พบผลลัพธ์ทั้งหมด 565 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2399/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์ที่ขาดตอนไปแล้ว ไม่ถึงขั้นชิงทรัพย์ เพราะการขู่เกิดขึ้นภายหลัง
จำเลยลักไก่ 4 ตัวไปจากบ้านผู้เสียหาย ผู้เสียหายชวนเพื่อนบ้านออกติดตามไป 1 ชั่วโมงเศษ ถึงกระท่อมนาซึ่งอยู่ห่างบ้านผู้เสียหายประมาณ 100 เส้น คนละหมู่บ้านกัน พบเข่งไก่กับไก่ 4 ตัวอยู่ในกระท่อม จำเลยนั่งอยู่ใกล้เข่งไก่ ผู้เสียหายเข้าไปถามจำเลย จำเลยลุกขึ้นยืนถือเหล็กแหลมจ้องมาทางผู้เสียหายกับพวก ผู้เสียหายกับพวกจึงช่วยกันจับจำเลยไว้ ดังนี้ เมื่อจำเลยถือเหล็กแหลมจ้องขู่ผู้เสียหายนั้น การลักทรัพย์ของจำเลยขาดตอนไปแล้ว ไม่ใช่อยู่ในระหว่างพาทรัพย์ไป การขู่จะทำร้ายเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นภายหลัง มิได้ต่อเนื่องในการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2354/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลักทรัพย์ vs. ยักยอกทรัพย์: การเก็บทรัพย์ที่ตกหล่นและรู้เจ้าของเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
การที่ถุงกระดาษใส่เงินและทรัพย์มีค่าของผู้เสียหายตกอยู่บนทางในเวลากลางวัน ขณะผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์จะกลับบ้าน โดยผู้เสียหายไม่ทราบว่าตกตรงไหน แต่คาดหมายได้ว่าตกในระหว่างทางที่ผ่านมาซึ่งเป็นระยะทางประมาณ 3 เส้น ทันทีที่ผู้เสียหายรู้ตัวก็กลับรถไปตามหา และตามไปจนพบจุดที่ถุงกระดาษตก แต่ปรากฏว่าจำเลยเก็บไปเสียก่อนแล้วนั้น จำเลยย่อมรู้หรือควรรู้ว่าอยู่ในระหว่างเวลาที่เจ้าทรัพย์ติดตามหา การที่จำเลยเก็บเอาไปจึงเป็นการฉวยโอกาสเอาทรัพย์ไปจากการครอบครองของเจ้าทรัพย์ ก่อนที่เจ้าทรัพย์จะติดตามมาทัน เมื่อผู้เสียหายตามไปพบและขอคืน จำเลยก็ไม่ยอมคืน เป็นการแสดงเจตนาทุจริต การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ไม่ใช่ยักยอกทรัพย์สินหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2354/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฉวยโอกาสเก็บทรัพย์ที่ตกหล่นของผู้เสียหาย และการแสดงเจตนาทุจริตถือเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
การที่ถุงกระดาษใส่เงินและทรัพย์มีค่าของผู้เสียหายตกอยู่ระหว่างทางในเวลากลางวัน ขณะผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์จะกลับบ้าน โดยผู้เสียหายไม่ทราบว่าตกตรงไหน แต่คาดหมายได้ว่าตกในระหว่างทางที่ผ่านมาซึ่งเป็นระยะทางประมาณ 3 เส้น ทันทีที่ผู้เสียหายรู้ตัวก็รีบกลับรถไปตามหาและตามไปจนพบจุดที่ถุงกระดาษตก แต่ปรากฎว่าจำเลยเก็บไปเสียก่อนแล้วนั้น จำเลยย่อมรู้หรือควรรู้ว่าอยู่ในระหว่างเวลาที่เจ้าทรัพย์ติดตามหาการที่จำเลยเก็บเอาไป จึงเป็นการฉวยโอกาสเอาทรัพย์ไปจากการครอบครองของเจ้าทรัพย์ ก่อนที่เจ้าทรัพย์จะติดตามมาทัน เมื่อผู้เสียหายตามไปพบและขอคืน จำเลยก็ไม่ยอมคืน เป็นการแสดงเจตนาทุจริต การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ไม่ใช่ยักยอกทรัพย์สินหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1995/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องฐานลักทรัพย์/รับของโจร โดยมีการระบุทรัพย์สินผิดพลาดในฟ้อง หากจำเลยไม่หลงต่อสู้ ศาลลงโทษได้
ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันลักกำไลข้อมือเพชร แหวนเพชร 2 วง จี้เพชร และสร้อยคอทองคำ หรือรับของโจรแหวนเพชร โดยจำเลยนำแหวนเพชร 1 วงที่ถูกลักนั้นไปขาย ฟ้องดังนี้มิได้ยืนยันว่าจำเลยกระทำผิดทั้งสองฐาน แต่บรรยายข้อเท็จจริงที่ปรากฏให้ศาลวินิจฉัยลงโทษจำเลยฐานใดฐานหนึ่งเท่าที่ทางพิจารณาได้ความ ฟ้องโจทก์ไม่ชัดกันแต่อย่างใด
เมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจาณาปรากฏว่าทรัพย์ที่จำเลยเอาไปขายเป็นกำไลข้อมือเพชร หาใช่แหวนเพชรดังที่กล่าวในฟ้องไม่ ก็เป็นเรื่องโจทก์ระบุตัวทรัพย์ผิดพลาดเพราะโจทก์ได้ระบุด้วยว่าของกลางมีราคาเท่าใด ซึ่งเป็นราคาของกำไลข้อมือเพชร และว่าเป็นทรัพย์ชิ้นหนึ่งในบรรดาทรัพย์ที่หายไป ข้อแตกต่างในเรื่องตัวทรัพย์เพียงเท่านี้ยังไม่พอจะถือว่าเป็นข้อแตกต่างในข้อสาระสำคัญ และเมื่อจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยได้
(วรรคสอง วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 14/2518)
เมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจาณาปรากฏว่าทรัพย์ที่จำเลยเอาไปขายเป็นกำไลข้อมือเพชร หาใช่แหวนเพชรดังที่กล่าวในฟ้องไม่ ก็เป็นเรื่องโจทก์ระบุตัวทรัพย์ผิดพลาดเพราะโจทก์ได้ระบุด้วยว่าของกลางมีราคาเท่าใด ซึ่งเป็นราคาของกำไลข้อมือเพชร และว่าเป็นทรัพย์ชิ้นหนึ่งในบรรดาทรัพย์ที่หายไป ข้อแตกต่างในเรื่องตัวทรัพย์เพียงเท่านี้ยังไม่พอจะถือว่าเป็นข้อแตกต่างในข้อสาระสำคัญ และเมื่อจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยได้
(วรรคสอง วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 14/2518)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1995/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระบุตัวทรัพย์ผิดพลาดในฟ้องอาญา ไม่เป็นเหตุให้ฟ้องเสีย มิฉะนั้นศาลลงโทษจำเลยได้หากจำเลยไม่หลงต่อสู้
ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันลักกำไลข้อมือเพชร แหวนเพชร 2 วง จี้เพชรและสร้อยคอทองคำ หรือรับของโจรแหวนเพชร โดยจำเลยนำแหวนเพชร 1 วงที่ถูกลักนั้นไปขาย ฟ้องดังนี้มิได้ยืนยันว่าจำเลยกระทำผิดทั้งสองฐาน แต่บรรยายข้อเท็จจริงที่ปรากฏให้ศาลวินิจฉัยลงโทษจำเลยฐานใดฐานหนึ่งเท่าที่ทางพิจารณาได้ความ ฟ้องโจทก์ไม่ขัดกันแต่อย่างใด
เมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาปรากฏว่าทรัพย์ที่จำเลยเอาไปขายเป็นกำไลข้อมือเพชร หาใช่แหวนเพชรดังที่กล่าวในฟ้องไม่ ก็เป็นเรื่องโจทก์ระบุตัวทรัพย์ผิดพลาดเพราะโจทก์ได้ระบุด้วยว่าของกลางมีราคาเท่าใด ซึ่งเป็นราคาของกำไลข้อมือเพชร และว่าเป็นทรัพย์ชิ้นหนึ่งในบรรดาทรัพย์ที่หายไปข้อแตกต่างในเรื่องตัวทรัพย์เพียงเท่านี้ยังไม่พอจะถือว่าเป็นข้อแตกต่างในข้อสารสำคัญ และเมื่อจำเลยมิได้หลงต่อสู้ศาลย่อมลงโทษจำเลยได้ (วรรคสอง วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14/2518)
เมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาปรากฏว่าทรัพย์ที่จำเลยเอาไปขายเป็นกำไลข้อมือเพชร หาใช่แหวนเพชรดังที่กล่าวในฟ้องไม่ ก็เป็นเรื่องโจทก์ระบุตัวทรัพย์ผิดพลาดเพราะโจทก์ได้ระบุด้วยว่าของกลางมีราคาเท่าใด ซึ่งเป็นราคาของกำไลข้อมือเพชร และว่าเป็นทรัพย์ชิ้นหนึ่งในบรรดาทรัพย์ที่หายไปข้อแตกต่างในเรื่องตัวทรัพย์เพียงเท่านี้ยังไม่พอจะถือว่าเป็นข้อแตกต่างในข้อสารสำคัญ และเมื่อจำเลยมิได้หลงต่อสู้ศาลย่อมลงโทษจำเลยได้ (วรรคสอง วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14/2518)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1571/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องคดีลักทรัพย์โดยไม่ระบุคำว่า 'ลัก' หรือ 'โดยทุจริต' ยังไม่ทำให้ฟ้องเสีย หากเนื้อหาบ่งชี้เจตนาทุจริต
บรรยายฟ้องคดีลักทรัพย์ว่า จำเลยได้บังอาจร่วมกับ ม.ใช้ค้อนงัดเอาคิ้วทองเหลืองของพื้นตึกของผู้เสียหายไป แม้จะมิได้ระบุคำว่า "ลัก" และคำว่า "โดยทุจริต" ก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์เสียไป เพราะบรรยายไม่ครบองค์ประกอบความผิด เพราะคำว่า"บังอาจ" กับคำว่า"เอาไป" ประกอบกันก็บ่งอยู่แล้วว่ากระทำโดยทุจริตอยู่ในตัว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1556/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สนับสนุนการลักทรัพย์: การกระทำที่แสดงเจตนาช่วยเหลือผู้กระทำผิด และมีส่วนร่วมในการขนย้ายทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิด
จำเลยที่ 3 จ้างให้จำเลยที่ 2 พาไปหารถมาบรรทุกไม้ จำเลยที่ 2 พาจำเลยที่ 3 ไปติดต่อกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกไปจอดรออยู่ที่หลังสถานีรถไฟ จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ให้จำเลยที่ 3 นั่งซ้อนท้ายไปจอดอยู่ใกล้กับรถบรรทุก ขณะนั้นมีไม้กระดานของผู้เสียหายซึ่งได้ฝากเก็บไว้ใต้ถุนบ้านพักคนงานรถไฟถูกลักจากที่เก็บมากองไว้บริเวณนั้นจำนวนหนึ่งแล้ว จำเลยที่ 3 บอกว่าจะเข้าไปขนไม้มาอีก จำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็รู้อยู่แล้วว่า จำเลยที่ 3 กำลังเข้าไปลักไม้ที่เหลือออกมาอีก จำเลยที่ 2 จึงไปรออยู่ที่ชานชาลาสถานีรถไฟ ส่วนจำเลยที่ 1 อยู่ที่รถบรรทุก เมื่อได้ไม้ตามจำนวนที่ต้องการแล้วจะได้ขนไม้ทั้งหมดขึ้นบรรทุกรถพาหนีไป แต่ตำรวจมาตรวจพบและจับกุมเสียก่อน การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดังนี้ ถือได้ว่าได้ส่งเสริมอันเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 3 กระทำการลักทรัพย์ จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดของจำเลยที่ 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1556/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนการลักทรัพย์: จำเลยรู้เห็นและช่วยเหลือการกระทำผิดของผู้ร่วมกระทำ
จำเลยที่ 3 จ้างให้จำเลยที่ 2 พาไปหารถมาบรรทุกไม้ จำเลยที่ 2 พาจำเลยที่ 3 ไปติดต่อกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกไปจอดรออยู่ที่หลังสถานีรถไฟ จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ให้จำเลยที่ 3 นั่งซ้อนท้ายไปจอดอยู่ใกล้กับรถบรรทุก ขณะนั้นมีไม้กระดานของผู้เสียหาย ซึ่งได้ฝากเก็บไว้ใต้ถุนบ้านพักคนงานรถไฟถูกลักจากที่เก็บมากองไว้ บริเวณนั้นจำนวนหนึ่งแล้ว จำเลยที่ 3 บอกว่าจะเข้าไปขนไม้มาอีกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 3 กำลังเข้าไปลักไม้ที่เหลือออกมาอีก จำเลยที่ 2 จึงไปรออยู่ที่ชานชาลาสถานีรถไฟส่วนจำเลยที่ 1 อยู่ที่รถบรรทุก เมื่อได้ไม้ตามจำนวนที่ต้องการแล้วจะได้ขนไม้ทั้งหมด ขึ้นบรรทุกรถพาหนีไป แต่ตำรวจมาตรวจพบและจับกุมเสียก่อน การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดังนี้ ถือได้ว่าได้ส่งเสริมอันเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 3 กระทำการลักทรัพย์ จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน การกระทำผิดของจำเลยที่ 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 606/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 219 เมื่อศาลชั้นต้น-อุทธรณ์ยกฟ้องข้อหาลักทรัพย์แล้ว โจทก์ร่วมฎีกาขอลงโทษในข้อหาเดิมไม่ได้
โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจร จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด พิพากษายกฟ้องโจทก์ เช่นนี้ โจทก์ร่วมจะฎีกาในข้อเท็จจริงขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาลักทรัพย์อีกไม่ได้เพราะความผิดฐานลักทรัพย์นั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาของโจทก์ร่วม ศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3262/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความอาญา: การอ้างว่าโจทก์มิได้นำสืบพยานหลักฐาน ต้องระบุรายละเอียด
ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยรับรถยนต์ของกลางไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ซึ่งเพียงแต่ระบุว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ แต่มิได้ระบุข้อเท็จจริงให้ปรากฏว่านำสืบไม่ได้อย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 วรรค 2, 225 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้