด้วยความคึกคะนองเนื่องจากมึนเมาสุราว่า จะดักทำร้ายผู้ที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมา เมื่อผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ผ่านมา จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายแล้วนำเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปทิ้งในคลอง โดยที่ไม่ได้มีการพูดจาหรือตกลงกันว่าจะมาเอาในภายหลัง แสดงว่าจำเลยทั้งสี่มีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายโดยมิได้ประสงค์ต่อทรัพย์ เพราะมิได้มีการกระทำที่ส่อให้เห็นว่าจำเลยทั้งสี่มีเจตนาจะเอาไปเป็นของตนเองอันเป็นการแสดงเจตนาทุจริตเกี่ยวกับทรัพย์ที่เอาไป จำเลยทั้งสี่จึงไม่มีเจตนาลักทรัพย์การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ จำเลยที่ 1 เคยต้องโทษจำคุกฐานรับของโจร และภายในเวลา 3 ปีนับแต่วันพ้นโทษ จำเลยที่ 1 มากระทำผิดคดีนี้ฐานทำร้ายร่างกายจึงเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 93 ไม่ได้ แต่เพิ่มโทษได้ตามมาตรา 92 แม้โจทก์จะขอเพิ่มโทษตามมาตรา 93 โดยไม่ได้ขอมาตรา 92 มาด้วย ก็ชอบที่จะเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 92ซึ่งเป็นบทที่เบากว่าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4673/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาการกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์และการเพิ่มโทษผู้กระทำผิดซ้ำ
จำเลยทั้งสี่ชักชวนกันด้วยความคึกคะนองเนื่องจากมึนเมาสุราว่าจะดักทำร้ายผู้ที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมา เมื่อผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ผ่านมาจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายแล้วนำเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปทิ้งในคลอง โดยที่ไม่ได้มีการพูดจาหรือตกลงกันว่าจะมาเอาในภายหลัง แสดงว่าจำเลยทั้งสี่มีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายโดยมิได้ประสงค์ต่อทรัพย์ เพราะมิได้มีการกระทำที่ส่อให้เห็นว่าจำเลยทั้งสี่มีเจตนาจะเอาไปเป็นของตนเองอันเป็นการแสดงเจตนาทุจริตเกี่ยวกับทรัพย์ที่เอาไป จำเลยทั้งสี่จึงไม่มีเจตนาลักทรัพย์การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์
จำเลยที่ 1 เคยต้องโทษจำคุกฐานรับของโจร และภายในเวลา3 ปี นับแต่วันพ้นโทษ จำเลยที่ 1 มากระทำผิดคดีนี้ฐานทำร้ายร่างกายจึงเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 93 ไม่ได้ แต่เพิ่มโทษได้ตามมาตรา 92 แม้โจทก์จะขอเพิ่มโทษตามมาตรา 93 โดยไม่ได้ขอมาตรา 92 มาด้วย ก็ชอบที่จะเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 92 ซึ่งเป็นบทที่เบากว่าได้
of 12