คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อากร อัชกุล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 86 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6617-6618/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 248 วรรคหนึ่ง กรณีคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท และการโต้แย้งดุลพินิจศาลล่าง
การที่โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยกับผู้มีชื่อเป็นการฟ้องเรียกให้ได้ที่ดินกลับคืนมาเป็นทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ทั้งสามคดีของโจทก์ทั้งสามจึงเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนราคาที่ดินพิพาทนั้นปรากฎว่าจำเลยขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้มีชื่อไปแล้วโจทก์ทั้งสามขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าที่ดินที่โจทก์ทั้งสามมีสิทธิได้รับคนละ190,000บาทจึงเป็นหนี้อันอาจแบ่งแยกได้ต้องถือทุนทรัพย์แยกกันตามรายตัวโจทก์เมื่อจำเลยหนี้ตามสิทธิของโจทก์แต่ละคนไม่เกิน200,000บาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์มรดกแต่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยการที่โจทก์ทั้งสามฎีกาว่าพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสามฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของมารดาโจทก์ทั้งสามและจำเลยต้องแบ่งเงินที่ขายที่ดินพิพาทกันตามส่วนและศาลล่างวินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนจากพยานหลักฐานในสำนวนเพราะในส.ค.1เอกสารหมายจ.4จำเลยระบุไว้ว่าได้ที่ดินพิพาทมาโดยบิดามารดายกให้แต่ในสัญญาซื้อขายเอกสารหมายจ.6จำเลยระบุว่าได้ที่ดินพิพาทมาโดยการครอบครองเกิน10ปีแตกต่างกันแต่ศาลอุทธรณ์หาได้วินิจฉัยในปัญหานี้ไม่ล้วนแต่เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ทั้งสิ้นอันเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5972-5973/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของพินัยกรรมและความสามารถของผู้ทำพินัยกรรม การตั้งผู้จัดการมรดก
การนำสืบว่าเจ้ามรดกทำพินัยกรรมในขณะที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์เป็นปกติหรือไม่นั้นเป็นการยากที่จะให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งนำสืบด้วยประจักษ์พยานเพราะเป็นข้อเท็จจริงที่อยู่ในความรู้เห็นของคู่ความฝ่ายที่ทำพินัยกรรมเพียงฝ่ายเดียวกรณีจำต้องอาศัยเหตุผลและพฤติการณ์แวดล้อมกรณีรวมทั้งความเป็นพิรุธของตัวเอกสารคือพินัยกรรมนั้นเองเป็นเครื่องชี้ว่าพินัยกรรมฉบับนั้นเจ้ามรดกทำในขณะที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดีหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5333/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเพโมลีนหลังประกาศเปลี่ยนประเภทวัตถุออกฤทธิ์ และการใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่ที่เป็นคุณต่อจำเลย
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 58(พ.ศ. 2532)เรื่องเปลี่ยนแปลงประเภทวัตถุออกฤทธิ์ ตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ย่อมมีผลบังคับเช่นกฎหมาย จำเลยครอบครองเพโมลีน โดยไม่ได้รับอนุญาตจำนวนเดียวกับที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วจึงไม่ต้องปรับบทลงโทษในความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก การมีเพโมลีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย มิใช่เป็นความผิดในตัวเอง แต่เป็นความผิดเพราะมีประกาศกระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ซึ่งแต่เดิมจัดอยู่ในวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ซึ่งจำเลยได้รับอนุญาตให้ขายได้ตามสภาพและพฤติการณ์จำเลยอาจไม่รู้ว่าการมีเพโมลีนไว้ในครอบครองเพื่อขายเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย และหากจำเลยสามารถนำพยานหลักฐานมีพิสูจน์เช่นว่านั้นได้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 64 พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2535 ให้ยกเลิกมาตรา 13 เดิมและใช้ความใหม่แทน และให้เพิ่มความเป็นมาตรา 13 ทวิ การกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา 13 ทวิ และมีโทษตามมาตรา ซึ่งมาตรา 89 ที่แก้ไขใหม่มีโทษเบากว่าโทษตามมาตรา 89 เดิม จึงต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 89 ที่แก้ไขใหม่เพราะเป็นกฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5333/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงประเภทวัตถุออกฤทธิ์และการลงโทษตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 58 (พ.ศ.2532) เรื่องเปลี่ยนแปลงประเภทวัตถุออกฤทธิ์ ตามความใน พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ย่อมมีผลบังคับเช่นกฎหมาย
จำเลยครอบครองเพโมลีนโดยไม่ได้รับอนุญาตจำนวนเดียวกับที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วจึงไม่ต้องปรับบทลงโทษในความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก
การมีเพโมลีนไว้ในความครอบครองเพื่อขาย มิใช่เป็นความผิดในตัวเอง แต่เป็นความผิดเพราะมีประกาศกระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ซึ่งแต่เดิมจัดอยู่ในวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ซึ่งจำเลยได้รับอนุญาตให้ขายได้ ตามสภาพและพฤติการณ์จำเลยอาจไม่รู้ว่าการมีเพโมลีนไว้ในครอบครองเพื่อขายเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย และหากจำเลยสามารถนำพยานหลักฐานมีพิสูจน์เช่นว่านั้นได้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดได้ตาม ป.อ.มาตรา 64
พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535ให้ยกเลิกมาตรา 13 เดิมและใช้ความใหม่แทน และให้เพิ่มความเป็นมาตรา 13 ทวิการกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา 13 ทวิ และมีโทษตามมาตรา 89ซึ่งมาตรา 89 ที่แก้ไขใหม่มีโทษเบากว่าโทษตามมาตรา 89 เดิม จึงต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 89 ที่แก้ไขใหม่เพราะเป็นกฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลย ตาม ป.อ.มาตรา 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3200/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รับของโจร: รู้หรือควรจะรู้ว่าทรัพย์นั้นได้มาจากการกระทำความผิด
จำเลยได้รับซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางไว้ ซึ่งเป็นรถที่มีทะเบียน แต่จำเลยก็ยังรับซื้อมาในราคาเพียง 3,000 บาท ซึ่งเป็นราคาถูกผิดปกติอย่างมากโดยมิได้สนใจเรื่องการโอนทะเบียนรถ พฤติการณ์มีเหตุบ่งชี้ชัดแจ้งว่าจำเลยรับซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3200/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับซื้อทรัพย์สินที่ได้มาจากการลักทรัพย์ โดยรู้ว่าเป็นของผิดกฎหมาย ถือเป็นความผิดฐานรับของโจร
จำเลยได้รับซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางไว้ซึ่งเป็นรถที่มีทะเบียนแต่จำเลยก็ยังรับซื้อมาในราคาเพียง3,000บาทซึ่งเป็นราคาถูกผิดปกติอย่างมากโดยมิได้สนใจเรื่องการโอนทะเบียนรถพฤติการณ์มีเหตุบ่งชี้ชัดแจ้งว่าจำเลยรับซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3185/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีอาญาโดยไม่ส่งตัวจำเลย และจำเลยไม่อยู่ในอำนาจศาล ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น ทำให้ไม่อาจฎีกาได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ฟ้องจำเลยโดยไม่นำตัวจำเลยมาส่งศาลพร้อมฟ้องและจำเลยไม่อยู่ในอำนาจของศาลจึงสั่งไม่ประทับฟ้องและจำหน่ายคดีเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนย่อมมีผลเท่ากับว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3185/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องจำเลยที่ไม่ได้ตัวจำเลยมาส่งศาล และผลกระทบต่อสิทธิในการฎีกา
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ว่าโจทก์ฟ้องโดยไม่นำตัวจำเลยมาส่งศาลพร้อมฟ้องจึงสั่งไม่ประทับฟ้องและจำหน่ายคดีเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3174/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งตัวเด็กกระทำผิดไปสถานพินิจฯ ไม่ใช่การลงโทษ แต่เป็นวิธีการสำหรับเด็กตามกฎหมาย
การที่ศาลชั้นต้นส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กจังหวัดจนกว่าจะอายุครบ18ปีไม่เป็นการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา18แต่เป็นวิธีการสำหรับเด็กตามมาตรา74(5)ที่เบากว่าการลงโทษจำคุกเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงต้องห้ามคู่ความมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2944/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับใช้ พ.ร.บ.การประมง หลัง คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ เข้าควบคุมอำนาจ และความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งคณะกรรมการกำหนดค่าเสียหาย
แม้คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ซึ่งได้เข้าควบคุมอำนาจในการปกครองของประเทศและได้ออกประกาศ ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 23กุมภาพันธ์ 2534 มีผลทำให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521สิ้นผลลงก็ตาม แต่ก็มิได้มีประกาศของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับใดยกเลิก พ.ร.บ. การประมง พ.ศ.2490 มาตรา 28 ทวิ, 64 ทวิ บทกฎหมายดังกล่าวจึงยังมีผลบังคับอยู่
คณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ฯเพียงแต่ได้ทำการรวบรวมและคำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งทางรัฐบาลได้เสียไปอันเกิดจากการละเมิดน่านน้ำของต่างประเทศของจำเลยผู้เป็นเจ้าของเรือ ซึ่งใช้หรือยอมให้ใช้เรือของตนกระทำการละเมิด และแจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามคำวินิจฉัยภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายตาม พ.ร.บ. การประมง พ.ศ.2490 มาตรา28 ทวิ เท่านั้น มิได้กระทำการพิจารณาวินิจฉัยอรรถคดีเช่นเดียวกับศาลยุติธรรมแต่อย่างใด ซึ่งเมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็จะมีโทษตามมาตรา 64 ทวิ แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว การกระทำของคณะกรรมการกำหนดค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ฯจึงชอบด้วยกฎหมาย หาขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี และปรับ100,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยฎีกาว่า คำสั่งของคณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ฯขัดต่อหลักกฎหมายและขาดข้อเท็จจริงสนับสนุนเพียงพอนั้น เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งนำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมาย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว
of 9