คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 335

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 565 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 228/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รับของโจร: แม้ความผิดฐานลักทรัพย์เปลี่ยนเป็นยักยอกทรัพย์ ศาลยังลงโทษฐานรับของโจรได้ หากมิใช่ข้อสารสำคัญที่จำเลยหลงต่อสู้
เรือเจ้าทรัพย์ถูกคนร้ายลักไป หากเรือนั้นจะหลุดลอยจากคนร้ายมาได้อย่างไร หาเป็นข้อสารสำคัญไม่ เรือก็ยังคงเป็นทรัพย์มีเจ้าของที่หายไปอยู่
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้ง 2 ร่วมกันรับของโจรแต่ถ้าฟังได้ว่าจำเลยรับของโจรคนละทีศาลก็ลงโทษจำเลยแต่ละคนฐานรับของโจรได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยรับเอาเรือของกลางไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของร้ายที่ได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์แต่ปรากฏในการพิจารณาว่าจำเลยรับเอาเรือของกลางไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของร้าย ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์ทั้งจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ดังนี้ ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องในสารสำคัญย่อมลงโทษจำเลยฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2510)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 228/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รับของโจร: แม้ฟ้องฐานลักทรัพย์ แต่หากเป็นยักยอก ศาลลงโทษได้หากไม่ต่างสาระสำคัญและจำเลยไม่หลงต่อสู้
เรือเจ้าทรัพย์ถูกคนร้ายลักไป หากเรือนั้นจะหลุดลอยจากคนร้ายมาได้อย่างไร หาเป็นข้อสารสำคัญไม่ เรือก็ยังคงเป็นทรัพย์มีเจ้าของที่หายไปอยู่
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้ง 2 ร่วมกันรับของโจร
แต่ถ้าฟังได้ว่าจำเลยรับของโจรคนละที ศาลก็ลงโทษจำเลยแต่ละคนฐานรับของโจรได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยรับเอาเรือของกลางไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของร้ายที่ได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ แต่ปรากฏในการพิจารณาว่าจำเลยรับเอาเรือของกลางไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของร้ายที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ทั้งจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ ดังนี้ ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องในสารสำคัญ ย่อมลงโทษจำเลยฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2510)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 41/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยายามลักทรัพย์: การกระทำความผิดสำเร็จบางส่วนถูกขัดขวาง
จำเลยได้งัดแงะประตูหน้าถังร้านของผู้เสียหายแล้วในร้านนั้นมีของมีค่าเก็บไว้เป็นจำนวนมาก ตำรวจมาพบเห็นจำเลยเข้า จำเลยจึงทำการลักทรัพย์ไม่ตลอดการกระทำของจำเลยเข้าขั้น พยายามลักทรัพย์แล้ว (ไม่ใช่บุกรุก)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 41/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยายามลักทรัพย์: การกระทำที่ลงมือแล้วแต่ไม่สำเร็จ ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยได้งัดแงะประตูหน้าถังร้านของผู้เสียหายแล้ว ในร้านนั้นมีของมีค่าเก็บไว้เป็นจำนวนมาก ตำรวจมาพบเห็นจำเลยเข้า จำเลยจึงทำการลักทรัพย์ไม่ตลอด การกระทำของจำเลยเข้าขั้นพยายามลักทรัพย์แล้ว (ไม่ใช่บุกรุก)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รับของโจร: การเรียกค่าไถ่กระบือที่ถูกลักย้อมทรัพย์ ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357
ในคดีลักทรัพย์หรือรับของโจรที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าข้อ 1. วันที่ 17 เมษายน 2507 มีคนร้ายลักกระบือไป ข้อ 2. วันที่ 19 เมษายน 2507 จำเลยได้รับเงินเป็นค่าไถ่กระบือแล้วนำกระบือมาคืน ทั้งนี้ตามวันเวลาดังกล่าวในข้อ 1. จำเลยเป็นคนร้ายลักเอากระบือไปโดยทุจริต หรือมิฉะนั้นตามวันเวลาดังกล่าวในข้อ 1.ถึงวันที่ 19 เมษายน 2507 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยรับเอากระบือรายนี้ไว้โดยรู้ว่าเป็นของร้ายได้มาโดยการกระทำผิดต่อกฎหมายอันเข้าลักษณะลักทรัพย์จำเลยให้การปฏิเสธและนำสืบต่อสู้ว่าไถ่มาจากบุคคลอื่นเมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยได้นำกระบือของผู้เสียหายไปซ่อนแล้วเรียกค่าไถ่จริงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 (ฐานรับของโจร) เช่นนี้ การที่โจทก์กล่าวในฟ้องข้อ 2.ว่าจำเลยรับเงินค่าไถ่และคืนกระบือให้แก่ผู้เสียหายในวันที่ 19 เมษายน 2507 แต่ทางพิจารณาได้ความเป็นวันที่ 18 เมษายน 2507 นั้น ถือว่าเป็นการบรรยายรายละเอียดมิใช่ข้อสารสำคัญ และทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้คดีลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานรับของโจร: การเรียกค่าไถ่กระบือที่ถูกลักไป แม้รายละเอียดวันเวลาในฟ้องไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้
ในคดีลักทรัพย์หรือรับของโจรที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า ข้อ 1 วันที่ 17 เมษายน 2507 มีคนร้ายลักกระบือไป ข้อ 2 วันที่ 19 เมษายน 2507 จำเลยได้รับเงินเป็นค่าไถ่กระบือแล้วนำกระบือมาคืน ทั้งนี้ตามวันเวลาดังกล่าวในข้อ 1 จำเลยเป็นคนร้ายลักเอากระบือไปโดยทุจริต หรือมิฉะนั้นตามวันเวลาดังกล่าวใน ข้อ 1 ถึงวันที่ 19 เมษายน 2507 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัดจำเลยรับเอากระบือรายนี้ไว้โดยรู้ว่าเป็นของร้ายได้มาโดยการกระทำผิดต่อกฎหมายอันเข้าลักษณะลักทรัพย์ จำเลยให้การปฏิเสธและนำสืบต่อสู้ว่าไถ่มาจากบุคคลอื่น เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยได้นำกระบือของผู้เสียหายไปซ่อนแล้วเรียกค่าไถ่จริง เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 (ฐานรับของโจร) เช่นนี้ การที่โจทก์กล่าวในฟ้องข้อ 2 ว่าจำเลยรับเงินค่าไถ่และคืนกระบือให้แก่ผู้เสียหายในวันที่ 19 เมษายน 2507 แต่ทางพิจารณาได้ความเป็นวันที่ 18 เมษายน 2507 นั้น ถือว่าเป็นการบรรยายรายละเอียดมิใช่ข้อสารสำคัญ และทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ คดีลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรค 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1250/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับเงินค่าไถ่โคโดยไม่มีหลักฐานการลักทรัพย์ ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร
โจทก์ฟ้องว่า มีผู้ลักโคของผู้เสียหายไป ต่อมาเจ้าทรัพย์และพวกพบโคที่ถูกคนร้ายลักไปอยู่ในความครอบครองของจำเลย โดยจำเลยนำโคนั้นมาให้เจ้าทรัพย์ และเอาเงินจำนวน 800 บาทจากเจ้าทรัพย์เป็นค่าไถ่ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335,337
ทางพิจารณาฟังได้ว่าโคของผู้เสียหายนั้นตามโคตัวเมียในฝูงของจำเลยไปจำเลยบอกผู้เสียหายให้ไปเอาโคคืนโดยขอเงินค่าไถ่จากผู้เสียหายแล้วจำเลยคืนโคให้ไม่มีพยานหลักฐานว่าจำเลยลักโค ดังนี้ จะลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ย่อมไม่ได้ และการที่จำเลยรับเงินค่าไถ่โคจากผู้เสียหาย แม้จะด้วยเจตนาทุจริตและคืนโคให้ผู้เสียหายไป ก็ไม่เป็นความผิดฐานรับของโจร เพราะฟังไม่ได้เสียแล้วว่าโคของผู้เสียหายถูกคนร้ายลักไปแล้วจำเลยรับไว้ ศาลก็ต้องยกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1250/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองโคที่หลงฝูง และการเรียกค่าไถ่ ไม่เข้าข่ายความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร
โจทก์ฟ้องว่า มีผู้ลักโคของผู้เสียหายไป ต่อมาเจ้าทรัพย์และพวกพบโคที่ถูกคนร้ายลักไปอยู่ในความครอบครองของจำเลย โดยจำเลยนำโคนั้นมาให้เจ้าทรัพย์ และเอาเงินจำนวน 800 บาทจากเจ้าทรัพย์เป็นค่าไถ่ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335,337
ทางพิจารณาฟังได้ว่าโคของผู้เสียหายนั้นตามโคตัวเมียในฝูงของจำเลยไป จำเลยบอกผู้เสียหายให้ไปเอาโคคืน โดยขอเงินค่าไถ่จากผู้เสียหายแล้วจำเลยคืนโคให้ ไม่มีพยานหลักฐานว่าจำเลยลักโค ดังนี้ จะลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ย่อมไม่ได้ และการที่จำเลยรับเงินค่าไถ่โคจากผู้เสียหาย แม้จะด้วยเจตนาทุจริตและคืนโคให้ผู้เสียหายไป ก็ไม่เป็นความผิดฐานรับของโจรเพราะฟังไม่ได้เสียแล้วว่าโคของผู้เสียหายถูกคนร้ายลักไปแล้วจำเลยรับไว้ ศาลก็ต้องยกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1199/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย: การอ้างอิงคำอุทธรณ์แทนการแสดงข้อกฎหมายในฎีกา
ฎีกาของจำเลยมีเพียงว่า "ข้าพเจ้าถือเอาคำอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายเป็นส่วนหนึ่งของฎีกาจำเลยด้วย" จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195, 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1199/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากมิได้อ้างอิงข้อกฎหมายชัดเจน
ฎีกาของจำเลยมีเพียงว่า "ข้าพเจ้าถือเอาคำอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายเป็นส่วนหนึ่งของฎีกาจำเลยด้วย" จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยบทกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195,225
of 57