คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 335

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 565 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์สำเร็จเมื่อเคลื่อนย้ายสิ่งของออกจากที่เก็บ การรับซื้อของที่ได้มาจากการลักทรัพย์เป็นความผิดฐานรับของโจร
ลูกจ้างประจำรถบรรทุกเอาถุงพลาสติกผงออกจากที่เก็บในรถส่งให้จำเลยรับท้ายรถเพื่อขายให้จำเลย ต้องถือว่าลูกจ้างได้เอาไปแล้วซึ่งพลาสติกนั้นความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จตั้งแต่ลูกจ้างยกถุงพลาสติกออกจากที่เก็บแล้วจำเลยรับซื้อพลาสติกนี้ไว้โดยรู้ว่าเป็นพลาสติกที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1657/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาลักทรัพย์ ปืนของผู้เสียหาย การต่อสู้ขัดขวางการจับกุม และการส่งต่อปืนให้บิดา ไม่ถือว่ามีความผิดฐานลักทรัพย์
ผู้เสียหายเป็นนายตรวจสรรพสามิต จับจำเลยที่ 2 ในข้อหามีสุราผิดกฎหมายขณะหาไปจวนถึงหน้าร้านจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ล้วงปืนพกของผู้เสียหายด้วยเจตนาต่อสู้ขัดขวางการจับกุม มิได้มีเจตนาลัก แล้ววิ่งหนีไปส่งปืนให้จำเลยที่ 1 ผู้เป็นบิดา เป็นเวลากระทันหันในทันทีทันใด ไม่มีพฤติการณ์ให้รู้มาก่อนว่าจำเลยที่ 2 ถูกจับแล้วหนีมา ผู้เสียหายไม่แต่งเครื่องแบบ ทั้งไม่ได้แจ้งให้ทราบว่าปืนนั้นเป็นของตน การที่ผู้เสียหายเข้าแย่งปืนจำเลยที่ 1 ไม่ยอมให้นั้นน่าจะเพื่อมิให้เกิดเหตุร้ายเท่านั้น การที่จำเลยเอาปืนไว้ภายหลังจากที่ผู้เสียหายไปแจ้งความ ไม่พอถือว่ามีเจตนาทุจริตลักเอาปืนนั้นไว้ แม้ต่อมาภายหลังจำเลยจะต่อสู้คดีว่ามิได้เอาปืนไว้และผู้เสียหายยังไม่ได้ปืนคืน ก็ไม่พอบ่งว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต จำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ แต่ศาลมีอำนาจสั่งให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาปืนแก่ผู้เสียหายได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1657/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาลักทรัพย์ ปืนของผู้เสียหาย การต่อสู้ขัดขวางการจับกุม ศาลยกฟ้องจำเลยที่ 1
ผู้เสียหายเป็นนายตรวจสรรพสามิต จับจำเลยที่ 2 ในข้อหามีสุราผิดกฎหมาย ขณะพาไปจวนถึงหน้าร้านจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ล้วงปืนพกของผู้เสียหายด้วยเจตนาต่อสู้ขัดขวางการจับกุม มิได้มีเจตนาลัก แล้ววิ่งหนีไปส่งปืนให้จำเลยที่ 1 ผู้เป็นบิดา เป็นเวลากระทันหันในทันทีทันใดไม่มีพฤติการณ์ให้รู้มาก่อนว่าจำเลยที่ 2 ถูกจับแล้วหนีมา ผู้เสียหายไม่แต่งเครื่องแบบ ทั้งไม่ได้แจ้งให้ทราบว่าปืนนั้นเป็นของตน การที่ผู้เสียหายเข้าแย่งปืนจำเลยที่ 1 ไม่ยอมให้นั้นน่าจะเพื่อมิให้เกิดเหตุร้ายเท่านั้น การที่จำเลยเอาปืนไว้ภายหลังจากที่ผู้เสียหายไปแจ้งความ ไม่พอถือว่ามีเจตนาทุจริตลักเอาปืนนั้นไว้ แม้ต่อมาภายหลังจำเลยจะต่อสู้คดีว่ามิได้เอาปืนไว้และผู้เสียหายยังไม่ได้ปืนคืน ก็ไม่พอบ่งว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต จำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ แต่ศาลมีอำนาจสั่งให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาปืนแก่ผู้เสียหายได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 185/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน และยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นกระทำผิด
จำเลยร้องบอกให้ อ.ยิงผู้เสียหาย และร่วมกับ อ.ยิงผู้เสียหาย โดยเข้าไปดึงพานท้ายปืนของผู้เสียหาย เพื่อไม่ให้ผู้เสียหายใช้อาวุธปืนทำการป้องกันตัว โดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจกระทำการตามหน้าที่ แต่ผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย เพราะได้รับการรักษาทันท่วงที ดังนี้ จำเลยมีความผิดฐานยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ และเป็นตัวการร่วมกับผู้อื่นพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ความผิดฐานยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ จึงเกลื่อนกลืนเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวกับความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกับผู้อื่นพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ศาลฎีกาลงโทษจำเลยฐานเป็นตัวการร่วมกับผู้อื่นพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่แต่เพียงบทเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2724/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำรับสารภาพชั้นสอบสวนนำมาลงโทษจำเลยไม่ได้ หากจำเลยปฏิเสธในชั้นศาล และพยานหลักฐานในชั้นศาลไม่เพียงพอ
เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ในชั้นศาลฟังลงโทษจำเลยไม่ได้ ลำพังแต่คำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยซึ่งจำเลยทุกคนต่างปฏิเสธในชั้นพิจารณา ไม่อาจนำมาฟังลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2724/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำรับสารภาพชั้นสอบสวนไม่อาจใช้ลงโทษจำเลยได้หากจำเลยปฏิเสธในชั้นศาล และพยานหลักฐานในชั้นศาลไม่เพียงพอ
เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ในชั้นศาลฟังลงโทษจำเลยไม่ได้ลำพังแต่คำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยซึ่งจำเลยทุกคนต่างปฏิเสธในขั้นพิจารณา ไม่อาจนำมาฟังลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2610/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมอบทรัพย์สินเพื่อดูแลรักษา ไม่ถือเป็นการครอบครองแทนเจ้าของ หากนำไปให้ผู้อื่นเป็นการยักยอกทรัพย์
ผู้เสียหายได้มอบกระบือและรถจักรยาน 2 ล้อ ให้จำเลยเป็นผู้ควบคุมดูแลรักษาโดยเก็บรักษาไว้ที่นาเพื่อใช้ทำนาและไร่ ตามพฤติการณ์ดังกล่าวผู้เสียหายได้มอบหมายให้จำเลยยึดถือครอบครองทรัพย์นั้นแทนผู้เสียหาย การยึดถือครอบครองทรัพย์จึงอยู่ที่จำเลย หาใช่ยังอยู่ที่ผู้เสียหายไม่ เมื่อจำเลยเอาทรัพย์นั้นไปให้แก่บุคคลอื่น จึงมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ หาใช่ลักทรัพย์ตามฟ้องไม่ เมื่อกรณีเป็นเช่นนี้ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงตามฟ้องในข้อสาระสำคัญซึ่งโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลย จะลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1608/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดจากลักทรัพย์/รับของโจร เป็นยักยอกทรัพย์ เนื่องจากจำเลยเป็นผู้ดูแลศาสนสมบัติของวัด
พระพุทธรูปซึ่งเป็นศาสนสมบัติของวัด จึงอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มาตรา 37(1) จำเลยที่ 1 เบียดบังเอาพระพุทธรูปเป็นของตนหรือของจำเลยที่ 2 โดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานยักยอกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในการเบียดบังเอาพระพุทธรูป มีความผิดเกี่ยวกับการยักยอกด้วย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานยักยอก จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 กระทำความผิดเกี่ยวกับการยักยอกด้วย ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ศาลต้องยกฟ้อง ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 และการยกฟ้องนี้เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ยกฟ้องไปถึงจำเลยที่ 1 และที่ 3 ที่มิได้ฎีกาด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1608/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดจากลักทรัพย์/รับของโจรเป็นยักยอก เนื่องจากผู้ดูแลรักษาคือเจ้าอาวาส และการกระทำเข้าข่ายยักยอกทรัพย์
พระพุทธรูปซึ่งเป็นศาสนสมบัติของวัด จึงอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มาตรา 37(1) จำเลยที่ 1 เบียดบังเอาพระพุทธรูปเป็นของตนหรือของจำเลยที่ 2 โดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานยักยอกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในการเบียดบังเอาพระพุทธรูป มีความผิดเกี่ยวกับการยักยอกด้วย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานยักยอกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 กระทำความผิดเกี่ยวกับการยักยอกด้วยข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ศาลต้องยกฟ้อง ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192และการยกฟ้องนี้เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ยกฟ้องไปถึงจำเลยที่ 1 และที่ 3 ที่มิได้ฎีกาด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1465/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยายามปล้นทรัพย์: การขึงลวดดักรถ ถือเป็นการลงมือกระทำความผิดแล้ว แม้ไม่สำเร็จ
จำเลยกับพวกอีก 2 คนใช้เส้นลวดกลมขนาด 1 หุน จำนวน 3 เส้น ยาวเส้นละ 16 เมตร ทำเป็นเกลียวเส้นเดียว ขึงกั้นสะพานบนถนน โดยใช้เส้นลวดผูกติดกับราวสะพานทั้งสองข้างเป็นแนวเฉียง ดักรถที่ผ่านมามาชนเพื่อเอาทรัพย์สิน ผู้เสียหายซึ่งมีเงินติดตัวมาด้วยกับพวกขับรถยนต์ผ่านมา และเห็นเส้นลวดดังกล่าวจึงหยุดรถได้ทันในระยะห่างราว 3 วา แล้วลงไปดูที่ใต้สะพาน พบจำเลยถือปลายลวดข้างหนึ่งจึงจับตัวไว้ ดังนี้ การกระทำของจำเลยกับพวกมิใช่เป็นชั้นตระเตรียม เป็นการลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอด ถือได้ว่าจำเลยพยายามกระทำความผิดและเป็นการพยายามกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2519)
of 57