คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อธิราช มณีภาค

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 542 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6694/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร: การกระทำอนาจารและการพากลับที่พักค้างคืนถือเป็นความผิด
จำเลยกับ พ. ได้พา ม. ผู้เยาว์อายุ 16 ปีเศษ และ ว. เพื่อนผู้เยาว์ไปที่บ้านส. ผู้เยาว์ขอให้จำเลยไปส่งผู้เยาว์ไปที่บ้าน ว. จำเลยไม่ยอมแต่กลับพาผู้เยาว์ไปที่บ้านพี่สาวของ พ. และให้ผู้เยาว์นอนค้างคืนที่บ้านพี่สาว พ. โดยจำเลยให้ผู้เยาว์นอนเตียงเดียวกับจำเลยตลอดทั้งคืน โดยจำเลยต้องการนอนกับผู้เยาว์ตามลำพังการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำอันไม่สมควรในทางเพศและเป็นการพรากผู้เยาว์ไปจากผู้ปกครองและดูแลเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6694/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารและการกระทำอนาจารต่อเด็ก
จำเลยกับ พ.ได้พา ม.ผู้เยาว์อายุ 16 ปีเศษ และ ว.เพื่อนผู้เยาว์ไปที่บ้าน ส. ผู้เยาว์ขอให้จำเลยไปส่งผู้เยาว์ไปที่บ้าน ว. จำเลยไม่ยอมแต่กลับพาผู้เยาว์ไปที่บ้านพี่สาวของ พ.และให้ผู้เยาว์นอนค้างคืนที่บ้านพี่สาว พ.โดยจำเลยให้ผู้เยาว์นอนเตียงเดียวกับจำเลยตลอดทั้งคืน โดยจำเลยต้องการนอนกับผู้เยาว์ตามลำพัง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำอันไม่สมควรในทางเพศและเป็นการพรากผู้เยาว์ไปจากผู้ปกครองและดูแลเพื่อการอนาจารตาม ป.อ.มาตรา319 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6571/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คดีเยาวชนและครอบครัว: การจำกัดสิทธิอุทธรณ์เฉพาะการเปลี่ยนโทษเป็นสถานพินิจ และข้อยกเว้นการห้ามอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง
คดีที่ศาลเยาวชนและครอบครัวได้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้ใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534มาตรา 104(2) โดยให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมยังสถานพินิจ ฯลฯ นั้น จะต้องห้ามอุทธรณ์แต่เฉพาะกรณีที่อุทธรณ์เกี่ยวกับการที่ศาลใช้ดุลพินิจเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นการส่งตัวไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรมยังสถานพินิจเท่านั้นมิได้ห้ามจำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้กระทำการอันกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด ฉะนั้น จำเลยทั้งสองจะอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวได้หรือไม่จึงต้องพิจารณาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอย่างคดีธรรมดาซึ่งเมื่อนำพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 6มาประกอบแล้วก็คือบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่บัญญัติไว้ในมาตรา 193 ทวิ ซึ่งห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง ในคดีซึ่งอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277วรรคสอง และวรรคสาม ซึ่งอัตราโทษตามมาตรา 277 วรรคสองระวางโทษจำคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นสี่พันบาทถึงสี่หมื่นบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต และตามมาตรา 277 วรรคสามระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต อันเป็นอัตราโทษสูงกว่าที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ จำเลยจึงอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้กระทำการอันกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดได้ไม่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 121

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6404/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ด้วยการวางทรัพย์และการถอนการบังคับคดี การชำระหนี้ครบถ้วนสมบูรณ์ย่อมยุติการบังคับคดี
คำบังคับที่ให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ภายใน 30 วัน เป็นกำหนดเวลาที่ให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ชำระหนี้เอง หากไม่ชำระหนี้ภายในกำหนด โจทก์ย่อมร้องขอให้ใช้วิธีการบังคับยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสองได้ และแม้จำเลยไม่ชำระหนี้จนพ้นกำหนดตามคำบังคับและ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้เข้ายึดทรัพย์สินแล้วก็ไม่ปิดทางให้จำเลยทั้งสองยอมชำระหนี้ด้วยความสมัครใจ การที่จำเลยที่ 1ยอมส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อต่อเจ้าพนักงานวางทรัพย์ ย่อมเป็นประโยชน์แก่โจทก์ที่ไม่ต้องดำเนินการบังคับคดีต่อไป ไม่มีเหตุที่โจทก์จะปฏิเสธการรับรถยนต์ ผลคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้สองรายการ คือ คืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ชดใช้ ราคากับจำเลยทั้งสองต้องชำระค่าเสียหายจำนวนหนึ่งการบังคับคดีโจทก์ต้องนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อเป็นอันดับแรก และยึดทรัพย์สินอื่นเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้เงินตามรายการหลัง โจทก์ไม่ได้นำยึดรถยนต์เพียงแต่นำยึดที่ดินเพื่อหวังขายทอดตลาดชำระหนี้เงิน ต่อมาจำเลยที่ 1นำรถยนต์ไปคืนให้โจทก์โดยวางต่อเจ้าพนักงานวางทรัพย์ ถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้รถยนต์แล้ว ข้อที่ว่าหากคืนไม่ได้ให้ชดใช้ราคาจึงไม่เกิดขึ้น เมื่อจำเลยที่ 1 นำรถยนต์ที่เช่าซื้อและค่าเสียหายพร้อมค่าธรรมเนียมไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์กลางแม้เป็นการชำระหนี้หลังจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดี ก็ไม่มีเหตุที่จะขายทอดตลาดทรัพย์ต่อไปอีก เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งถอนการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295(1) ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6152/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ยักยอกทรัพย์-รับของโจร: การถอนฟ้องคดีอาญาไม่กระทบความผิดฐานรับของโจร
ช.เช่ารถยนต์ของผู้เสียหายไปขับแล้วไม่ส่งคืนโดยเจตนาจะนำไปขาย เป็นความผิดฐานยักยอก ต่อมาผู้เสียหายขอถอนคำร้องทุกข์ ช.ฐานยักยอกทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้อง ช.ย่อมระงับไป ส่วนความผิดฐานยักยอกยังคงอยู่จำเลยรับรถยนต์ไว้โดยรู้อยู่ว่าเป็นของร้าย มีความผิดฐานรับของโจร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6134/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินราคาทรัพย์สินในการบังคับคดีและการร้องขอแยกขายทรัพย์ ศาลไม่อาจสั่งให้ประเมินราคาใหม่หรือแยกขายทรัพย์ได้หากมิได้ร้องต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีก่อน
เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้วทำบัญชีรายละเอียดแสดงทรัพย์สินที่ยึดไว้พร้อมทั้งประเมินราคาทรัพย์สินด้วยนั้น การประเมินราคาทรัพย์สินนี้เป็นเพียงการประมาณราคาตามความเห็นของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงอาจไม่ตรงกับราคาที่แท้จริง และไม่มีหลักเกณฑ์ ใดผูกมัดผู้ที่มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี ว่าเมื่อขายทอดตลาดแล้วจะต้องให้เป็นไปตามราคาที่ประเมินไว้จึงยังไม่เกิดข้อโต้แย้งสิทธิของจำเลยที่จะร้องขอต่อศาลให้ประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดมานั้นใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง จำเลยจึงไม่อาจยื่นคำร้อง ต่อศาลเพื่อคัดค้านการประเมินราคาของเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้โดยจะใช้วิธีแยกขายทีละสิ่ง แยกขายเป็นตอน ๆ หรือวิธีขายตามลำดับของทรัพย์สินเป็นวิธีการของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะทำการขายทอดตลาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 เมื่อจำเลยประสงค์จะให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์สินโดยวิธีแยกขายทีละสิ่ง จำเลยอาจร้องขอต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีก่อน หากเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ยอมปฏิบัติตามคำร้องขอจำเลยจึงจะเกิดสิทธิที่จะร้องขอต่อศาลได้ตามนัยแห่งมาตรา 309 วรรค 2 เมื่อจำเลยมิได้ร้องขอหรือคัดค้านต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อขอแยกทรัพย์ขาย จึงยังไม่เกิดสิทธิที่จำเลยจะร้องขอต่อศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6134/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินราคาทรัพย์สินบังคับคดีและการร้องขอแยกขายทรัพย์สิน เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิร้องขอให้เป็นไปตามราคาประเมิน
เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้วทำบัญชีรายละเอียดแสดงทรัพย์สินที่ยึดไว้พร้อมทั้งประเมินราคาทรัพย์สินด้วยนั้นการประเมินราคาทรัพย์สินนี้เป็นเพียงการประมาณราคาตามความเห็นของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงอาจไม่ตรงกับราคาที่แท้จริง และไม่มีหลักเกณฑ์ใดผูกมัดผู้ที่มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีว่าเมื่อขายทอดตลาดแล้วจะต้องให้เป็นไปตามราคาที่ประเมินไว้จึงยังไม่เกิดข้อโต้แย้งสิทธิของจำเลยที่จะร้องขอต่อศาลให้ประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดมานั้นใหม่ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 296 วรรคสอง จำเลยจึงไม่อาจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อคัดค้านการประเมินราคาของเจ้าพนักงานบังคับคดีได้
การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้โดยจะใช้วิธีแยกขายทีละสิ่ง แยกขายเป็นตอน ๆ หรือวิธีขายตามลำดับของทรัพย์สินเป็นวิธีการของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะทำการขายทอดตลาดตาม ป.วิ.พ.มาตรา309 เมื่อจำเลยประสงค์จะให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์สินโดยวิธีแยกขายทีละสิ่ง จำเลยอาจร้องขอต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีก่อน หากเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ยอมปฏิบัติตามคำร้องขอ จำเลยจึงจะเกิดสิทธิที่จะร้องขอต่อศาลได้ตามนัยแห่งมาตรา 309 วรรค 2 เมื่อจำเลยมิได้ร้องขอหรือคัดค้านต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อขอแยกทรัพย์ขาย จึงยังไม่เกิดสิทธิที่จำเลยจะร้องขอต่อศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6118/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลฎีกาแก้โทษคดีรับของโจรของจำเลยเยาวชน โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานและโทษที่ศาลชั้นต้นกำหนด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียว ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แม้ว่าโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ แต่เมื่อในทางพิจารณารับฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานรับของโจรแล้ว ศาลฎีกาก็ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสาม แม้ศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำคุกจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษกับคดีนี้ต่ำกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้ จำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียวโดยโจทก์มิได้อุทธรณ์ก็ตาม การที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจร ดังนี้ ศาลฎีกาจะเพิ่มเติมโทษจำเลยเกินกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ดังกล่าวไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6118/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลฎีกาลงโทษฐานรับของโจรได้แม้โจทก์ฎีกาขอลงโทษฐานลักทรัพย์ และจำกัดโทษตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ จำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียว ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แม้ว่าโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ แต่เมื่อในทางพิจารณารับฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานรับของโจรแล้วศาลฎีกาก็ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคสาม
แม้ศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำคุกจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษกับคดีนี้ต่ำกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้ จำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียวโดยโจทก์มิได้อุทธรณ์ก็ตาม การที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจร ดังนี้ ศาลฎีกาจะเพิ่มเติมโทษจำเลยเกินกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ดังกล่าวไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6079/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองและการเสพเป็นความผิดสองกรรม แม้ใช้เฮโรอีนจำนวนเดียวกัน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีเฮโรอีนจำนวน 1 หลอดฉีดยาไว้ในครอบครอง และจำเลยได้เสพเฮโรอีนจำนวนดังกล่าวนั้นโดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันจึงเป็นกรณีที่โจทก์ ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องย่อมหมายความว่ารับว่าได้กระทำความผิดทั้งสองกรรมซึ่งเป็นความผิดต่างฐานกันตามฟ้อง แม้เฮโรอีนที่มีและใช้เสพเป็นจำนวนเดียวกันก็ถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดสองกรรม หาใช่เป็นกรรมเดียวไม่
of 55