คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อธิราช มณีภาค

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 542 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1610/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปรับบทฐานความผิดจากใช้ให้ผู้อื่นลักทรัพย์เป็นรับของโจร ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐาน ลักทรัพย์หรือ รับของโจรศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานลักทรัพย์ยกฟ้องฐานรับของโจรจำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ฎีกาศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานลักทรัพย์แต่การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานรับของโจรดังนี้แม้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาจะต่างกันระหว่างการกระทำผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจรก็ไม่ถือว่าต่างกันในสาระสำคัญและจำเลยก็มิได้หลงต่อสู้ทั้งข้อเท็จจริงดังกล่าวศาลล่างทั้งสองก็ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วเพียงแต่ปรับบทฐานความผิดต่างกันเท่านั้นศาลฎีกาย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐาน รับของโจรตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสามไม่ถือว่าพิพากษาเกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1610/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รับของโจร: ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษฐานรับของโจร แม้ศาลล่างจะปรับบทจากความผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ยกฟ้องฐานรับของโจรจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกาศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานลักทรัพย์แต่การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานรับของโจร ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาจะต่างกันระหว่างการกระทำผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจรก็ไม่ถือว่าต่างกันในสาระสำคัญและจำเลยก็มิได้หลงต่อสู้ ทั้งข้อเท็จจริงดังกล่าวศาลล่างทั้งสองก็ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วเพียงแต่ปรับบทฐานความผิดต่างกันเท่านั้น ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1443/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อขายโมฆียะจากความสำคัญผิดในคุณสมบัติทรัพย์ และการบอกล้างสัญญาพร้อมคืนเงินมัดจำ
ขณะทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายโจทก์ไม่รู้ว่ามีคำสั่งห้ามโอนที่พิพาทการแสดงเจตนาเข้าทำสัญญาของโจทก์จึงเกิดจากการสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ที่จะซื้อซึ่งเป็นสาระสำคัญสัญญาจะซื้อขายจึงเป็นโมฆียะโจทก์มีสิทธิบอกล้างได้เมื่อโจทก์ใช้สิทธิบอกล้างโดยบอกเลิกสัญญาแล้ว สัญญาจะซื้อขายจึงตกเป็น โมฆะต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมจำเลยต้องคืน เงินมัดจำให้โจทก์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้วเมื่อจำเลยฎีกาว่าโจทก์ยังไม่ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาย่อมเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานของศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกามีเพียง60,000บาทย่อมต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1233/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิที่ดินในโครงการจัดรูปที่ดิน: สัญญาจะซื้อขายที่มีเงื่อนไขการอนุญาตจากราชการมีผลสมบูรณ์
พ.ร.บ.จัดรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม พ.ศ.2517 มาตรา 44มิได้ห้ามเด็ดขาดไม่ให้เจ้าของที่ดินหรือผู้ที่ได้รับสิทธิในที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดินโอนสิทธิในที่ดินนั้นให้แก่ผู้อื่น เจ้าของที่ดินหรือผู้ที่ได้รับสิทธิในที่ดินยังอยู่ในวิสัยที่จะโอนสิทธิในที่ดินภายในกำหนดเวลาห้ามโอนให้แก่ผู้อื่นได้หากได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลาง ดังนั้น สัญญาจะซื้อขายที่ดินซึ่งโจทก์ได้ตกลงกับจำเลยว่า โจทก์จะโอนที่ดินให้แก่จำเลยเมื่อได้รับอนุญาตจากทางราชการจึงไม่ใช่สัญญาที่กระทำลงโดยมีวัตถุประสงค์ที่ขัดต่อกฎหมาย สัญญาดังกล่าวมีผลสมบูรณ์บังคับกันได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1233/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อขายที่ดินในเขตจัดรูปที่ดินไม่ขัดกฎหมาย หากมีเงื่อนไขรอการอนุญาตจากราชการ
พระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมพ.ศ.2517มาตรา44มิได้ห้ามเด็ดขาดไม่ให้เจ้าของที่ดินหรือผู้ที่ได้รับสิทธิในที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดินโอนสิทธิในที่ดินนั้นให้แก่ผู้อื่นเจ้าของที่ดินหรือผู้ที่ได้รับสิทธิในที่ดินยังอยู่ในวิสัยที่จะโอนสิทธิในที่ดินภายในกำหนดเวลาห้ามโอนให้แก่ผู้อื่นได้หากได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางดังนั้นสัญญาจะซื้อขายที่ดินซึ่งโจทก์ได้ตกลงกับจำเลยว่าโจทก์จะโอนที่ดินให้แก่จำเลยเมื่อได้รับอนุญาตจากทางราชการจึงไม่ใช่สัญญาที่กระทำลงโดยมีวัตถุประสงค์ที่ขัดต่อกฎหมายสัญญาดังกล่าวมีผลสมบูรณ์บังคับกันได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1233/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อขายที่ดินภายใต้กฎหมายจัดรูปที่ดิน: สัญญาไม่ขัดกฎหมายหากรอรับอนุญาตโอนได้
เมื่อพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมพ.ศ.2517มาตรา44มิได้ห้ามเด็ดขาดไม่ให้เจ้าของที่ดินหรือผู้ที่ได้รับสิทธิในที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดินโอนสิทธิในที่ดินนั้นให้แก่ผู้อื่นเจ้าของที่ดินหรือผู้ที่ได้รับสิทธิในที่ดินยังอยู่ในวิสัยที่จะโอนสิทธิในที่ดินภายในกำหนดเวลาห้ามโอนให้แก่ผู้อื่นได้หากได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางดังนั้นสัญญาจะซื้อขายที่ดินซึ่งโจทก์ได้ตกลงกับจำเลยว่าโจทก์จะโอนที่ดินให้แก่จำเลยเมื่อได้รับอนุญาตจากทางราชการจึงไม่ใช่สัญญาที่กระทำลงโดยมีวัตถุประสงค์ที่ขัดต่อกฎหมายสัญญาดังกล่าวมีผลสมบูรณ์บังคับกันได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 925/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้น และการฟ้องแย้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิม
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของจำเลยที่ให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 226 จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว
คดีนี้สภาพแห่งข้อหาของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาจำนองที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลย แต่ฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนที่ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยกับบริษัท ด. และสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลย กับ ร.และ ก. เป็นเรื่องที่จำเลยกล่าวอ้างขึ้นมาใหม่ ไม่เกี่ยวกับสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาจำนองที่ดินตามฟ้อง ทั้งเป็นคำฟ้องแย้งที่มีคำขอบังคับต่อบุคคลภายนอก จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม จึงรับฟ้องแย้งในส่วนนี้ของจำเลยไว้พิจารณาในคดีนี้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 925/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่โต้แย้งคำสั่งศาลระหว่างพิจารณาทำให้เสียสิทธิอุทธรณ์ และการจำกัดขอบเขตฟ้องแย้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อหาเดิม
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของจำเลยที่ให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา226จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว คดีนี้สภาพแห่งข้อหาของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาจำนองที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยแต่ฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนที่ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยกับบริษัทด. และสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยกับร. และก. เป็นเรื่องที่จำเลยกล่าวอ้างขึ้นมาใหม่ไม่เกี่ยวกับสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาจำนองที่ดินตามฟ้องทั้งเป็นคำฟ้องแย้งที่มีคำขอบังคับต่อบุคคลภายนอกจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมจึงรับฟ้องแย้งในส่วนนี้ของจำเลยไว้พิจารณาในคดีนี้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 850/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานในคดีข่มขืน - เชื่อได้ว่าจำเลยกระทำผิดแม้ผู้เสียหายไม่เบิกความ
แม้โจทก์ไม่ได้ผู้เสียหายและนางสาว ล. มาเบิกความเป็นพยานแต่โจทก์มีสิบตำรวจโท ค. กับร้อยตำรวจเอก ส. พยานโจทก์มาเบิกความประกอบบันทึกคำให้การของผู้เสียหายและนางสาว ล.ที่ร้อยตำรวจเอก ส. พนักงานสอบสวนบันทึกและเบิกความรับรองไว้เชื่อว่าเป็นความจริงเพราะหากไม่เป็นความจริงแล้วผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กสาวย่อมละอายต่อการถูกข่มขืนคงไม่กล้าให้การต่อพนักงานสอบสวนเช่นนั้นเมื่อนำบันทึกคำให้การดังกล่าวมาประกอบคำเบิกความของสิบตำรวจโท ค. กับร้อยตำรวจเอก ส. ว่าชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพแล้วเชื่อว่าจำเลยได้ร่วมกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 664/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งคำบังคับไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากภูมิลำเนาจำเลยไม่ตรงตามที่ระบุในฟ้อง ทำให้จำเลยมีสิทธิขอพิจารณาใหม่ได้
จำเลยมิได้มีภูมิลำเนาที่บ้านเลขที่ตามฟ้อง แต่ในชั้นส่งคำบังคับได้กระทำโดยวิธีปิดคำบังคับที่บ้านเลขที่ตามฟ้องโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านดังกล่าว การส่งคำบังคับให้จำเลยจึงไม่ชอบ เมื่อไม่มีการส่งคำบังคับโดยชอบเช่นนี้ จำเลยย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่เมื่อใดก็ได้ไม่อยู่ในบังคับตามมาตรา 208 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
of 55