พบผลลัพธ์ทั้งหมด 118 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2777/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบิกความเท็จในคดีแพ่งเกี่ยวกับสิทธิซื้อที่ดินเช่า การพิสูจน์ข้อสำคัญในคดีและการปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมาย
ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524ผู้ให้เช่านาจะขายนาที่ให้เช่าได้ต่อเมื่อได้แจ้งความจำนงจะขายนาให้ผู้เช่านาทราบเป็นหนังสือ โดยระบุราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินยื่นต่อประธานคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตำบล เพื่อแจ้งให้ผู้เช่านาทราบภายใน 15 วัน ถ้าผู้เช่านาไม่แสดงความจำนงจะซื้อนาภายในกำหนด 30 วัน หรือปฏิเสธเป็นหนังสือ หรือแสดงความจำนงจะซื้อนาแต่ไม่ชำระเงินในกำหนดเวลาที่ตกลงกันหรือเวลาที่คณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตำบลกำหนด จึงจะถือว่าผู้เช่านาหมดสิทธิที่จะซื้อนา เมื่อข้อเท็จจริงในคดีฟังเป็นยุติว่า ช. ผู้ให้เช่านาบอกขายนาให้แก่จำเลยโดยเป็นการบอกขายระหว่างกันเอง มิได้ปฏิบัติตามขั้นตอนตามที่ พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 กำหนดไว้ การที่ ช. ขายนาที่จำเลยเช่าให้แก่โจทก์จึงไม่ทำให้จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่านาหมดสิทธิที่จะซื้อนาแปลงดังกล่าวดังนั้นข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลในคดีแพ่งที่จำเลยฟ้องโจทก์ขอให้บังคับโจทก์ขายนาแก่จำเลย ในทำนองว่า ช. ไม่เคยบอกขายที่นาให้แก่จำเลย แม้จะเป็นความเท็จ แต่ข้อความดังกล่าวมิใช่ข้อสำคัญในคดีก่อนเพราะไม่อาจทำให้คู่ความแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดีได้ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2753/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่เคลือบคลุม: จำเลยต้องเข้าใจสภาพแห่งข้อหาและต่อสู้คดีได้
คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันโจทก์ได้บรรยายฟ้องมาชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยที่ 1ได้เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์ได้แนบสำเนาสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันซึ่งเป็นเอกสารที่กฎหมายต้องการมาพร้อมกับคำฟ้องแล้ว ส่วนข้อที่ว่าโจทก์มีวัตถุที่ประสงค์ในการให้เช่าซื้อรถยนต์หรือไม่เป็นรายละเอียดมิใช่สภาพแห่งข้อหาอันต้องบรรยายมาในฟ้อง โจทก์บรรยายฟ้องอ้างถึงข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาเช่าซื้ออันเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์กล่าวคือ จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อถือว่าสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดทันที จำเลยที่ 1 ต้องคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ตามสัญญาข้อ 10 แต่ปรากฎว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อถูกโจรภัยจำเลยที่ 1 จึงต้องชดใช้ราคารถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ตามสัญญาข้อ 6 โจทก์ได้รับชดใช้จากบริษัทที่รับประกันภัยแล้ว 200,000 บาท โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดในราคารถยนต์ที่ยังขาดอยู่ คำฟ้องโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาพอที่จำเลยทั้งสองจะเข้าใจและต่อสู้คดีได้ถูกต้องฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2753/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของคำฟ้องในคดีเช่าซื้อและการบังคับตามสัญญา
คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน โจทก์ได้บรรยายฟ้องมาชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยที่ 1 ได้เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1ซึ่งโจทก์ได้แนบสำเนาสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันซึ่งเป็นเอกสารที่กฎหมายต้องการมาพร้อมกับคำฟ้องแล้ว ส่วนข้อที่ว่าโจทก์มีวัตถุที่ประสงค์ในการให้เช่าซื้อรถยนต์หรือไม่เป็นรายละเอียด มิใช่สภาพแห่งข้อหาอันต้องบรรยายมาในฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องอ้างถึงข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาเช่าซื้ออันเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ กล่าวคือ จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อถือว่าสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดทันที จำเลยที่ 1 ต้องคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ตามสัญญาข้อ 10 แต่ปรากฏว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อถูกโจรภัยจำเลยที่ 1 จึงต้องชดใช้ราคารถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ตามสัญญาข้อ 6 โจทก์ได้รับชดใช้จากบริษัทที่รับประกันภัยแล้ว200,000 บาท โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดในราคารถยนต์ที่ยังขาดอยู่ คำฟ้องโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาพอที่จำเลยทั้งสองจะเข้าใจและต่อสู้คดีได้ถูกต้องฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์บรรยายฟ้องอ้างถึงข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาเช่าซื้ออันเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ กล่าวคือ จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อถือว่าสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดทันที จำเลยที่ 1 ต้องคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ตามสัญญาข้อ 10 แต่ปรากฏว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อถูกโจรภัยจำเลยที่ 1 จึงต้องชดใช้ราคารถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ตามสัญญาข้อ 6 โจทก์ได้รับชดใช้จากบริษัทที่รับประกันภัยแล้ว200,000 บาท โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดในราคารถยนต์ที่ยังขาดอยู่ คำฟ้องโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาพอที่จำเลยทั้งสองจะเข้าใจและต่อสู้คดีได้ถูกต้องฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2701/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับการชำระหนี้ตามคำพิพากษา: โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินก่อนชำระค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์โดยให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินที่เหลือแก่จำเลย หากจำเลยไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ก็ให้คืนเงินมัดจำกับค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนั้น ในการบังคับคดีจำเลยจึงต้องปฏิบัติการชำระหนี้ต่อโจทก์ตามลำดับของคำพิพากษา โดยจำเลยต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ก่อน จำเลยจะเลือกวิธีการคืนเงินมัดจำกับชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งที่จำเลยยังสามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้ โดยโจทก์ไม่ตกลงด้วยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2701/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษา ศาลมีอำนาจสั่งให้ถือคำพิพากษาแทนเจตนาจำเลยได้หากไม่ปฏิบัติตาม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์โดยให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินที่เหลือแก่จำเลย หากจำเลยไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ก็ให้คืนเงินมัดจำกับค่าเสียหายแก่โจทก์ดังนั้น ในการบังคับคดีจำเลยจึงต้องปฏิบัติการชำระหนี้ต่อโจทก์ตามลำดับของคำพิพากษา โดยจำเลยต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ก่อน จำเลยจะเลือกวิธีการคืนเงินมัดจำกับชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งที่จำเลยยังสามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้โดยโจทก์ไม่ตกลงด้วยหาได้ไม่ เมื่อศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาตามคำของโจทก์ซึ่งขอให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษา หากจำเลยไม่ปฏิบัติก็ให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที และให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาแล้วแต่จำเลยไม่ปฏิบัติ ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจที่จะสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยได้ เพราะเป็นคำสั่งเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีเพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นกรณีจึงมิใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นต้องมีคำสั่งในเวลาที่ออกคำบังคับด้วยว่า หากจำเลยไม่ยอมโอนที่ดินให้แก่โจทก์ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และมิใช่เป็นเรื่องแก้ไขเพิ่มเติมคำพิพากษา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2679/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าสินไหมทดแทนจากความล่าช้าบังคับคดี: ศาลต้องไต่สวนก่อนสั่งยกคำร้อง
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดวางเงินเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 288(1) นั้น เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องในคดีนั้นว่าเพราะเหตุเนิ่นช้าในการบังคับคดีอันเกิดแต่การยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ของผู้ร้องทำให้ขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดได้ราคาต่ำไป ขอให้บังคับผู้ร้องใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายของโจทก์ ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะต้องไต่สวนเสียก่อนว่าเป็นความจริงหรือไม่หากเป็นความจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำร้องและเงินที่วางไว้เป็นประกันดังกล่าวเพียงพอที่จะชำระค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ได้ตามคำร้อง โจทก์ก็ชอบที่จะบังคับชำระเอาค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายของโจทก์จากเงินประกันที่ผู้ร้องวางไว้ได้โดยไม่จำต้องไปฟ้องเรียกร้องเอาค่าเสียหายจากผู้ร้องเป็นคดีใหม่ต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2679/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการชำระค่าสินไหมทดแทนจากเงินประกัน กรณีความเสียหายจากการเนิ่นช้า
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดวางเงินเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไว้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 288 (1) นั้น เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องในคดีนั้นว่าเพราะเหตุเนิ่นช้าในการบังคับคดีอันเกิดแต่การยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ของผู้ร้องทำให้ขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดได้ราคาต่ำไป ขอให้บังคับผู้ร้องใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายของโจทก์ ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะต้องไต่สวนเสียก่อนว่าเป็นความจริงหรือไม่ หากเป็นความจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำร้องและเงินที่วางไว้เป็นประกันดังกล่าวเพียงพอที่จะชำระค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ได้ตามคำร้อง โจทก์ก็ชอบที่จะบังคับชำระเอาค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายของโจทก์จากเงินประกันที่ผู้ร้องวางไว้ได้โดยไม่จำต้องไปฟ้องเรียกร้องเอาค่าเสียหายจากผู้ร้องเป็นคดีใหม่ต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2645/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเช็คต้องระบุหนี้มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย มิฉะนั้นฟ้องไม่สมบูรณ์
ข้อความที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 วรรคแรก ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 ที่ว่า ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เป็นองค์ประกอบความผิด เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องมีสาระสำคัญเพียงว่าจำเลยได้บังอาจกระทำความผิด โดยออกเช็คสั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายโดยไม่มีคำบรรยายฟ้องตอนใดเลยที่มีข้อความพอที่จะให้ฟังได้ว่าการที่จำเลยออกเช็คนั้นก็เพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายดังที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว ถือได้ว่าโจทก์มิได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2455/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนกำหนดชำระหนี้และผลกระทบต่อการบอกเลิกสัญญาซื้อขายที่ดิน จำเลยต้องบอกกล่าวให้ชำระหนี้ก่อนบอกเลิกสัญญา
โจทก์และจำเลยได้ตกลงเลื่อนกำหนดวันจดทะเบียนโอนที่ดินตามสัญญาไปแล้วหลายครั้งหลายหน โดยต่างไม่ถือว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายผิดสัญญาแสดงให้เห็นว่าโจทก์และจำเลยมิได้ถือเอากำหนดเวลาตามสัญญาจะซื้อขายเป็นสาระสำคัญอีกต่อไป ดังนั้นจำเลยจะอ้างว่าโจทก์ไม่ชำระราคาที่ดินที่เหลือให้จำเลยตามกำหนดในสัญญา และถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา แล้วให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำในทันทีหาได้ไม่ จำเลยชอบที่จะต้องปฏิบัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 387 โดยกำหนดระยะเวลาพอสมควรแล้วบอกกล่าวให้โจทก์ชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือเสียก่อน เมื่อโจทก์ไม่ชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือภายในเวลาที่กำหนดไว้ จำเลยจึงจะเลิกสัญญาแก่โจทก์ได้ เมื่อจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามบทกฎหมายดังกล่าว จะถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหาได้ไม่ จำเลยยังไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์
เมื่อโจทก์มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือแจ้งให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ แต่จำเลยไม่ยอมรับหนังสือของทนายความโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยละเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามสัญญาให้โจทก์ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาโจทก์ชอบที่จะฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้
เมื่อโจทก์มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือแจ้งให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ แต่จำเลยไม่ยอมรับหนังสือของทนายความโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยละเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามสัญญาให้โจทก์ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาโจทก์ชอบที่จะฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2455/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดิน, การบอกเลิกสัญญา, การชำระหนี้, และการบังคับสัญญา การเลื่อนกำหนดชำระหนี้ไม่ถือเป็นการสละสิทธิ
โจทก์และจำเลยได้ตกลงเลื่อนกำหนดวันจดทะเบียนโอนที่ดินตามสัญญาไปแล้วหลายครั้งหลายหน โดยต่างไม่ถือว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายผิดสัญญา แสดงให้เห็นว่าโจทก์และจำเลยมิได้ถือเอากำหนดเวลาตามสัญญาจะซื้อขายเป็นสาระสำคัญอีกต่อไป ดังนั้นจำเลยจะอ้างว่าโจทก์ไม่ชำระราคาที่ดินที่เหลือให้จำเลยตามกำหนดในสัญญา และถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา แล้วให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำในทันทีหาได้ไม่ จำเลยชอบที่จะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 โดยกำหนดระยะเวลาพอสมควรแล้วบอกกล่าวให้โจทก์ชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือเสียก่อน เมื่อโจทก์ไม่ชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือภายในเวลาที่กำหนดไว้ จำเลยจึงจะเลิกสัญญาแก่โจทก์ได้ เมื่อจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามบทกฎหมายดังกล่าว จะถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหาได้ไม่ จำเลยยังไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ เมื่อโจทก์มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือแจ้งให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ แต่จำเลยไม่ยอมรับหนังสือของทนายความโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยละเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามสัญญาให้โจทก์ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาโจทก์ชอบที่จะฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้