คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 335

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 565 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 848/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์โดยใช้อุบายหลอกลวงกับบุคคลใกล้ชิด: ความแตกต่างระหว่างลักทรัพย์กับฉ้อโกง
จำเลยได้เสียกับบุตรสาวของผู้เสียหายแล้วพากันมาอยู่บ้านผู้เสียหายได้ 7-8 วัน จำเลยบอกผู้เสียหายว่าจะไปซื้อข้าวสารมาเก็บไว้กินในฤดูทำนา รุ่งขึ้นจำเลยเอาโคของผู้เสียหายเทียมเกวียนจะไปซื้อข้าวสาร ภริยาผู้เสียหายไปกับจำเลยด้วย เมื่อถึงที่หมายจำเลยปลดโคจากเกวียนแล้วก็แยกไป ต่อมาไม่นานจำเลยกลับมาถามภริยาผู้เสียหายว่า วัวกินน้ำหรือยังประเดี๋ยวข้าวสารจะมาแล้ว ภริยาผู้เสียหายว่ายัง จำเลยจึงนำโคไปอ้างว่าจะนำไปให้กินน้ำ แล้วก็นำโคไปขายเสียพร้อมทั้งมอบตั๋วพิมพ์รูปพรรณโคให้ผู้ซื้อไปด้วย ดังนี้ พฤติการณ์ของจำเลยส่อให้เห็นความทุจริตของจำเลยตั้งแต่ลอบเอาตั๋วพิมพ์รูปพรรณไปแล้ว เมื่อพิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับผู้เสียหายฉันลูกเขยพ่อตาแม่ยายจำเลยจะเอาโคไปใช้ได้ตามพลการของจำเลยโดยการวิสาสะ หาจำต้องขอรับอนุญาตหรือรับความยินยอมดังเช่นบุคคลอื่นไม่ การที่จำเลยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายและภริยานั้น มิใช่เพื่อให้ผู้เสียหายและภริยายอมส่งมอบโคให้จำเลย หากเป็นแต่เพียงอุบายในการที่จำเลยจะพาโคไปได้แนบเนียนขึ้นเท่านั้น การที่จำเลยเอาโคไปหาใช่ผลโดยตรงจากการหลอกลวงไม่ จำเลยจึงมีผิดฐานลักทรัพย์ หาผิดฐานฉ้อโกงไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 848/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์โดยใช้อุบายหลอกลวงของลูกเขยต่อพ่อตาแม่ยาย ไม่ถือเป็นฉ้อโกง
จำเลยได้เสียกับบุตรสาวของผู้เสียหายแล้วพากันมาอยู่บ้านผู้เสียหายได้ 7-8 วัน จำเลยบอกผู้เสียหายว่าจะไปซื้อข้าวสารมาเก็บไว้กินในฤดูทำนา รุ่งขึ้นจำเลยเอาโคของผู้เสียหายเทียมเกวียนจะไปซื้อข้าวสาร ภริยาผู้เสียหายไปกับจำเลยด้วย เมื่อถึงที่หมายจำเลยปลดโคจากเกวียนแล้วก็แยกไป ต่อมาไม่นานจำเลยกลับมาถามภริยาผู้เสียหายว่า วัวกินน้ำแล้วหรือยัง ประเดี๋ยวข้าวสารจะมาแล้วภริยาผู้เสียหายว่ายัง จำเลยจึงนำโคไปอ้างว่าจะนำไปให้กินน้ำ แล้วก็นำโคไปขายเสียพร้อมทั้งมอบตั๋วพิมพ์รูปพรรณโคให้ผู้ซื้อไปด้วย ดังนี้ พฤติการณ์ของจำเลยส่อให้เห็นความทุจริตของจำเลยตั้งแต่ลอบเอาตั๋วพิมพ์รูปพรรณไปแล้ว เมื่อพิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับผู้เสียหายฉันลูกเขยพ่อตาแม่ยาย จำเลยจะเอาโคไปใช้ได้ตามพลการของจำเลยโดยการวิสาสะหาจำต้องขอรับอนุญาตหรือความยินยอมดังเช่นบุคคลอื่นไม่ การที่จำเลยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายและภริยานั้น มิใช่เพื่อให้ผู้เสียหายและภริยายอมส่งมอบโคให้จำเลย หากเป็นแต่เพียงอุบายในการที่จำเลยจะพาโคไปได้แนบเนียนขึ้นเท่านั้น การที่จำเลยเอาโคไปหาใช่ผลโดยตรงจากการหลอกลวงไม่ จำเลยจึงมีผิดฐานลักทรัพย์ หาผิดฐานฉ้อโกงไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 273/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาลักทรัพย์แม้ยังมิได้ยึดถือ: พยายามลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยมีเจตนาลักสร้อยคอซึ่งบุตรของผู้เสียหายสวมอยู่ พอใช้ตะไกรตัดสร้อยนั้นขาดตกลงยังพื้นดิน ยังมิได้เข้ายึดถือเอาสร้อยนั้นไป ก็มีคนบอกให้ผู้เสียหายรู้ตัวและเก็บเอาสร้อยไว้เสียก่อน จะถือว่าจำเลยเอาสร้อยนั้นไป(ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334)ยังไม่ได้ จำเลยย่อมมีความผิดฐานพยายามลักทรัพย์เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 273/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาลักทรัพย์และการยึดครองทรัพย์: พยายามลักทรัพย์เมื่อยังไม่ได้ยึดครอง
จำเลยมีเจตนาลักสร้อยคอซึ่งบุตรของผู้เสียหายสวมอยู่พอใช้ตะไกรตัดสร้อยนั้นขาดตกลงยังพื้นดิน ยังมิได้ยึดถือเอาสร้อยนั้นไปก็มีคนบอกให้ผู้เสียหายรู้ตัวและเก็บเอาสร้อยไว้เสียก่อนจะถือว่าจำเลยเอาสร้อยนั้นไป (ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334) ยังไม่ได้ จำเลยย่อมมีความผิดฐานพยายามลักทรัพย์เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีลักทรัพย์/รับของโจร เมื่อพยานหลักฐานไม่ชัดเจน ศาลไม่สามารถชี้ขาดกรรมสิทธิ์ได้
อัยการโจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยลักทรัพย์หรือรับของโจร ขอให้ลงโทษจำเลยและคืนของกลางให้ผู้เสียหาย ศาลล่างวินิจฉัยว่า พยานโจทก์ที่นำสืบมายังฟังไม่ถนัดว่าของกลางเป็นของผู้เสียหาย จึงพิพากษาต้องกันให้ยกฟ้อง และไม่สั่งคืนของกลางให้ผู้เสียหาย แต่ให้ไปว่ากล่าวกันในทางแพ่ง ดังนี้ย่อมเป็นประโยชน์ดีแก่ผู้เสียหายอยู่แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษายกฟ้องคดีลักทรัพย์/รับของโจร เมื่อพยานหลักฐานไม่เพียงพอ และกรรมสิทธิ์ในของกลางยังพิพาทกัน
อัยการโจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยลักทรัพย์หรือรับของโจรขอให้ลงโทษจำเลยและคืนของกลางให้ผู้เสียหาย ศาลล่างวินิจฉัยว่า พยานโจทก์ที่นำสืบมายังฟังไม่ถนัดว่าของกลางเป็นของผู้เสียหาย จึงพิพากษาต้องกันให้ยกฟ้อง และไม่สั่งคืนของกลางให้ผู้เสียหาย แต่ให้ไปว่ากล่าวกันในทางแพ่ง ดังนี้ ย่อมเป็นประโยชน์ดีแก่ผู้เสียหายอยู่แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 179/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์ในเรือโดยสาร: การจำแนกความผิดฐานลักทรัพย์จากการยักยอกทรัพย์ และประเด็นสถานที่เกิดเหตุ
ผู้เสียหายฝากกระเป๋าถือแก่จำเลยเพื่อเข้าห้องส้วม ขณะผู้เสียหายเข้าห้องส้วม จำเลยได้เปิดกระเป๋าถือเอาสร้อยกับธนบัตรของผู้เสียหายไป เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยลักทรัพย์ของผู้เสียหายซึ่งกำลังโดยสารอยู่ในเรือประจำทาง เหตุเกิดที่ตำบลปากพนัง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ทางพิจารณาไม่แน่ว่าขณะเกิดเหตุเรือแล่นอยู่ในเขตตำบลปากพนังตามฟ้องหรือแล่นเข้าไปในในเขตตำบลหูล่องกับตำบลบ้านเกิง ซึ่งติดต่อกันแล้ว คงได้ความเพียงว่า เหตุเกิดในเรือโดยสารซึ่งเดินจากอำเภอปากพนังไปอำเภอหัวไทย ดังนี้ ยังไม่พอถือเป็นข้อแตกต่างกับฟ้องจนถึงขนาดจะยกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 179/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์ vs. ยักยอกทรัพย์: การฝากกระเป๋าถือชั่วคราวไม่ถือเป็นการสละการครอบครอง
ผู้เสียหายฝากกระเป๋าถือแก่จำเลยเพื่อเข้าห้องส้วม ขณะผู้เสียหายเข้าห้องส้วมจำเลยได้เปิดกระเป๋าถือเอาสร้อยกับธนบัตรของผู้เสียหายไปเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยลักทรัพย์ของผู้เสียหายซึ่งกำลังโดยสารอยู่ในเรือประจำทางเหตุเกิดที่ตำบลปากพนัง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ทางพิจารณาไม่แน่ว่าขณะเกิดเหตุเรือแล่นอยู่ในเขตตำบลปากพนังตามฟ้องหรือแล่นเข้าไปในเขตตำบลหูล่องกับตำบลบ้านเกิงซึ่งติดต่อกันแล้วคงได้ความเพียงว่า เหตุเกิดในเรือโดยสารซึ่งเดินจากอำเภอปากพนังไปอำเภอหัวไทรดังนี้ ยังไม่พอถือเป็นข้อแตกต่างกับฟ้องจนถึงขนาดจะยกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 178/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีซ้ำซ้อนหลังศาลทหารไม่รับคำฟ้อง และขอบเขตอำนาจศาล
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลทหารหาว่าปล้นทรัพย์ ฯลฯ ศาลทหารวินิจฉัยว่าพฤติการณ์ของจำเลยส่อไปในทางน่าสงสัย จำเลยอาจกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรก็ได้ แต่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหารจะวินิจฉัย จึงไม่วินิจฉัยให้เด็ดขาดลงไป แต่การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ โจทก์ย่อมนำคดีมาฟ้องจำเลยศาลพลเรือนหาว่าลักทรัพย์หรือรับของโจร ของกลางรายเดียวกันนั้นใหม่ได้ สิทธินำคดีมาฟ้องหาระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 178/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีซ้ำหลังศาลทหารไม่รับอำนาจ พิจารณาคดีอาญาฐานลักทรัพย์/รับของโจร และผลกระทบต่อการดำเนินคดีในศาลพลเรือน
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลทหารหาว่าปล้นทรัพย์ ฯลฯศาลทหารวินิจฉัยว่าพฤติการณ์ของจำเลยส่อไปในทางน่าสงสัยจำเลยอาจกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรก็ได้แต่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหารจะวินิจฉัยจึงไม่วินิจฉัยให้เด็ดขาดลงไป แต่การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ โจทก์ย่อมนำคดีมาฟ้องจำเลยต่อศาลพลเรือนหาว่าลักทรัพย์หรือรับของโจรของกลางรายเดียวกันนั้นใหม่ได้สิทธินำคดีมาฟ้องหาระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ไม่
of 57